คำพิพากษาฎีกา ที่ 10783 - 10784/ 2555
ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน (อนุมัติสินเชื่อเกินอำนาจ) แม้ว่าจะถือเป็นความผิดร้ายแรง จำเลยถูกเลิกจ้างเพราะความผิดที่กระทำแล้ว เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นมาจากหลายๆ สาเหตุ ประกอบกัน มิใช่เกิดจากจำเลยฝ่าฝืนข้อบังคับฯ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่าโจทก์ และเรียกจำเลยที่ 1 และ 2 ทั้งสองสำนวนว่า จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2
โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนเป็นใจความว่า เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2526 จำเลยที่ 1 เข้าทำงานเป็นพนักงานโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ยอมรับผิดไม่เกิน 100,000 บาท ต่อมาวันที่ 7 มกราคม 2535 โจทก์ได้แต่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการธนาคารโจทก์ สาขาสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2537 จำเลยที่ 1 มีเจตนาไม่สุจริตอาศัยตำแหน่งหน้าที่สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาฝ่าฝืนระเบียบหรือคำสั่งของโจทก์ ด้วยการรับรองตั๋วแลกเงินเกินอำนาจของจำเลยที่ 1 ให้แก่ลูกค้ารายนายสุรศักดิ์ ฉัตรชัยการ เป็นเงิน 20,000,000 บาท ให้แก่ลูกค้ารายบริษัทอรุณทรัพย์พัฒนาการ จำกัด เป็นเงิน 40,000,000 บาท รวม 60,000,000 บาท โดยไม่มีหลักประกัน โดยแบ่งการรับรองตั๋วแลกเงินฉบับละ 10,000,000 บาท รวม 6 ฉบับ ในวันเดียวกันจำเลยที่ 1 ได้อนุมัติผ่านเช็คเงินสดให้แก่ลูกค้ารายนายสุรศักดิ์จำนวนเงิน 650,000 บาท ทั้งที่ทราบว่าลูกค้าไม่มีวงเงินในบัญชีและได้หลบหนีไปแล้ว โจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้ การที่จำเลยที่ 1 เอื้อประโยชน์แก่นายสุรศักดิ์และบริษัทอรุณทรัพย์พัฒนาการ จำกัด ทำให้ลูกค้าดังกล่าวนำตั๋วแลกเงินทั้ง 6 ฉบับไปขายลดให้แก่ธนาคารอินโดสุเอช สาขากรุงเทพมหานคร เมื่อตั๋วแลกเงินครบกำหนดจ่ายเงินตามวันที่ระบุ โจทก์ในฐานะผู้รับรองตั๋วแลกเงินทั้ง 6 ฉบับ ต้องจ่ายเงินให้แก่ธนาคารอินโดสุเอชเป็นเงิน 60,000,000 บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2537 จำเลยที่ 1 ได้อนุมัติเบิกเงินเกินบัญชีกระแสรายวันให้แก่นายณรงค์ สุรธำรงค์ เป็นเงิน 350,000 บาท โดยไม่มีหลักประกันและไม่มีอำนาจทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับชำระเงินคืนจากลูกค้า จำเลยที่ 1 กระทำผิดวินัยร้ายแรง ต่อมาโจทก์มีคำสั่งที่ อ.25/2538 ลงวันที่ 12 มกราคม 2538 เลิกจ้างจำเลยที่ 1 สำนวนแรก จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้เงิน 60,650,000 บาท และดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 44,308,068.49 บาท จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันพร้อมดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องรวม 174,054.79 บาท ส่วนสำนวนหลังจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้เงิน 350,000 บาท และดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 261,061.64 บาท จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันพร้อมดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องรวม 174,589.04 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอีกร้อยละ 7.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แต่ละสำนวน
จำเลยทั้งสองให้การทั้งสองสำนวนเป็นใจความว่า จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งผู้จัดการธนาคารโจทก์ สาขาสำโรง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2535 จนถึงวันถูกเลิกจ้าง จำเลยที่ 1 ไม่เคยทุจริตต่อหน้าที่ ไม่เคยอาศัยอำนาจหน้าที่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ และไม่ได้บกพร่องหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 1 มีอำนาจอนุมัติเงินสินเชื่อไม่เกิน 1,000,000 บาท ถ้าเกินวงเงินจะต้องขออนุมัติต่อต้นสังกัดที่สูงขึ้นไปเพื่อให้ความเห็นชอบก่อน ลูกค้ารายนายสุรศักดิ์และบริษัทอรุณทรัพย์พัฒนาการ จำกัด เป็นลูกค้า รายใหญ่และเป็นลูกค้าชั้นดีของโจทก์ เปิดบัญชีที่ธนาคารโจทก์ สาขาสำโรง จำนวนกว่า 100,000,000 บาท เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ในทางปฏิบัติการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้าดังกล่าวเกินกว่าอำนาจของผู้จัดการสาขา ทางสาขาจะขออนุมัติด้วยวาจาก่อน แล้วจึงทำหนังสือถึงหน่วยงานที่สูงกว่าทีหลัง และสำนักงานใหญ่โดยรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ให้สัตยาบันคืนมาที่สาขา การอนุมัติสินเชื่อตามฟ้องก็ได้ปฏิบัติเช่นเดียวกับที่แล้วๆ มาตั๋วแลกเงินทั้ง 6 ฉบับ สำนักงานใหญ่ได้สลักหลังตั๋วทุกฉบับ เป็นการยืนยันว่าโจทก์โดยสำนักงานใหญ่ได้ให้สัตยาบันตั๋วแลกเงินทั้ง 6 ฉบับแล้ว การที่จำเลยที่ 1 อนุมัติผ่านเช็ค 650,000 บาท แก่นายสุรศักดิ์ซึ่งเป็นลูกค้าชั้นดีในขณะนั้น อยู่ในอำนาจและดุลพินิจของจำเลยที่ 1 ที่ทำได้ ทั้งขณะอนุมัติผ่านเช็คนายสุรศักดิ์ก็มิได้หลบหนีแต่อย่างใด ส่วนลูกค้ารายนายณรงค์ จำเลยที่ 1 ได้พิจารณาสินเชื่อตามหลักการและระเบียบแล้ว ลูกค้าไม่สามารถชำระหนี้ได้เนื่องจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจทางการเงินช่วงปี 2537 ถึง 2540 โจทก์ฟ้องเรียกหนี้จากลูกค้าทุกราย และศาลมีคำพิพากษาให้ลูกค้าชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว โจทก์ได้โอนหนี้ของลูกค้าซึ่งเป็นมูลฟ้องคดีทั้งสองสำนวนนี้ให้แก่สถาบันการเงินอื่นโดยได้รับค่าตอบแทนแล้ว จึงไม่มีอำนาจเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 1 อีก จำเลยที่ 2 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ โจทก์ทราบเหตุละเมิดกับรู้ตัวผู้ทำละเมิดตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม 2538 และ วันที่ 10 มกราคม 2544 แต่โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2547 และ วันที่ 6 กันยายน 2547 จึงเกิน 1 ปี และ 2 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ดอกเบี้ยส่วนที่เกิน 5 ปี นับแต่วันฟ้องขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องทั้งสองสำนวน
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องทั้งสองสำนวน
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2526 โจทก์รับจำเลยที่ 1 เข้าเป็นพนักงานของโจทก์โดยจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2535 จำเลยที่ 1 ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้จัดการธนาคารโจทก์ สาขาสำโรง ตามคำสั่งโจทก์เอกสารหมาย จ.3 ผู้จัดการสาขามีอำนาจอนุมัติสินเชื่อได้ไม่เกิน 1,000,000 บาท นายสุรศักดิ์ ฉัตรชัยการ ในฐานะส่วนตัวและในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัทอรุณทรัพย์พัฒนาการ จำกัด เป็นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ของโจทก์เคยติดต่อใช้บริการธนาคารโจทก์มานานนับสิบปี มีวงเงินสินเชื่อประมาณ 290,000,000 บาท โดยมีหลักประกัน จำเลยที่ 1 เคยปล่อยสินเชื่อเกินอำนาจให้แก่ลูกค้ากลุ่มนี้อยู่เนืองๆ สำนักงานใหญ่ก็ให้สัตยาบันเรื่อยมา ช่วงปี 2536 และ 2537 กลุ่มลูกค้าดังกล่าวเคยขอสินเชื่อ โดยออกตั๋วแลกเงินให้ธนาคารโจทก์ สาขาสำโรง รับรองเป็นอาวัลครั้งละ 30,000,000 บาท ถึง 40,000,000 บาท ซึ่งเกินอำนาจผู้จัดการสาขาที่จะอนุมัติได้ แต่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการสาขาได้ปล่อยสินเชื่อให้แล้วขอให้สำนักงานให้สัตยาบันภายหลัง ตามเอกสารหมาย ล.23 และ ล.24 เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2537 กลุ่มลูกค้าดังกล่าวขอสินเชื่อจากธนาคารโจทก์ สาขาสำโรง 60,000,000 บาท โดยออกตั๋วแลกเงินฉบับละ 10,000,000 บาท 6 ฉบับ นางวีรวรณ เหมืองเดช ผู้ช่วยผู้จัดการ และนายสมชาย โฆษิตวานิช สมุห์บัญชีลงนามรับรองหรือรับอาวัลตั๋วแลกเงินทั้ง 6 ฉบับตามตั๋วแลกเงินเอกสารหมาย จ.8 ในวันเดียวกันผู้รับตั๋วแลกเงินนำตั๋วแลกเงินดังกล่าวไปขายต่อให้ธนาคารอินโดสุเอช ซึ่งก่อนซื้อธนาคารอินโดสุเอชได้นำตั๋วแลกเงินไปให้ผู้มีอำนาจของธนาคารโจทก์สำนักงานใหญ่ลงชื่อรับรองและยืนยันว่าการรับรองและการรับอาวัลมีผลใช้บังคับได้และผูกพันธนาคารโจทก์ตามจำนวนเงินและเงื่อนไขแห่งการรับรองและการรับอาวัลทุกประการ แสดงว่าสำนักงานใหญ่ยินยอมให้สำนักงานสาขาสำโรงหรือจำเลยที่ 1 ปฏิบัติฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับอำนาจอนุมัติสินเชื่อได้ ทุกฝ่ายจึงมีส่วนผิดหรือบกพร่องหรือประมาทเลินเล่อ เมื่อสินเชื่อกลายเป็นหนี้เสียจะให้จำเลยที่ 1 รับผิดชอบแต่ผู้เดียวไม่น่าจะถูกต้อง เพราะไม่เป็นธรรมแก่จำเลยที่ 1 ส่วนกรณีจำเลยที่ 1 อนุมัติผ่านเช็คจำนวน 650,000 บาท ให้แก่นายสุรศักดิ์นั้น โจทก์มีเพียงบันทึกรายงานการประชุม สรุปผลการสอบสวนข้อ 2.6 ในเอกสารหมาย จ.10 โดยไม่มีพยานเบิกความยืนยัน ไม่มีบันทึกคำให้การที่ยืนยันความผิดของจำเลยที่ 1 มาแสดง จำเลยที่ 1 ปฏิเสธว่าไม่เคยถูกสอบสวน ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ปล่อยสินเชื่อรายดังกล่าวไปโดยทุจริตหรือฝ่าฝืนผิดระเบียบ และเรื่องการปล่อยสินเชื่อ 350,000 บาท ให้แก่นายณรงค์ พยานโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติไม่ถูกต้องอย่างไร สรุปแล้วข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้มีเจตนาทุจริตหรือจงใจแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือเอื้อประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยมิชอบ หรือจงใจทำให้ธนาคารโจทก์ได้รับความเสียหาย ความเสียหายที่เกิดขึ้นมิได้เกิดเพราะจำเลยที่ 1 ฝ่าฝืนระเบียบโดยปล่อยสินเชื่อเกินอำนาจตามระเบียบข้อบังคับแต่เกิดขึ้นจากหลายๆ สาเหตุประกอบกันนับตั้งแต่ความหละหลวมของฝ่ายบริหารทางสำนักงานใหญ่ลงมาตลอดทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ยังมีสาเหตุมาจากภาวะเศรษฐกิจและการเงินในช่วงเวลาดังกล่าวและเวลาต่อมา ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ที่ไม่มีผู้ใดคาดการณ์ได้จนลูกค้าที่ขอสินเชื่อไปไม่สามารถที่จะชำระหนี้ได้ ลูกค้าที่จำเลยที่ 1 อนุมัติสินเชื่อไปเป็นลูกค้าที่มีตัวตน ส่วนใหญ่ก็มีหลักทรัพย์เป็นประกันหากไม่มีวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินช่วงปี 2540 ถึง 2543 โจทก์คงไม่ต้องรับความเสียหาย ฉะนั้นความเสียหายที่เกิดขึ้นจะถือเป็นความผิดของจำเลยที่ 1 เพียงคนเดียวไม่ได้ แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงานอนุมัติสินเชื่อแก่ลูกค้าเกินอำนาจถือเป็นการผิดวินัยร้ายแรง จำเลยที่ 1 ถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้รับเงินหรือประโยชน์ตอบแทนใดๆ จากโจทก์จำเลยที่ 1 ได้รับโทษในความผิดที่กระทำไปแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์ข้อ 2.1 ทำนองว่า จากการนำสืบของโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างรับเป็นยุติกันแล้วว่า จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ผิดระเบียบคำสั่งของโจทก์จริง โดยจำเลยที่ 1 รู้อยู่ว่าการรับรองตั๋วแลกเงินทั้ง 6 ฉบับ เป็นการกระทำเกินอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 1 เบิกความว่าลูกค้าไม่มีวงเงินที่จะอนุมัติอยู่แล้ว ขณะที่จำเลยที่ 1 สั่งให้นางวีรวรรณ เหมือนเดช และนายสมชาย โฆษิตวานิช รับรองตั๋วแลกเงินทั้ง 6 ฉบับนั้น จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้รับอนุมัติหรือให้สัตยาบันจากสำนักงานใหญ่แต่อย่างใด อันเป็นการกระทำผิดระเบียบ คำสั่งการให้สินเชื่อ เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 โดยลำพัง พนักงานโจทก์รับรองตั๋วแลกเงินทั้ง 6 ฉบับหลังจากการปฏิบัติผิดระเบียบแล้ว มิใช่การอนุมัติหรือให้สัตยาบันหรือยินยอมในการปฏิบัติผิดระเบียบแต่อย่างใด เพราะนายสมชายเบิกความยืนยันว่าการรับรองตั๋วแลกเงินที่ธนาคารอินโดสุเอชนำมาให้รับรองนั้นเป็นการรับรองการรับอาวัลของนางวีรวรรณและนายสมชายเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นตั๋วแลกเงินที่ได้มีการลงลายมือชื่ออาวัลไว้ถูกต้องเท่านั้น มิใช่ความหละหลวมของโจทก์แต่อย่างใด การที่โจทก์เคยให้สัตยาบันการปฏิบัติหน้าที่ผิดระเบียบคำสั่งของจำเลยที่ 1 นั้นจะนำมาเป็นข้อพิจารณาว่าเป็นปกติวิสัยหาชอบไม่ ทั้งการให้สัตยาบันแก่จำเลยที่ 1 ที่ผ่านๆ มาก็เพราะไม่เกิดความเสียหายแก่โจทก์การก่อให้เกิดความเสียหายของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด โจทก์อุทธรณ์ข้อ 2.2 ทำนองว่า โจทก์ได้นำพยานหลักฐานมาสืบอย่างชัดแจ้งว่าโจทก์ได้สอบสวนการอนุมัติผ่านเช็คจำนวน 650,000 บาท ไปพร้อมๆ กับการสอบสวนการรับรองตั๋วแลกเงินทั้ง 6 ฉบับและสรุปว่า จำเลยที่ 1 อนุมัติผ่านเช็คโดยรู้อยู่ว่าลูกค้าหลบหนีไปแล้วและไม่มีวงเงินที่จะอนุมัติได้ แสดงถึงความไม่สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ ผิดระเบียบวินัยอย่างร้ายแรง และโจทก์ได้นำสืบทั้งพยานเอกสารและพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในการอนุมัติผ่านเช็ค 650,000 บาท ให้แก่นายสุรศักดิ์ และโจทก์อุทธรณ์ข้อ 2.3 ทำนองว่า โจทก์นำสืบผลการสอบสวนเกี่ยวกับการอนุมัติผ่านเช็คจำนวน 350,000 บาท ไว้อย่างชัดเจนในสรุปผลการสอบข้อเท็จจริงฉบับลงวันที่ 10 มกราคม 2544 เอกสารหมาย จ.13 ซึ่งนายวรากร เสาวภา กรรมการสอบข้อเท็จจริงก็เบิกความยืนยันผลสรุปดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 1 เบิกความลอยๆ ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในการปฏิบัติหน้าที่ผิดระเบียบ สร้างความเสียหายให้แก่โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามข้อดังกล่าว เป็นอุทธรณ์ที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ข้อ 3 ว่า เมื่อข้อเท็จจริงยุติว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงาน อนุมัติเงินสินเชื่อแก่ลูกค้าเกินอำนาจถือเป็นการผิดวินัยร้ายแรง จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดในผลการกระทำของตน โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างใด จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดชอบเต็มจำนวนนั้น ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า กรณีจำเลยที่ 1 ปล่อยสินเชื่อโดยรับรองตั๋วแลกเงินให้กลุ่มนายสุรศักดิ์กับพวก 60,00,000 บาท ทุกฝ่ายมีส่วนผิดหรือบกพร่องหรือประมาทเลินเล่อ เมื่อสินเชื่อที่ปล่อยกลายเป็นหนี้เสียจะให้จำเลยที่ 1 รับผิดชอบแต่ผู้เดียวไม่น่าจะถูกต้องเพราะไม่เป็นธรรมแก่จำเลยที่ 1 ส่วนกรณีจำเลยที่ 1 อนุมัติผ่านเช็ค 650,000 บาท ให้แก่ลูกค้ารายนายสุรศักดิ์ ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ปล่อยสินเชื่อไปโดยสุจริตหรือฝ่าฝืนระเบียบ และกรณีปล่อยสินเชื่อ 350,000 บาท ให้แก่นายณรงค์ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติไม่ถูกต้องอย่างไร นอกจากนี้ศาลแรงงานกลางยังสรุปว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาทุจริตหรือจงใจแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือเอื้อประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยมิชอบหรือจงใจทำให้โจทก์เสียหาย ความเสียหายมิได้เกิดเพราะจำเลยที่ 1 ฝ่าฝืนระเบียบโดยปล่อยสินเชื่อเกินอำนาจตามระเบียบข้อบังคับ แต่เกิดจากหลายสาเหตุประกอบกัน เห็นว่า การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้รับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนใดๆ จากโจทก์นั้น จำเลยที่ 1 ได้รับโทษในความผิดที่กระทำไปแล้วจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียตามฟ้องแก่โจทก์ เป็นกรณีที่ศาลแรงงานกลางใช้ดุลพินิจไม่กำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ที่โต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์