คำพิพากษาฎีกาที่ 1368/2556
ใบรับเงินระบุไม่ติดใจเรียกร้องสิทธิใดๆ จากจำเลยอีกมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ มีผลผูกพันโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยอีก
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2532 ครั้งสุดท้ายดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 31,343 บาท และเบี้ยขยันเดือนละ 800 บาท เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2548 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่องทำให้ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้นขณะที่ราคาขายสินค้าไม่ได้มีการปรับเพิ่ม ทำให้จำเลยประสบปัญหาขาดทุนต้องปรับปรุงโครงสร้างองค์กรและกำลังคน จำเป็นต้องลดจำนวนพนักงาน ซึ่งไม่เป็นความจริง จำเลยอ้างเหตุเพียงเพื่อที่จะเลิกจ้างโจทก์เท่านั้น จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจากการที่ไม่ได้รับค่าจ้าง เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินโบนัส และเบี้ยขยัน ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 5,533,613.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากจำเลยประสบภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่องต้องลดจำนวนพนักงานส่วนเกินจาก 111 คน เหลือ 98 คน จำเลยได้ใช้วิธีเลิกจ้างโดยลดจำนวนพนักงานที่เกินความจำเป็น ในส่วนของโจทก์ซึ่งทำงานอยู่ที่ฝ่ายความปลอดภัยมีพนักงานอยู่ 3 คน คือ ผู้จัดการฝ่าย หัวหน้าแผนก และโจทก์จำเลยได้พิจารณาบุคคลที่มีประสิทธิภาพในการทำงานให้แก่จำเลยได้มากที่สุด จึงเลิกจ้างผู้จัดการฝ่ายและโจทก์ ยังคงเหลือหัวหน้าแผนกทำงานนี้เท่านั้น ในการเลิกจ้างโจทก์จำเลยได้จ่ายผลประโยชน์ให้แก่โจทก์ครบถ้วนตามกฎหมายเป็นเงิน 376,116 บาท และในหนังสือรับเงินโจทก์ได้ลงลายมือชื่อโดยมีข้อความไว้ด้วยว่า โจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว และไม่ติดใจเรียกร้องสิทธิประโยชน์ใดๆ จากบริษัทอีก ดังนั้นโจทก์จึงฟ้องจำเลยให้รับผิดตามฟ้องไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหาย 501,488 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2548 ซึ่งเป็นวันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า ใบรับเงินตามเอกสารหมาย จ.ล.4 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลย มีผลให้สิทธิได้รับค่าเสียหารจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมของโจทก์ระงับไปหรือไม่ เห็นว่า หลังจากจำเลยมีหนังสือแจ้งการเลิกจ้างโจทก์ ในวันเดียวกัน นายสุขสันต์ ขุนโต ผู้จัดการฝ่ายความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมได้รับมอบหมายจากจำเลยให้นำใบรับเงินตามเอกสารหมาย จ.ล.4 ให้โจทก์ลงลายมือชื่อ โจทก์เบิกความว่า รู้สึกตกใจมากเพราะไม่ทราบมาก่อนว่าจะถูกเลิกจ้าง โจทก์จึงแจ้งว่าขอเวลาคิดดูก่อน นางอรพินท์ ดีรณอมรวงศ์ ผู้อำนวยการสายงานปฏิบัติการของจำเลยพูดกับโจทก์ว่าถ้าไม่ยอมลงลายมือชื่อจะทำให้โจทก์ไม่ได้รับเงินที่ระบุไว้ในหนังสือฉบับนี้ และจะต้องไปฟ้องคดีต่อศาลเอาเอง โจทก์ก็ยังไม่ลงลายมือชื่อและกลับบ้าน หลังจากนอนคิดหนึ่งคืนโจทก์ตัดสินใจไปลงลายมือชื่อในใบรับเงินเพื่อรับเงินมาใช้จ่ายในระหว่างว่างงาน แสดงให้เห็นว่าการที่โจทก์ตัดสินใจไปลงลายมือชื่อในใบรับเงินตามเอกสารหมาย จ.ล.4 หลังวันเลิกจ้างเป็นไปโดยความสมัครใจของโจทก์ เมื่อใบรับเงินดังกล่าวมีข้อความในวรรคสองว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์และได้จ่ายเงินผลประโยชน์แก่โจทก์ดังนี้ เงินเดือนสำหรับเดือนพฤศจิกายน 31,343 บาท ค่าเสียหายแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 31,343 บาท กับค่าชดเชย 300 วัน เท่ากับ 313,430 บาท รวมเป็นเงิน 376,116 บาท วรรคท้ายมีข้อความว่าโจทก์ได้รับเงินจำนวนดัง4กล่าวเรียบร้อยแล้ว และไม่ติดใจเรียกร้องสิทธิประโยชน์ใดจากจำเลยอีก โดยลงลายมือชื่อในช่องผู้รับเงินต่อหน้าพยานสองคนย่อมถือได้ว่าใบรับเงินฉบับนี้มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ มีผลผูกพันโจทก์ว่าหลังจากโจทก์ได้รับเงินสามจำนวนข้างต้นอันเป็นเงินตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานครบถ้วนแล้ว โจทก์สละสิทธิที่จะเรียกร้องเงินอื่นใดตามกฎหมาย ซึ่งมีความหมายรวมทั้งค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมอันมิใช่เงินตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานที่เป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามคำฟ้องจากจำเลย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยข้ออื่นต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง