คำพิพากษาฎีกาที่ 1906/56
เลิกจ้างด้วยวาจา อ้างเหตุในการเลิกจ้างตามมาตรา 119 ปฏิเสธไม่จ่ายค่าชดเชย ในขณะบอกเลิกจ้างด้วยวาจาได้ ไม่ขัดต่อ มาตรา 17
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2536 จำเลยจ้างโจทก์ทำงานในตำแหน่งสมุห์บัญชี ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 31,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 27 ของเดือน เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2548 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยวาจาโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าและโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด โจทก์จึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 56 วัน คิดเป็นเงิน 57,866 บาท โจทก์ทำงานกับจำเลยติดต่อกันครบ 10 ปี ขึ้นไป จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายจำนวน 300 วัน คิดเป็นเงิน 310,000 บาท ระหว่างทำงานกับจำเลย โจทก์ทำงานครบ 1 ปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีไม่น้อยกว่าปีละ 6 วัน โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปี ในปี 2547 จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีรวม 6 วัน คิดเป็นเงิน 6,200 บาท การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ต้องขาดรายได้และได้รับความเสียหายจากการเลิกจ้าง จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 50,000 บาท ให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 57,866 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำนวน 50,000 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 6,200 บาท ค่าชดเชยจำนวน 310,000 บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยในตำแหน่งหัวหน้าบัญชีค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 31,000 บาท เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2548 โจทก์ได้เริ่มก่อการจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิเพื่อจัดตั้งบริษัทวัฒนเจริญโลหะกิจ จำกัด และเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทดังกล่าวร่วมกับนางสาวนิตยา พูลเพิ่ม บริษัทวัฒนเจริญโลหะกิจ จำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการจำหน่ายเหล็กเส้นและเหล็กรูปพรรณ เป็นการประกอบกิจการเช่นเดียวกับจำเลยจึงมีลักษณะเป็นการแข่งขันกับกิจการของจำเลยผู้เป็นนายจ้าง ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายและโจทก์ยังเปิดเผยความลับ ความรู้ ข่าวสารทางธุรกิจอันเป็นเรื่องลับซึ่งโจทก์ได้มาจากการเป็นพนักงานของจำเลย การกระทำของโจทก์เป็นปฏิปักษ์และจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายและทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี โจทก์กระทำการฝ่าฝืนระเบียบวินัยและข้อบังคับของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงและกระทำผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (1) และ (2) มาตรา 67 เป็นการจงใจขัดคำสั่งของจำเลยอันชอบด้วยกฎหมายและละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นนั้นเป็นอาจิณ ละทิ้งการงานไปเสีย กระทำผิดอย่างร้ายแรง หรือทำประการอื่นอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์มีเหตุอันสมควร จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการจำหน่ายเหล็กเส้นและเหล็กรูปพรรณ โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2536 ได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนทุกวันที่ 27 ของเดือน โจทก์ทำงานในตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้างานฝ่ายบัญชี อัตราเงินเดือน 31,000 บาท เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2548 โจทก์ร่วมกับนางสาวนิตยา พูลเพิ่ม น้องโจทก์ ซึ่งขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายขายของจำเลย จดทะเบียนก่อตั้งบริษัทวัฒนเจริญโลหะกิจ จำกัด มีวัตถุประสงค์ในการจำหน่ายเหล็กรูปพรรณเช่นเดียวกับจำเลย ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.3 จำเลยทราบเรื่องดังกล่าวในวันที่ 17 ตุลาคม 2548 ต่อมาวันที่ 2 พฤศจิกายน 2548 จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2548 โจทก์ยังเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทวัฒนเจริญโลหะกิจ จำกัด จำนวน 500 หุ้น ตามสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นเอกสารหมาย ล.9 เดือนธันวาคม 2548 โจทก์ไปทำงานที่บริษัทวัฒนเจริญโลหะกิจ จำกัด จำเลยมีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานตามเอกสารหมาย ล.11 แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์เจตนาก่อตั้งบริษัทวัฒนเจริญโลหะกิจ จำกัด เพื่อประกอบกิจการแข่งขันกับจำเลย การกระทำของโจทก์เป็นความผิดอย่างร้ายแรง จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย และฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรง จำเลยมีสิทธิบอกเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 543 ( ที่ถูก มาตรา 583 ) พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 ( 2 ) ( 3 ) ( ที่ถูก มาตรา 67 ,117 ( 2 ) ( 4 ) การเลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทางโทรศัพท์ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2548 โดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือและระบุเหตุแห่งการเลิกจ้างไว้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะกล่าวอ้างและปฏิเสธการจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 17 วรรคสาม ซึ่งบัญญัติว่า ในกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้าง ถ้านายจ้างมิได้ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือบอกเลิกจ้างสัญญาจ้าง นายจ้างจะยกเหตุตามมาตรา 119 ขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 17 วรรคสาม ที่ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุ มีความหมายว่ากรณีนายจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างโดยทำเป็นหนังสือหากประสงค์จะยกเหตุตามมาตรา 119 ขึ้นอ้างเพื่อไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยนายจ้างต้องระบุเหตุแห่งการเลิกจ้างไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างด้วย หากไม่ระบุไว้นายจ้างก็ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง แต่ไม่ได้บังคับเด็ดขาดว่าห้ามนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างด้วยวาจา ดังนั้นถ้ามีเหตุเลิกจ้างตามมาตรา 119 นายจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างด้วยวาจาได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวเลิกจ้างเป็นหนังสือ แต่ต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ว่าหากนายจ้างประสงค์จะยกเหตุตามมาตรา 119 ขึ้นอ้าง ปฏิเสธไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย นายจ้างต้องแจ้งเหตุนั้นให้ลูกจ้างทราบขณะบอกเลิกสัญญาจ้างด้วยวาจา ในขณะที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างแก่โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างด้วยวาจาโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าเกิดจากการที่โจทก์กับพวกตั้งบริษัทวัฒนเจริญโลหะกิจ จำกัด ทำกิจการค้าแข่งขันกับจำเลย ถือเป็นกรณีจำเลยได้ระบุเหตุตามมาตรา 119 ( 2 ) ( 4 ) แก่โจทก์ในขณะบอกเลิกสัญญาจ้างด้วยวาจาแล้ว จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 17 วรรคสาม ที่ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.