คำพิพากษาฎีกาที่ 22326-22404/2555
ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงที่ทำงานในลักษณะเช่นเดียวกับลูกจ้างตามสัญญาจ้าง มีสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการค่าครองชีพ ค่าอาหาร ค่ารถ เงินโบนัส เหมือนกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรง อย่างเป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ
โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องทำนองเดียวกันว่า โจทก์แต่ละคนตามลำดับสำนวนเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ มีระยะเวลาการทำงานกับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ตำแหน่งหน้าที่ อัตราค่าจ้างกำหนดการจ่ายค่าจ้าง เป็นไปตามคำฟ้อง จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ส่งโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าไปทำงานกับจำเลยที่ ๑ งานที่ทำมีลักษณะเช่นเดียวกับพนักงานของจำเลยที่ ๑ แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ได้จัดสวัสดิการให้โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าได้รับเหมือนพนักงานของจำเลยที่ ๑ พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติต่อโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าและพนักงานของจำเลยที่ ๑ เองโดยเสมอภาคภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๒ แต่จำเลยที่ ๑ เพิกเฉย เป็นการปฏิบัติที่ไม่เสมอภาคและเลือกปฏิบัติขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ขอให้บังคับ จำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๒ ชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓๕ และที่ ๗๔ ถึงที่ ๗๙ ให้จำ เลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๓ ชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ ๓๖ ถึงที่ ๗๓ และให้จำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำ เลยที่ ๔ ชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ ๘๐ ถึงที่ ๘๓ ดังนี้ ค่าอาหาร เดือนละ ๓๕๐ บาท ค่าครองชีพเดือนละ ๑,๒๐๐ บาท เบี้ยขยันเดือนละ ๕๖๐ บาท ค่ารถเดือนละ ๓๐๐ บาท เงินโบนัสปีละ ๖ เดือน เงินทุกรายการให้ชำระย้อนหลัง ๒ ปี พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ทุก ๗ วัน จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์แต่ละคน
จำเลยที่ ๑ ให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ ๑ ตกลงว่าจ้างจำเลยที่ ๒ ให้รับเหมาค่าแรงผลิตสินค้า ตามสัญญาตกลงให้โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นรวมทั้งได้รับตามที่เรียกร้องมาตามฟ้องอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เป็นการเลือกปฏิบัติคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานสั่งให้จัดสวัสดิการในเรื่องอื่นอีกทั้งจำเลยที่ ๑ ก็ไม่ทราบคำสั่งดังกล่าว ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ทุก ๗ วัน ใช้เฉพาะเงินตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ เท่านั้น จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้รับจ้างจากจำเลยที่ ๑ ที่ได้รับค่าว่าจ้างมาไม่มาก จำเลยที่ ๒ ได้จ่ายค่าจ้างสวัสดิการและเงินโบนัสให้โจทก์ ที่เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ แต่เหตุที่แตกต่างจากพนักงานของจำเลยที่ ๑ เพราะความสามารถในการจ่ายและผลประกอบการแตกต่างกัน โจทก์ดังกล่าวสมัครใจเข้าทำสัญญาจ้างโดยยอมรับค่าจ้างและสวัสดิการตามเงื่อนไขที่จำเลยที่ ๒ กำหนด จำเลยที่ ๒ ไม่ได้กระทำการฝ่าฝืนสัญญาจ้างแรงงาน ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และกฎหมาย คุ้มครองแรงงาน และหากจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดในดอกเบี้ยก็เพียงไม่เกินอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ไม่ให้การ
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า ตำแหน่งหน้าที่ อัตราค่าจ้างกำหนดจ่ายค่าจ้างเป็นไปตามคำฟ้องของโจทก์แต่ละคน จำเลยที่ ๑ ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายชุดคลัตช์สำหรับรถจักรยานยนต์ ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ ๑ และโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าทำงานผลิตชิ้นงานชุดคลัตช์ซึ่งเป็นงานหลักของจำเลยที่ ๑ แต่โจทก์ ทั้งเจ็ดสิบเก้าได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการแตกต่างกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ ๑ โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าไม่ได้รับค่าครองชีพเดือนละ ๑,๒๐๐ บาทนายจ้างโดยตรงของโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้า (หมายถึงจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ) จัดอาหารและรถรับส่งให้แต่จำเลยที่ ๑ จัดอาหาร รถรับส่ง และจ่ายค่าอำหารกับค่ารถเท่ากับจำนวนตามคำฟ้อง ของโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าให้ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ไม่ได้จ่ายเงินโบนัสให้ลูกจ้าง จำเลยที่ ๒ จ่ายเงินโบนัสให้ลูกจ้างเท่ากับค่ำจ้างปี ละ ๑๓ วัน พนักงานตรวจแรงงานเคยมีคำสั่งให้โจทก์แต่ละคนได้รับเงินบางรายการให้เท่ากับลูกจ้าง ของจำเลยที่ ๑ โดยในคำสั่งไม่ปรากฏรายการตามคำฟ้อง แล้ววินิจฉัยว่า การที่คำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานไม่ระบุถึงเงินจำนวนอื่นก็ไม่ห้ามโจทก์มาเรียกร้องเพื่อให้ได้รับเท่าเทียมกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ ๑ โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าจึงต้องได้รับค่ำครองชีพ ค่าอาหาร และค่ารถให้เท่าเทียมกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ต้องจ่ายโบนัสให้โจทก์แต่ละคนครบเท่ากับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรง ของจำเลยที่ ๑ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑/๑ เบี้ยขยันมีลักษณะเป็นเงินจูงใจให้ลูกจ้างสร้างผลงานให้นายจ้าง และ จำเลยที่ ๑ มีเอกสารมาแสดงว่าโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับ จึงไม่กำหนดเบี้ยขยันให้ กฎหมายไม่ได้ยกเว้นว่า สิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างจำเลยที่ ๑ กับสหภาพแรงงาน เอฟ ซี ซี ไม่มีผลถึงลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ความรับผิดชอบของจำเลยที่ ๑ ต้องร่วมกับนายจ้างของโจทก์แต่ละคน เงินตามฟ้องไม่ใช่เงินตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๙ กำหนดดอกเบี้ยให้ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๒ รับผิดต่อโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓๕ ยกเว้นโจทก์ที่ ๒๙ และที่ ๗๔ ถึงที่ ๗๙ ให้จำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๓ รับผิดต่อโจทก์ที่ ๓๖ ถึงที่ ๗๓ ยกเว้นโจทก์ที่ ๔๙ ที่ ๕๒ และที่ ๕๔ และให้จำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๔ รับผิดต่อโจทก์ที่ ๘๐ ถึงที่ ๘๓ โดยจ่ายเงินให้แก่โจทก์แต่ละคนดังนี้ ค่าอาหาร ๘,๔๐๐ บาท ค่ำครองชีพ ๒๘,๘๐๐ บาท ค่ำรถ ๗,๒๐๐ บาท และเงินโบนัส ๗๕,๖๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินทุกจำนวนนับตั้งแต่วันฟ้องของโจทก์แต่ละสำนวนไปจนกว่าได้ชำระเสร็จ ทั้งนี้ โจทก์ที่เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ได้รับเงินโบนัสไปแล้วปี ละ ๑๓ วันหรือที่ขอมาตามฟ้องเท่ากับได้รับมาแล้วรวม ๒๖ วัน ให้นำไปหักออกจากจำนวนเงินโบนัสที่ศาลพิพากษาให้ในคดีนี้เสียก่อนด้วย คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันได้ความว่าจำเลยที่ ๒ เป็นนายจ้างโดยตรงของโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓๕ และที่ ๗๔ ถึงที่ ๗๙ จำเลยที่ ๓ เป็นนายจ้างโดยตรงของโจทก์ที่ ๓๖ ถึงที่ ๗๓ จำ เลยที่ ๔ เป็นนายจ้างโดยตรงของโจทก์ที่ ๘๐ ถึงที่ ๘๓ ต่อมาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์ที่ ๒๙ ที่ ๔๙ ที่ ๕๒ และที่ ๕๔ ถอนฟ้อง จึงเหลือโจทก์รวม ๗๙ คน จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ ๑ ให้จัดหาคนมาทำงานให้จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ จัดส่งโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าไปทำงานกับจำเลยที่ ๑ โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าเป็นลูกจ้างเหมาค่าแรงที่เข้าทำงานผลิตชิ้นงานชุดคลัตช์ซึ่งเป็นงานหลักของจำเลยที่ ๑ แต่ได้รับสิทธิประโยชน์ และสวัสดิการไม่เท่ากับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ ๑ ที่ทำ งานผลิตชิ้นงานชุดคลัตช์เช่นเดียวกัน
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ว่า จำเลยที่ ๑ ต้องดำเนินการ ให้โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการในค่ำครองชีพ ค่าอาหาร ค่ารถ เงินโบนัสเท่ากับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ ๑ หรือไม่ เพียงใด เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงยุติแล้วว่าโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าทำงานผลิตชิ้นงานชุดคลัตช์ซึ่งเป็นงานหลักของจำเลยที่ ๑ กรณีจึงอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑/๑ วรรคสอง ที่บัญญัติให้ผู้ประกอบกิจการดำเนินการให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรง ที่ทำงานในลักษณะเดียวกันกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ หมายความว่าผู้ประกอบกิจการต้องดำเนินการให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่ถูกต้องตามระเบียบแบบแผนของผู้ประกอบกิจการโดยไม่เลือกว่าเป็นลูกจ้างรับเหมาค่าแรง หรือลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรง อันเป็นการกำหนดหน้าที่ให้ผู้ประกอบกิจการต้องดำเนินการ สิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงได้รับตามมาตรา ๑๑/๑ จึงเป็นสิทธิตามที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ บัญญัติไว้โดยตรง แม้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงไม่ได้ลงลายมือชื่อในข้อเรียกร้องหรือมีส่วน ในการเลือกตั้งผู้แทนเป็นผู้เข้าร่วมในการเจรจา หรือมีข้อตกลงกับผู้ประกอบกิจการ แต่หากเป็นสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่ผู้ประกอบกิจการให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของตนเองไม่ว่าจะเป็นไปตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานระเบียบ หรือสัญญาจ้างแรงงาน ผู้ประกอบกิจการก็ต้องดำเนินการให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงที่ทำงานในลักษณะเดียวกันนั้นได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการดังกล่าว เช่นเดียวกัน ดังนั้น จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการจึงต้องดำเนินการให้โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าซึ่งเป็นลูกจ้างรับเหมาค่าแรงได้รับสิทธิประโยชน์แล้ว สวัสดิการในค่าครองชีพ ค่าอาหาร ค่ารถ เงินโบนัส ให้ถูกต้องตามที่จำเลยที่ ๑ จัดให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรง โดยต้องดำเนินการให้โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าได้รับในส่วนที่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ผู้เป็นนายจ้างโดยตรงไม่จัดให้หรือจัดให้น้อยกว่าลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ ๑ โดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน กับที่จำเลยที่ ๑ จัดให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรง ซึ่งหากจำเลยที่ ๑ มีหลักเกณฑ์ การจ่ายค่าครองชีพ ค่าอาหาร ค่ารถ เงินโบนัสให้ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงโดยกำหนด จากทักษะ ประสบการณ์ ตำแหน่งงาน จำนวนผลิตผลของงานอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของจำเลยที่ ๑ เช่นเดียวกัน อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ต่อไปว่า พนักงานตรวจแรงงานเคยมีคำสั่งให้จำเลย ที่ ๑ ปฏิบัติต่อโจทก์บางคนและลูกจ้างอื่น ๆ โดยเท่าเทียมกัน เงินโบนัสที่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้า ฟ้องเรียกร้องไม่มีปรากฏอยู่ในคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินโบนัส นั้น เห็นว่า โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าฟ้องคดีนี้เพื่อขอให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ปฏิบัติต่อโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าในลักษณะเดียวกันกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ ๑ โดยเรียกร้องสิทธิประโยชน์อื่นเพิ่มเติมนอกจากที่พนักงานตรวจแรงงานเคยมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติต่อโจทก์บางคนไว้ กรณีเป็นการฟ้องขอให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑/๑ มิได้ฟ้องขอให้บังคับ จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ได้มีคำสั่งตามมาตรา ๑๒๔ มีเพียงในส่วนของเบี้ยขยันที่พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติต่อลูกจ้างทุกคน โดยเท่าเทียมกัน แต่ศาลแรงงานกลางก็มิได้กำหนดให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ต้องจ่ายเบี้ยขยันอีกจึงไม่มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าสำหรับเบี้ยขยันอีก ดังนั้นโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าจึงมีสิทธิฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ จ่ายเงินโบนัส และเงินอื่น ๆ ให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าโดยเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติได้ และที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ต่อไปว่า โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยหรือเงินเพิ่มอัตราร้อยละ ๑๕ ทุกระยะ ๗ วัน นั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางไม่ได้กำหนดให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ต้องจ่ายเงินดังกล่าว อุทธรณ์ส่วนนี้ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่ได้เป็นการโต้แย้งข้อวินิจฉัยของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ว่า จำเลยที่ ๒ ต้องร่วมกับ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการให้โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติตาม มาตรา ๑๑/๑ วรรคสอง หรือไม่ เห็นว่า มาตรา ๑๑/๑ วรรคสอง บัญญัติให้เฉพาะผู้ประกอบกิจการเท่านั้นที่ต้องดำเนินการให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ ดังนั้นเฉพาะจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการเท่านั้นที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา ๑๑/๑ วรรคสอง จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนายจ้างโดยตรงของโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๒๘ ที่ ๓๐ ถึงที่ ๓๕ และที่ ๗๔ ถึงที่ ๗๙ และเป็นผู้ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ ๑ ให้จัดหำโจทก์ดังกล่าวมาทำงานในกระบวนการผลิตของจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย ดังนั้นที่จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จ่ายเงินโบนัสย้อนหลัง ๒ ปี โดยคำนวณจากค่าจ้างอัตราสุดท้ายของโจทก์แต่ละคนไม่ถูกต้อง คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางไม่ได้ระบุจำนวนเงินโบนัสที่ต้องจ่ายให้แก่โจทก์ที่เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ จึงไม่ชอบนั้น ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ฟังขึ้น สำหรับจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งอุทธรณ์มาในทำนองเดียวกันกับอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ข้างต้นนั้น แม้จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ จะไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลาง แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยให้ เห็นว่า จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นนายจ้างของโจทก์ที่ ๓๖ ถึงที่ ๔๘ ที่ ๕๐ ที่ ๕๑ ที่ ๕๓ และที่ ๕๕ ถึงที่ ๗๓ และจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นนายจ้างของโจทก์ที่ ๘๐ ถึงที่ ๘๓ โดยโจทก์ดังกล่าวเป็นลูกจ้างรับเหมาค่าแรงที่ปฏิบัติงานให้แก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการ จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในกำรดำเนินการให้โจทก์ดังกล่าวได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการเช่นกัน
อนึ่ง ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมายังไม่เพียงพอให้ศาลฎีกาใช้ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑/๑ มีดังนี้ ในระยะเวลาที่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าฟ้องเรียกค่าอาหาร ค่ารถ และเงินโบนัสนั้น โจทก์แต่ละคน ซึ่งได้รับค่าจ้างรายวันมีวันที่ไม่ได้รับค่าจ้างหรือไม่ มีจำนวนวันทำงานและจำนวนวันหยุดงานคนละเท่าไร ในแต่ละเดือนโจทก์แต่ละคนได้รับค่าจ้างเดือนละเท่าไร ในแต่ละช่วงที่จำเลยที่ ๑ จ่ายเงินโบนัสให้ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงโจทก์แต่ละคนได้รับค่าจ้างเดือนละเท่าไรรวมแล้วเป็นค่าจ้างในแต่ละช่วงของการจ่ายเงินโบนัสเป็นจำนวนเท่าใด เมื่อคำนวณเงินโบนัสตามวิธีการของจำเลยที่ ๑ โจทก์แต่ละคนได้รับเงินโบนัสหรือไม่ จำนวนงวดละเท่าใด โจทก์แต่ละคนมีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงได้รับเงินโบนัสและค่ำครองชีพหรือไม่ โจทก์ที่เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ได้รับเงินโบนัสจากจำเลยที่ ๒ แล้วจำนวนเท่าใด เมื่อคำนวณตามหลักเกณฑ์การจ่ายเงินโบนัสของจำเลยที่ ๒ ลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ มีกี่ประเภท โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าเทียบได้กับลูกจ้างประเภทใด จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าอาหารและค่ารถให้เฉพาะวันที่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงมาทำงานหรือไม่จ่ายค่าอาหารให้ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงประเภทใด จ่ายเป็นเงินอย่างเดียวหรือจ่ายเป็นเงินและอาหาร มีหลักเกณฑ์ให้ลูกจ้างผู้ได้รับค่าอาหารเป็นเงินต้องปฏิบัติอย่างไรหรือไม่จ่ายค่ารถให้ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงเป็นเงินอย่างเดียวหรือจ่ายเป็นเงินและจัดรถรับส่งให้ด้วย หลักเกณฑ์ในการจ่ายค่ารถ หลักเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ จ่ายเงินโบนัสให้ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงในช่วงเวลาที่โจทก์แต่ละคนฟ้องเรียกเงินโบนัส อัตราส่วนเงินโบนัสและสูตรการคำนวณเงินโบนัส จำนวนครั้งของการจ่ายใน ๑ ปี จ่ายเมื่อใด วิธีคำนวณเงินโบนัสในกรณีมีวันที่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงหยุดงาน คุณสมบัติของลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงที่มีสิทธิได้รับเงินโบนัส หลักเกณฑ์ในการจ่ายค่าครองชีพให้ลูกจ้างโดยตรงจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ได้จ่ายค่าอาหาร ค่ารถ เงินโบนัส และค่าครองชีพให้โจทก์แต่ละคนหรือไม่ เพียงใด ในกรณีจ่ายเป็นอาหารคำนวณเป็นเงินได้เดือนละเท่าไร ในกรณีจัดรถรับส่งให้คำนวณเป็นเงินได้เดือนละเท่าไร จึงให้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวเพิ่มเติม
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ด ำเนินการให้โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเก้าได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการในค่าครองชีพ ค่าอาหาร ค่ารถ เงินโบนัสในส่วนที่ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ไม่จัดหรือจัดให้น้อยกว่าลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ ๑ โดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับที่จำเลยที่ ๑ จัดให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๖ วรรคสอง ให้ศาลแรงงานกลาง ฟังข้อเท็จจริงข้างต้นเพิ่มเติมให้ครบถ้วน แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.