คำพิพากษาฎีกาที่ 4749/2556
|
ฝ่าฝืน คำสั่ง แม้ไม่ใช่งานในหน้าที่แต่นายจ้างสามารถสั่งหรือมอบหมายได้ตามความเหมาะสมไม่ปฏิบัติ ถือว่าขัดคำสั่ง ลงโทษได้ แต่ไม่ถือว่าผิดร้ายแรง ลงโทรโดยการภาคฑัณฑ์ ( ตักเตือน )
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า นายนิวัฒน สมศรี ผู้คัดค้านเป็นลูกจ้างและกรรมการลูกจ้างของผู้ร้อง ตำแหน่งซ่อมงาน แผนกบรรจุหีบห่อ เมื่อวันที่ 19 และวันที่ 22 กันยายน 2548 ผู้ร้องมีคำสั่งให้พนักงานขายในแผนกบรรจุหีบห่อไปขนย้ายวัสดุอุปกรณ์และเอกสารของแผนกและในแผนก ขนย้ายสิ่งของจากชั้นล่างขึ้นไปเก็บบนชั้นลอยของแผนกและช่วยงานตรวจสอบคุณภาพของผ้าก่อนจะส่งไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวแต่ผู้คัดค้านจงใจฝ่าฝืนคำสั่ง ผู้คัดค้านได้มีหนังสือตักเตือนสำหรับการละทิ้งหน้าที่ ขาดงาน และฝ่าฝืนคำสั่งสำหรับการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งในวันที่ 19 กันยายน 2548 แล้ว ดังนั้น เมื่อผู้คัดค้านกระทำความผิดอีกในวันที่ 22 กันยายน 2548 ผู้ร้องจึงไม่ประสงค์จะจ้างผู้คัดค้านทำงานต่อไปอีก จึงขออนุญาตเลิกจ้างผู้คัดค้านโดยไม่จ่ายค่าชดเชยนับแต่วันยื่นคำร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นประธานสหภาพแรงงานและกรรมการลูกจ้างของผู้ร้อง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2548 ผู้ร้องมีคำสั่งให้พนักงานชายทุกคนในแผนกบรรจุหีบห่อไปขนย้ายวัสดุอุปกรณ์ที่อาคารห้าชั้น แต่ผู้คัดค้านไม่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งผู้ร้องได้ เพราะอาคารห้าชั้นถูกปล่อยร้างมาหลายปีมีฝุ่นมาก ผู้คัดค้านเป็นไข้หวัดจึงหายใจเข้าออกไม่สะดวก จึงกลับเข้าปฏิบัติงานในแผนกบรรจุหีบห่อตามปกติ วันที่ 22 กันยายน 2548 ผู้ร้องมีคำสั่งให้พนักงานชายทุกคนในแผนกบรรจุหีบห่อขนย้ายสิ่งของในแผนกจากชั้นล่างไปเก็บที่ชั้นลอยของแผนก และในวันเดียวกันนั้นได้มีคำสั่งให้ไปตรวจสอบคุณภาพของผ้า ณ แผนกวัสดุ ผู้คัดค้านเห็นว่าการขนย้ายเป็นหน้าที่ของพนักงานทั่วไป ส่วนการตรวจสอบคุณภาพของผ้าเป็นหน้าที่ของแผนกพัสดุซึ่งผู้คัดค้านไม่มีความสามารถที่จะทำได้จึงได้ปฏิบัติหน้าที่แผนกบรรจุหีบห่อตามปกติโดยมิได้มีเจตนาขัดคำสั่งแต่อย่างใด ส่วนการที่ผู้ร้องมีหนังสือตักเตือนก็เป็นหนังสือเตือนที่ออกโดยมิชอบเพราะไม่ได้ขออนุญาตศาลแรงงานก่อน และได้ลงโทษผู้คัดค้านโดยหักค่าจ้างจำนวน 279 บาท และเบี้ยขยันอีก 2 แรงของผู้คัดค้านไปแล้ว ผู้คัดค้านเห็นว่าคำสั่งลงโทษโดยมีหนังสือตักเตือนและหักค่าจ้างเบี้ยขยันเป็นคำสั่งไม่ชอบจึงได้ฟ้องผู้ร้องต่อศาลแรงงานกลาง ต่อมาศาลแรงงานกลางได้ไกล่เกลี่ยจนคดียุติแล้ว การที่ผู้ร้องนำกรณีเดิมมาร้องขอเลิกจ้างผู้คัดค้านจึงไม่ชอบ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า ผู้ร้องมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านและพนักงานชายในแผนกบรรจุหีบห่อขนย้ายวัสดุอุปกรณ์โดยวันที่ 19 กันยายน 2548 ขนย้ายที่อาคารห้าชั้น วันที่ 22 กันยายน 2548 ขนย้ายสิ่งของจากแผนกไปเก็บที่ชั้นลอย และให้ไปตรวจสอบคุณภาพของผ้า ณ แผนกพัสดุ การที่ผู้คัดค้านไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง โดยอ้างว่าป่วยและไม่ใช่หน้าที่ของตน หากผู้คัดค้านป่วยก็มีสิทธิลาป่วยได้ แต่ผู้คัดค้านยังคงทำงานย่อมแสดงว่าผู้คัดค้านทำงานได้ การที่ผู้คัดค้านอ้างว่าทำงานไม่ได้ ทำไม่ไหวและไม่ใช่หน้าที่ย่อมแสดงว่าผู้คัดค้านเกี่ยงเลือกงานไม่นำพาต่อคำสั่ง ทั้งการที่ได้รับคำสั่งให้ขนของแต่กลับมาทำงานซ่อมที่แผนกบรรจุหีบห่อ จึงเป็นการทำงานตามอำเภอใจตนเองย่อมทำให้ระบบการทำงาน ระบบการปกครองของผู้ร้องเสียหายได้ มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านกรรมการลูกจ้างได้ ส่วนคำขออื่นให้ยก
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ผู้คัดค้านอุทธรณ์ อ้างว่าผู้คัดค้านในฐานะประธานสหภาพแรงงานเคยมีหนังสือร้องเรียนผู้ร้องไปยังพนักงานตรวจแรงงานว่าผู้ร้องมีคำสั่งให้พนักงานทำงานในลักษณะหมุนเวียนกัน แต่จ่ายค่าจ้างเพียงครึ่งเดียว หลังจากนั้นผู้ร้องก็ได้กระทำการต่างๆ ให้ผู้คัดค้านไม่สามารถทำงานอยู่ต่อไปได้ การที่มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านขนย้ายสิ่งของโดยมิใช่หน้าที่ความรับผิดชอบของผู้คัดค้านเป็นเจตนา กลั่นแกล้งผู้คัดค้าน กระทั่งมีหนังสือเลิกจ้างผู้คัดค้านจึงเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 52 และมาตรา 121 (1) (2) และมาตรา 123 นั้น เห็นว่าอุทธรณ์ผู้คัดค้านเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นพิจารณาของศาลฎีกาเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
อนึ่ง ตามข้อเท็จจริงที่ยุติในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลางปรากฏเพียงว่าผู้คัดค้านไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้ร้องที่ให้ช่วยขนย้ายวัสดุอุปกรณ์และตรวจคุณภาพของผ้าซึ่งแม้การทำงานดังกล่าวจะไม่ใช่งานในหน้าที่โดยตรงของผู้คัดค้าน แต่ก็ถือได้ว่าเป็นงานที่นายจ้างอาจมอบหมายให้ลูกจ้างทำได้เป็นการพิเศษ การที่ผู้คัดค้านไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ร้องจึงเป็นการกระทำผิดวินัยตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย ร.8 หมวดที่ 9 วินัยและโทษทางวินัย ข้อ19 แต่การกระทำผิดวินัยดังกล่าวผู้ร้องก็มิได้กำหนดให้เป็นความผิดร้ายแรง โทษทางวินัยของผู้ร้องได้ระบุไว้ 4 ขั้น คือภาคภัณฑ์ พักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ปลดออก และเลิกสัญญาจ้าง การที่ผู้ร้องขอลงโทษผู้คัดค้านโดยขอเลิกจ้างหรือเลิกสัญญาจ้างอันเป็นโทษขั้นสูงสุดโดยที่ความผิดวินัยของผู้คัดค้านยังไม่ถึงกับเป็นความผิดร้ายแรงถึงขึ้นเลิกสัญญาจ้างนั้น จึงยังไม่มีเหตุผลสมควรที่จะอนุญาตได้ ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านได้นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา แต่เห็นสมควรให้ผู้ร้องจัดทำหนังสือระบุถึงความผิดและการลงโทษโดยภาคทัณฑ์ในความผิดที่เกิดขึ้น โดยมีเงื่อนไขระยะเวลาภาคทัณฑ์ไว้ 1 ปี ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องต่อไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ร้องลงโทษภาคทัณฑ์ผู้คัดค้านตามนัยข้างต้นนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลแรงงานกลาง .