คำพิพากษาฎีกา ที่ 14050 - 14057/ 2555
ลาออก ตามโครงการเกษียณก่อนกำหนด เมื่อข้อตกลงหรือโครงการเกษียณก่อนกำหนดมิได้ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของกฎหมายและมิได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย จึงมีผลบังคับใช้ได้ เมื่อโจทก์ลาออกตามโครงการดังกล่าวจึงถือว่าได้ตกลงระงับสัญญาจ้างต่อกันแล้ว ย่อมมีสิทธิได้รับเงินตามข้อตกลงในโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดไม่มีสิทธิได้รับเงินอื่นๆ อีก
รายชื่อโจทก์ปรากฏตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
คดีทั้งแปดสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมการพิจารณาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งแปดสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 8 ตามลำดับ และให้เรียกจำเลยทั้งแปดสำนวนว่า จำเลย
โจทก์ทั้งแปดสำนวนฟ้องทำนองเดียวกันว่า โจทก์ทั้งแปดเป็นลูกจ้างของจำเลยตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 ต่อมาวันที่ 10 เมษายน 2551 คณะกรรมการของจำเลยมีมติเห็นชอบให้จำเลยจัดทำโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดและโครงการร่วมใจจากองค์การ โจทก์ทั้งแปดแสดงความจำนงขอเกษียณอายุก่อนกำหนดจำเลยอนุมัติให้โจทก์ทั้งแปดลาออกก่อนกำหนดเกษียณอายุตามโครงการดังกล่าวโดยจำเลยตกลงให้โจทก์ที่ 1 มีสิทธิได้รับผลประโยชน์ตอบแทน ได้แก่ เงินค่าวิชาชีพ ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีและเงินบำเหน็จจากกองทุนสงเคราะห์ แต่จำเลยจ่ายเงินค่าวิชาชีพให้แก่โจทก์ที่ 1 ขาดไป 89,918 บาท และจำเลยต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีอีก 7 วัน เป็นเงิน 30,356.66 บาท ส่วนเงินบำเหน็จที่จำเลยต้องจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งแปดเมื่อออกจากงาน ซึ่งต้องเป็นไปตามข้อบังคับการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 14 ว่าด้วย กองทุนสงเคราะห์ พ.ศ.2522 โดยคิดจากเงินค่าจ้างเดือนสุดท้ายที่ออกจากงานคูณด้วยจำนวนปีที่ทำงาน แต่จำเลยคำนวณจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งแปดเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นเวลาทำงานในการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย และส่วนที่ 2 เป็นเวลาทำงานในบริษัทจำเลย การคำนวณเป็น 2 ส่วนดังกล่าวเป็นการนับเวลาทำงานไม่ต่อเนื่องกัน จึงขัดต่อพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 จำเลยไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2543 เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ขัดกับพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2543 และต้องใช้ระเบียบข้อบังคับการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ฉบับที่ (14) ว่าด้วย กองทุนสงเคราะห์ พ.ศ.2522 ในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินบำเหน็จ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินบำเหน็จที่ขาดแก่โจทก์ทั้งแปด และเงินค่าวิชาชีพกับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์ที่ 1 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งแปดสำนวนให้การว่า เดิมจำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจ จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 ต่อมาได้เปลี่ยนสภาพเป็นบริษัทมหาชน จำกัด ตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 โดยใช้ชื่อว่าบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ให้อักษรย่อว่า ทอท. ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2545 คณะกรรมการของจำเลยมีมติในการประชุมครั้งที่ 1/2545 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2545 อนุมัติให้ใช้ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง และประกาศการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยที่บังคับใช้อยู่ในขณะนั้นในการดำเนินกิจการของจำเลยต่อไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งรวมถึงข้อบังคับการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 14 ว่าด้วย กองทุนสงเคราะห์ พ.ศ.2542 ด้วย ต่อมาวันที่ 19 สิงหาคม 2546 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้รัฐวิสาหกิจ 12 แห่ง รวมทั้งจำเลยได้รับการยกเว้น กฎ ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรีต่างๆ ที่กำหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงิน ตามมาตรา 13 (2) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2543 ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์โดยให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งสามารถปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงิน การกำหนดอัตราค่าจ้าง ค่าตอบแทนหรือสวัสดิการต่างๆ ของพนักงานได้เอง เมื่อคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้นเห็นชอบแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 10/2546 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2546 คณะกรรมการของจำเลยมีมติกำหนดระเบียบบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ.2546 ขึ้น ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2546 เป็นต้นไป ยกเว้นวิธีการคำนวณบำเหน็จในข้อ 17 ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2545 เป็นต้นไป ซึ่งระเบียบข้อ 17 กำหนดว่า การคำนวณบำเหน็จให้คำนวณจากผลรวม 2 ส่วนได้แก่ส่วนที่ 1 คำนวณจากระยะเวลาตั้งแต่ปฏิบัติงานในการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยจนถึงวันที่ 29 กันยายน 2545 คูณด้วยเงินเดือน ณ วันที่ 29 กันยายน 2545 ส่วนที่ 2 คำนวณจากระยะเวลาที่ปฏิบัติงานในบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) คูณด้วยเงินเดือนเดือนสุดท้ายที่ออกจากงาน สำหรับพนักงานหรือลูกจ้างประจำซึ่งได้รับเงินเดือนเดือนสุดท้ายไม่เต็มเดือน ให้ถือเอาอัตราเงินเดือนเดือนสุดท้ายเต็มเดือนเป็นเกณฑ์คำนวณ จำเลยได้ออกระเบียบดังกล่าวตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 19 สิงหาคม 2546 การที่จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จให้แก่โจทก์ทั้งแปดแบ่งเป็น 2 ส่วนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในระเบียบของจำเลยว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ.2546 โดยมิได้ใช้ข้อบังคับการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 14 ว่าด้วย กองทุนสงเคราะห์ พ.ศ.2522 ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ขัดต่อพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2543 เพราะเป็นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2546 และคณะกรรมการของจำเลยได้ให้ความเห็นชอบแล้ว โดยได้รับความยินยอมจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการท่าอากาศยานไทย ซึ่งมีสิทธิและหน้าที่ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2543 มาตรา 40, 54 (6) ในการปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การจ่ายเงินบำเหน็จโดยยกเลิกระเบียบเก่าและใช้ระเบียบใหม่ คือ ระเบียบบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วย กองทุนสงเคราะห์ พ.ศ.2546 แทน ระเบียบใหม่ดังกล่าวจึงเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่นายจ้างกับลูกจ้างตกลงกัน จึงมีผลใช้บังคับได้ การที่จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จให้โจทก์ทั้งแปดเป็น 2 ส่วน จึงสอดคล้องกับหนังสือกระทรวงการคลังที่ กค.0209.2/10649 ลงวันที่ 31 มิถุนายน 2545 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับกองทุนบำเหน็จและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของการสื่อสารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่พนักงานกลุ่มอื่นๆ ส่วนสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับเงินค่าวิชาชีพนั้น จำเลยเริ่มจ่ายเงินค่าวิชาชีพตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2539 ในอัตราไม่เกินคนละ 4,000 บาทต่อเดือน ต่อมาสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีหนังสือที่ นร.0205/ว (ล) 12475 ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 แจ้งเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าวิชาชีพหรือเงินเพิ่มพิเศษสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลนตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 30 ตุลาคม 2544 โดยให้อำนาจคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจที่จะพิจารณาจ่ายตามความเหมาะสม ความจำเป็น และฐานะทางการเงิน แต่จะต้องไม่เกิน วงเงินที่มีการจ่ายครั้งสุดท้าย (278,400 บาทต่อเดือน) จำเลยจ่ายเงินค่าวิชาชีพหรือเงินเพิ่มพิเศษฯ ให้แก่ผู้มีสิทธิตามเงื่อนไขดังกล่าวทุกคนรวมทั้งโจทก์ที่ 1 ด้วย ในอัตราคนละ 3,760 บาทต่อเดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 จนกระทั่งจำเลยได้ชะลอการจ่ายเงินค่าวิชาชีพหรือเงินเพิ่มพิเศษฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2548 เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่มีมติให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 30 ตุลาคม 2544 ในส่วนที่เกี่ยวกับเงื่อนไขให้มีสิทธิได้รับเงินค่าวิชาชีพหรือเงินเพิ่มพิเศษเฉพาะผู้ที่เคยได้รับอยู่ก่อนมีการระงับการจ่าย ต่อมาคณะกรรมการของจำเลยมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินค่าวิชาชีพหรือเงินเพิ่มพิเศษฯ ตามเงื่อนไขคณะรัฐมนตรีวันที่ 30 ตุลาคม 2544 โดยจ่ายย้อนหลังให้แก่ผู้ที่ยังไม่เคยได้รับทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 ถึง 1 ธันวาคม 2548 และจ่ายให้แก่ผู้ที่มีสิทธิทั้ง 2 กลุ่ม คือ ผู้ที่เคยรับอยู่เดิม และผู้ที่ได้รับใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2548 ตามวงเงินที่จำเลยสามารถดำเนินการได้ (278,400 บาทต่อเดือน) โดยนำมาเฉลี่ยตามจำนวนผู้ที่มีสิทธิในแต่ละเดือน เป็นผลให้ผู้ที่มีสิทธิเดิมแต่ละคนรวมทั้งโจทก์ที่ 1 ได้รับเงินค่าวิชาชีพพิเศษหรือเงินเพิ่มพิเศษฯ ลดลง คงเหลือคนละ 1,074 - 1,265 บาท ดังนั้นโจทก์ที่ 1 จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าวิชาชีพเพิ่มเติมแต่อย่างใด ส่วนค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีนั้น จำเลยได้จัดทำโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดและโครงการร่วมใจจากองค์การประจำปีงบประมาณ 2551 เป็นการชี้ชวนให้พนักงานสมัครเข้าร่วมโครงการ ถือเป็นความสมัครใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย เมื่อโจทก์ที่ 1 สมัครเข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด และได้รับอนุมัติให้ลาออกจากหน้าที่การงานแล้ว จึงเป็นการลาออกด้วยความสมัครใจ มิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดจำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์ที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งแปดอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมจำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจประเภทองค์การของรัฐ ตามพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 ชื่อว่า การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยโจทก์ทั้งแปดเป็นพนักงานของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ต่อมาการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยเปลี่ยนสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจประเภทบริษัทจำกัด (มหาชน) ชื่อว่า บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ใช้อักษรย่อว่า ทอท. เมื่อ พ.ศ.2545 ตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 กำหนดให้พนักงานตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเป็นลูกจ้างของจำเลยได้รับเงินเดือน ค่าจ้าง และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ไม่น้อยกว่าที่เคยได้รับอยู่เดิม กับให้ถือว่าเวลาการทำงานของพนักงานในรัฐวิสาหกิจเดิมเป็นการทำงานในบริษัทจำเลยโดยไม่ถือว่าการเปลี่ยนสภาพจากรัฐวิสาหกิจเดิมเป็นบริษัทจำเลยนั้นเป็นการเลิกจ้าง คณะกรรมการของจำเลยมีมติอนุมัติให้ใช้ข้อบังคับ ระเบียบคำสั่งและประกาศการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยที่บังคับใช้อยู่ในขณะนั้นในการดำเนินกิจการของจำเลยต่อไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง โจทก์ทั้งแปดซึ่งเป็นพนักงานของรัฐวิสาหกิจเดิมจึงเป็นพนักงานของจำเลยรัฐวิสาหกิจเดิมมีข้อบังคับฉบับที่ (14) ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ.2522 ให้จ่ายเงินบำเหน็จจากกองทุนสงเคราะห์ให้แก่พนักงานหรือลูกจ้างประจำเมื่อต้องออกจากงาน โดยคำนวณจากอัตราเงินเดือนเดือนสุดท้าย คูณด้วยเวลาทำงานนับเป็นปี เศษของปีให้นับตามอัตราส่วนจำนวนวัน ต่อมาคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เห็นว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้รัฐวิสาหกิจที่มีศักยภาพและมีความสามารถในการบริหารจัดการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์จึงมีมติให้นำกรอบที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบดังกล่าวมากำหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินตาม มาตรา 13 (2) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2543 แก่รัฐวิสาหกิจ 12 แห่ง ซึ่งรวมทั้งจำเลยด้วย โดยให้รัฐวิสาหกิจดังกล่าวสามารถดำเนินการปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินในการกำหนดอัตราค่าจ้าง ค่าตอบแทนหรือสวัสดิการต่างๆ ของพนักงานเองได้ เมื่อคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้นเห็นชอบแล้ว และเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2546 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการนำกรอบที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้รัฐวิสาหกิจ 12 แห่งได้รับการยกเว้นกฎ ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรีต่างๆ มากำหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินตามมาตรา 13 (2) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2543 ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ โดยให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งสามารถดำเนินการปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินในการกำหนดอัตราค่าจ้าง ค่าตอบแทนหรือสวัสดิการต่างๆ ของพนักงานได้เอง เมื่อคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้นเห็นชอบแล้ว วันที่ 31 ตุลาคม 2546 คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจของจำเลยมีมติให้กำหนดระเบียบของจำเลยว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ. 2546 ขึ้นให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2546 เป็นต้นไป ยกเว้นวิธีการคำนวณบำเหน็จในข้อ 17 ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2545 เป็นต้นไป ซึ่งกำหนดว่า
ข้อ 17 การคำนวณบำเหน็จให้คำนวณจากผลรวม 2 ส่วน ได้แก่
1. ส่วนที่หนึ่งคำนวณจากระยะเวลาตั้งแต่ปฏิบัติงานในการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยจนถึงวันที่ 29 กันยายน 2545 คูณด้วยเงินเดือน ณ วันที่ 29 กันยายน 2545
2. ส่วนที่สองคำนวณจากระยะเวลาที่ปฏิบัติงานในท่าอากาศยานไทยคูณด้วยเงินเดือนเดือนสุดท้ายที่ออกจากงาน
ต่อมาเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2551 คณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจจำเลยมีมติเห็นชอบให้จำเลยจัดทำโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด และโครงการร่วมใจจากองค์กรประจำปีงบประมาณ 2551 โดยเสนอผลตอบแทน โจทก์ทั้งแปดสมัครเข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดและผ่านการพิจารณากลั่นกรองของคณะกรรมการฯ ให้สามารถลาออกตามโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดได้ตามคำสั่งบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่ 653/2551 เรื่อง ให้พนักงานลาออกจากหน้าที่การงานโดยให้มีสิทธิได้รับผลประโยชน์ตอบแทนต่างๆ หลายประการ ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป ซึ่งจำเลยได้จ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่โจทก์ทั้งแปดแล้ว และโจทก์ที่ 1 ยังเหลือวันหยุดพักผ่อนประจำปี 7 วัน ส่วนที่เกี่ยวกับเงินค่าวิชาชีพหรือเงินเพิ่มพิเศษนั้น เมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2539 คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจเดิมในสังกัดกระทรวงคมนาคม เห็นชอบให้จ่ายเงินเพิ่มพิเศษสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลน กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว อนุมัติให้จ่ายเงินเพิ่มพิเศษสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลนดังกล่าว ในเงื่อนไขที่กำหนด 5 ข้อ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยมีคำสั่งที่ 165/2540 เรื่อง การจ่ายเงินเพิ่มพิเศษสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลนโดยกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลน สอดคล้องกับหนังสือกระทรวงการคลัง โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ที่ได้รับเงินเพิ่มพิเศษสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลนต่อมามีการระงับการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 ตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ นร.0205/(ล) 17155 ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2541 ต่อมาวันที่ 30 ตุลาคม 2544 คณะรัฐมนตรีมีมติให้อำนาจคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจที่จะพิจารณาจ่ายเงินเพิ่มพิเศษสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลนตามความเหมาะสม ความจำเป็นและฐานะทางการเงิน แก่ผู้ที่เคยได้รับอยู่ก่อนถูกระงับและจะต้องไม่เกินวงเกินที่มีการจ่ายครั้งสุดท้ายตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร.0205/(ล) 12475 ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 รัฐวิสาหกิจเดิมและจำเลยได้จ่ายเงินเพิ่มพิเศษสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลนในวงเงิน 278,400 บาท ที่มีการจ่ายครั้งสุดท้ายให้แก่ผู้มีสิทธิตามเงื่อนไขดังกล่าวทุกคนรวมทั้งโจทก์ที่ 1 ด้วยในอัตราคนละ 3,760 บาท ต่อเดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 เป็นต้นไป และได้ระงับการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษไว้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2548 เนื่องจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2544 ในส่วนกำหนดเงื่อนไขการมีสิทธิได้รับเงินเพิ่มพิเศษฯ ว่าต้องเป็นพนักงานซึ่งเคยได้รับเงินเพิ่มพิเศษฯ อยู่เดิมก่อนที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ระงับการจ่าย ทั้งนี้ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2544 เพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว และไม่ให้ขัดกับหนังสือของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจกระทรวงการคลังที่กำหนดว่า ให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจสามารถจ่ายได้ไม่เกินวงเงินที่ได้มีการจ่ายครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2541 ในการประชุมครั้งที่ 1/2551 เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2551 คณะกรรมการของจำเลยได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินเพิ่มพิเศษฯ ย้อนหลังให้แก่ผู้ที่อยู่ในเงื่อนไขที่จะได้รับทั้งหมดแต่ยังไม่เคยได้รับย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 ถึง 1 ธันวาคม 2548 เท่ากันกับผู้ที่เคยได้รับกลุ่มแรกเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันไม่เลือกปฏิบัติระหว่างพนักงานที่ปฏิบัติงานด้านเดียวกันตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด และอนุมัติจ่ายเงินเพิ่มพิเศษฯ ให้แก่ผู้มีสิธิทั้งสองกลุ่มคือผู้ที่ได้รับอยู่เดิมและผู้ที่ได้รับใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2548 เป็นต้นไป ตามวงเงินที่จำเลยสามารถดำเนินการได้ คือ 278,400 บาทต่อเดือน โดยนำมาเฉลี่ยให้แก่ผู้มีสิทธิตามจำนวนผู้มีสิทธิได้รับในแต่ละเดือน จากเดิมมีจำนวน 74 คน ได้รับคนละ 3,760 บาทต่อเดือน ครั้งสุดท้ายมีจำนวน 250 คน เฉลี่ยได้รับคนละเดือนละประมาณ 1,074 บาทถึง 1,265 บาท
ที่โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์ทำนองว่า ไม่ว่าจำเลยจะจ่ายเงินบำเหน็จตามข้อบังคับฉบับใด จำเลยต้องนำค่าวิชาชีพซึ่งเป็นค่าจ้างมารวมคำนวณเป็นเงินบำเหน็จด้วยนั้น เห็นว่าโจทก์ที่ 1 มิได้บรรยายฟ้องว่า เงินค่าวิชาชีพเป็นค่าจ้างและจะต้องนำมารวมคำนวณเป็นเงินบำเหน็จ เช่นนี้ อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 ข้อนี้จึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งแปดว่า จำเลยต้องจ่ายเงินบำเหน็จส่วนที่ขาดแก่โจทก์ทั้งแปดตามฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์ทั้งแปดอุทธรณ์ว่า ตามโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดมิได้ระบุว่าให้ใช้ระเบียบจำเลยว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ.2546 แต่อย่างใด ทั้งระเบียบดังกล่าวขัดต่อพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2543 มาตรา 25 จึงใช้บังคับไม่ได้ การคำนวณบำเหน็จจึงต้องบังคับตามข้อบังคับการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 14 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ.2522 โดยใช้อัตราเงินเดือนสุดท้ายคูณด้วยระยะเวลาทำงานที่โจทก์ทั้งแปดทำงานอยู่ในรัฐวิสาหกิจเดิมรวมกับระยะเวลาที่ทำงานอยู่ในบริษัทจำเลยนั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2546 คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจของจำเลยมีมติให้กำหนดระเบียบของจำเลยว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์พ.ศ.2546 ขึ้น โดยหมวด 4 วิธีการคำนวณบำเหน็จข้อ 17 กำหนดว่า การคำนวณบำเหน็จให้คำนวณผลรวม 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่หนึ่งคำนวณจากระยะเวลาตั้งแต่ปฏิบัติงานในการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยจนถึงวันที่ 29 กันยายน 2545 คูณด้วยเงินเดือน ณ วันที่ 29 กันยายน 2545 ส่วนที่สองคำนวณจากระยะเวลาที่ปฏิบัติงานในท่าอากาศยานไทยคูณด้วยเงินเดือนสุดท้ายที่ออกจากงานสำหรับพนักงานหรือลูกจ้างประจำซึ่งได้รับเงินเดือนสุดท้ายไม่เต็มเดือนให้ถือเอาอัตราสุดท้ายเต็มเดือนเป็นเกณฑ์คำนวณ ต่อมาวันที่ 10 เมษายน 2551 คณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจจำเลยมีมติให้จำเลยจัดทำโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดและโครงการร่วมใจจากองค์กรประจำปีงบประมาณ 2551 โดยเสนอผลตอบแทนโจทก์ทั้งแปดเข้าร่วมโครงการดังกล่าวและได้รับผลประโยชน์ตอบแทนซึ่งในส่วนของเงินกองทุนสงเคราะห์หรือเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ ทอท. เช่นนี้ โจทก์ทั้งแปดพ้นสภาพการเป็นลูกจ้างของจำเลยตามโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดอันมีลักษณะเป็นข้อตกลงระงับสัญญาจ้างร่วมกัน โดยจำเลยตกลงให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่พนักงานซึ่งเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ทั้งข้อตกลงดังกล่าวก็มิได้ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของกฎหมายและมิได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใด มีผลบังคับได้ จึงมิใช่การเลิกจ้างแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดของจำเลย จำเลยตกลงให้ผลตอบแทนในส่วนของบำเหน็จ โดยกำหนดไว้ในข้อ 4.2.3 ว่า "เงินกองทุนสงเคราะห์หรือเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของ ทอท" ซึ่งข้อบังคับของ ทอท. ดังกล่าวได้แก่ ระเบียบบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ.2546 หาใช่ข้อบังคับการท่าอากาศแห่งประเทศไทย ฉบับที่ (14) ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ. 2522 ไม่ เมื่อระเบียบบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ.2546 กำหนดวิธีการคำนวณบำเหน็จไว้ในหมวด 4 ข้อ 17 โจทก์ทั้งแปดและจำเลยจึงต้องผูกพันตามนั้น จำเลยจ่ายบำเหน็จให้แก่โจทก์ทั้งแปดโดยคำนวณบำเหน็จตามข้อ 17 แห่งระเบียบท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ดังกล่าว จึงเป็นไปตามข้อตกลงตามโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายเงินบำเหน็จส่วนที่ขาดแก่โจทก์ทั้งแปดตามฟ้อง และไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นในเรื่องเงินบำเหน็จส่วนที่ขาดแก่โจทก์ทั้งแปดตามฟ้อง และไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นในเรื่องเงินบำเหน็จอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งแปดฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 ว่า จำเลยต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีและเงินค่าวิชาชีพตามฟ้องให้แก่โจทก์ที่ 1 หรือไม่ โดยโจทก์ที่ 1 อุทธรณ์ว่า การที่โจทก์ที่ 1 เข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด เป็นการสมัครใจของโจทก์ที่ 1 ที่ตกลงให้มีการเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด มิใช่ตกลงกันให้ลาออกนั้น เห็นว่า การที่โจทก์ที่ 1 เข้าร่วมโครงการเกษียณอายุกำหนดของจำเลย โดยได้รับผลตอบแทนมีลักษณะเป็นข้อตกลงระงับสัญญาจ้างร่วมกัน ไม่ใช่การเลิกจ้างแต่อย่างใด โจทก์ที่ 1 และจำเลยจึงต้องผูกพันตามข้อตกลงในโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด ดังที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยข้างต้น จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจ สัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ 33 ให้แก่โจทก์ที่ 1
และเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเสนอจะจ่ายค่าวิชาชีพให้แก่โจทก์ที่ 1 ตามข้อตกลงผลประโยชน์ตอบแทนตามโครงการเกษียณอายุ จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าวิชาชีพให้แก่โจทก์ที่ 1 เช่นกัน ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.