คำพิพากษาฎีกาที่ 1905/56
ปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบ กระด้างกระเดื่อง เกลียดชังผู้บริหาร ถือว่าจงใจทำให้นายจ้างเสียหาย ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรง มีเหตุเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า ผู้คัดค้านเป็นลูกจ้าง (พนักงาน) ของผู้ร้องและเป็นกรรมการลูกจ้างในสถานประกอบการของผู้ร้อง วันที่ 6 กรกฎาคม 2549 เวลา 7.20 - 7.50 น. ผู้คัดค้านกับพวกใช้โทรโข่งป่าวประกาศ ยุยงส่งเสริม และปลุกปั่นให้พนักงานของผู้ร้องเกิดอคติต่อผู้ร้อง สร้างความแตกแยกระหว่างพนักงานผู้ร้องกับผู้บริหารของผู้ร้อง โดยใส่ร้าย กล่าวข้อความเท็จว่าผู้บังคับบัญชาได้ฉีกใบลาของพนักงานเพื่อตัดผลประโยชน์ของพนักงานไม่ให้พนักงานลาพักผ่อนและตัดเบี้ยขยัน ทั้งกล่าวหาว่าผู้ร้องรังแกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีพนักงาน และให้ร้าย ดูหมิ่นเสียดสีผู้บริหารของผู้ร้อง การกระทำของผู้คัดค้านเป็นการกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างหรือจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายอันเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จึงขออนุญาตเลิกจ้างผู้คัดค้าน
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า คำร้องของผู้ร้องเคลือบคลุม เนื่องจากไม่ได้ระบุว่าการกระทำของผู้คัดค้านเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123 อนุมาตราใด หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 อนุมาตราใด อีกทั้งไม่ได้ระบุว่าการกระทำของผู้คัดค้านเป็นความผิดอาญาฐานใดผู้คัดค้านไม่ได้ใช้โทรโข่งป่าวประกาศยุยง ส่งเสริม ปลุกปั่นให้พนักงานของผู้ร้องมีอคติหรือความคิดที่ไม่ดีต่อผู้ร้อง แต่ผู้คัดค้านได้แสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามความเป็นธรรมและในฐานะกรรมการลูกจ้าง ประธานและสมาชิกสหภาพแรงงานไลอ้อนไทร์สเป็นการพูดติชมด้วยความเป็นธรรมและเป็นการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการของสหภาพแรงงานอันเป็นการเปิดเผย ทั้งเป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการหมิ่นประมาทผู้ร้องหรือผู้บริหาร ผู้ร้อง ผู้คัดค้านไม่ได้กระทำความผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้างหรือจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย หรือฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นกรณีร้ายแรง ทั้งไม่ได้ฝ่าฝืนต่อกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้บริษัทไลอ้อนไทร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ร้องเลิกจ้างนายบุญล้วน กัลยาพรม ผู้คัดค้านได้
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้คัดค้านและนายดนัยมาศ บุญวงศ์ พวกของผู้คัดค้านเป็นกรรมการลูกจ้างในสถานประกอบการของผู้ร้องซึ่งมีกรรมการจำนวน 11 คน ตามหนังสือแจ้งของประธานสหภาพแรงงานเอกสารหมาย ร.1 เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2549 เวลา 7.20 น. ผู้คัดค้านได้ประกาศทางโทรโข่งที่บริเวณถนนตรงข้ามกับบริษัทผู้ร้องตามภาพถ่ายหมาย ร.4 เพื่อชักชวนให้พนักงานของผู้ร้องมาฟังนายดนัยมาศประกาศโจมตีผู้ร้องเกี่ยวกับเรื่องการฉีกใบลาของพนักงานที่ลาหยุดในวันที่ 10 กรกฎาคม 2548 ซึ่งเป็นวันอาสาฬหบูชา ตามข้อความถอดเทปเอกสารหมาย ร.5 หลังจากนั้นมีการเจรจากับผู้บริหารของผู้ร้อง แต่ไม่มีกรรมการลูกจ้างคนใดตอบได้ว่าใครเป็นคนฉีกใบลา แต่กลับมีการอนุมัติให้ลาหยุดในวันดังกล่าวล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2549 ตามใบลาเอกสารหมาย ร.8 โดยผู้คัดค้านไม่ทราบ แล้ว วินิจฉัยว่า การกระทำของผู้คัดค้านกับพวกแม้เป็นการกระทำที่บริเวณถนนตรงกันข้ามกับบริษัทผู้ร้องก็เป็นการไม่สมควร อาจทำให้ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของผู้ร้องเสียหาย เป็นการผิดระเบียบข้อบังคับหมวดที่ 9 เรื่องวินัยและโทษทางวินัย ข้อ 9.1.17 ตามเอกสารหมาย ร.3 จึงมีเหตุสมควรให้เลิกจ้างผู้คัดค้านตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 52
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านในข้อแรกว่าคำร้องของผู้ร้องเคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องบรรยายคำร้องว่า ผู้คัดค้านกับพวกใช้โทรโข่งประกาศว่าพนักงานระดับผู้บังคับบัญชาฉีกใบลาพักผ่อนประจำปีของพนักงานที่ได้ยื่นต่อผู้บังคับบัญชา อันเป็นการกระทำเพื่อตัดผลประโยชน์ของพนักงาน ซึ่งข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง ทั้งยังพูดโจมตี ยุยง ปลุกปั่น สร้างความแตกแยก ให้ร้าย ดูหมิ่น เสียดสี การกระทำของผู้คัดค้านถือเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง กรณีร้ายแรง และเป็นการกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างหรือจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123 และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 ผู้ร้องจึงขอลงโทษผู้คัดค้านโดยการเลิกจ้าง ดังนั้นคำร้องของผู้ร้องได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพร้อมด้วยคำขอบังคับครบถ้วนตามความต้องการแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว คำร้องของผู้ร้องจึงไม่เคลือบคลุม อุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อต่อไปว่า ผู้คัดค้านกระทำผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่ เห็นว่า การที่ผู้คัดค้านร่วมกับนายดนัยมาศใช้โทรโข่งประกาศ โดยผู้คัดค้านเป็นผู้ชักชวนให้พนักงานของผู้ร้องมาฟังนายดนัยมาศประกาศโจมตีผู้ร้องมีเนื้อความ เช่น ....เป็นบริษัทใหญ่โตแต่กระทำเยี่ยงอย่างคล้ายสัตว์.... ผู้บริหารระดับเจษฎาก็ดี มันตากรก็ดี....ให้บริษัทพิจารณาระดับผู้บริหารที่มีมันสมองอยู่ในกะโหลกเพียงพอไม่ใช่มีสมองไว้แต่คิดนักธุรกิจอย่างเดียว....บริษัทไม่เคยพัฒนามีแต่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของผู้ใช้แรงงาน....มีการฉีกใบลาของพวกเรา....พฤติกรรมดังกล่าวมันเยี่ยงอย่างคล้ายสัตว์เนรคุณ....การบริหารแบบนี้มันเฮงซวย....เป็นต้น ตามข้อความถอดเทปเอกสารหมาย ร.5 แม้จะเป็นการประกาศอยู่บริเวณถนนฝั่งตรงข้ามกับบริษัทผู้ร้องตามภาพถ่ายหมาย ร.4 ก็ตาม เจตนาก็เพื่อปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบ กระด้างกระเดื่อง อคติ และความเกลียดชังผู้บริหารของผู้ร้องขึ้นในหมู่พนักงานที่มาทำงานในตอนเช้ากับประชาชนที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวซึ่งได้ยินและไม่ทราบความจริง การกระทำของผู้คัดค้านจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานประพฤติตนไม่สุภาพเรียบร้อย ไม่เชื่อฟัง ไม่ให้เกียรติ ก้าวร้าว และไม่แสดงความนับถือต่อผู้บังคับบัญชาหรือผู้ที่ดำรงตำแหน่งสูงกว่าตน ไม่รักษาเกียรติ ชื่อเสียง และทำให้เสื่อมเสียภาพลักษณ์ของบริษัท ไม่ว่าในหรือนอกเวลาทำงาน ก่อความไม่สงบขึ้น จงใจทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ข้อ 9.1.1 , 9.1.2 , 9.1.14 , 9.1.17, 9.2.3 และ 9.3.4 ตามเอกสารหมาย ร.3 ซึ่งเป็นกรณีร้ายแรง จึงมีเหตุสมควรที่ผู้ร้องจะเลิกจ้างผู้คัดค้านตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 52 ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านได้นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย คดีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยอีกต่อไปเพราะไม่อาจทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป อุทธรณ์ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.