ReadyPlanet.com
dot dot
dot
ชมรมบริหารงานบุคคล
dot
bulletสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย
bulletชมรมบริหารงานบุคคล
bulletชมรมบริหารงานบุคคล อยุธยา
bulletชมรมบริหารงานบุคคลรังสิต
bulletชมรมผู้บริหารงานบุคคล อมตะนคร
bulletสมาคมการบริหารงานบุคคล (PAAs)
bulletชมรมบริหารงานบุคคลบางพลี
bulletชมรมนักบริหารงานบุคคลพัทยา
bulletชมรมบริหารงานบุคคลยุคใหม่
bulletชมรมผู้บริหารงานบุคคลจังหวัดราชบุรี
bulletงานบริหารงานบุคคล
bulletชมรมงานบริหารงานบุคคลกรุงเทพฯ
bulletชมรมบริหารงานบุคลสุขสวัสดิ์
dot
ติดต่อราชการศาล
dot
bulletศาลแรงงานกลาง
bulletศาลแรงงานภาค ๒
bulletศาลยุติธรรม
bulletศาลปกครอง
bulletศาลรัฐธรมนูญ
bulletสำนักงานอัยการสูงสุด
bulletกระทรวงยุติธรรม
bulletคณะกรรมการกฤษฎีกา
bulletกรมบังคับคดี
bulletสภาทนายความ
dot
หน่วยงานราชการสำคัญ
dot
bulletกระทรวงแรงงาน
bulletกรมการจัดหางาน
bulletกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
bulletกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
bulletสำนักงานประกันสังคม
bulletกรมสรรพากร
bulletกรมบัญชีกลาง
bulletกรมพัฒนาธุรกิจกาค้า
bulletกระทรวงอุตสาหกรรม
bulletกรมโรงงานอุตสาหกรรม
bulletกรมส่งเสริมอุตสาหรม
bulletการนิคมอุตสาหกรรม
dot
ลิ้งค์เพื่อนบ้าน
dot
bulletสมบัติลีกัล
bulletเอกเซลสำหรับงาน HR โดย อ.สำเริง
bulletบทความดี ๆ จากโกป้อม
dot
อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
dot
dot
Newsletter

dot


พยากรณ์อากาศวันนี้
..................................


ราคาน้ำมันวันนี้
..................................



ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน (อนุมัติสินเชื่อเกินอำนาจ) แม้ว่าจะถือเป็นความผิดร้ายแรง จำเลยถูกเลิกจ้างเพราะความผิดที่กระทำแล้ว เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นมาจากหลายๆ สาเหตุ ประกอบกัน มิใช่เกิดจากจำเลยฝ่าฝืนข้อบังคับฯ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค article

คำพิพากษาฎีกา ที่  10783 - 10784/ 2555

ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน  (อนุมัติสินเชื่อเกินอำนาจ)  แม้ว่าจะถือเป็นความผิดร้ายแรง  จำเลยถูกเลิกจ้างเพราะความผิดที่กระทำแล้ว  เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นมาจากหลายๆ  สาเหตุ  ประกอบกัน  มิใช่เกิดจากจำเลยฝ่าฝืนข้อบังคับฯ  จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย

                        คดีทั้งสองสำนวนนี้  ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่าโจทก์  และเรียกจำเลยที่  1  และ  2  ทั้งสองสำนวนว่า  จำเลยที่  1  จำเลยที่  2

 

                        โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนเป็นใจความว่า  เมื่อวันที่  26  ธันวาคม  2526  จำเลยที่  1  เข้าทำงานเป็นพนักงานโจทก์  โดยมีจำเลยที่  2  ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่  1  ยอมรับผิดไม่เกิน  100,000  บาท  ต่อมาวันที่  7  มกราคม  2535  โจทก์ได้แต่งตั้งจำเลยที่  1  เป็นผู้จัดการธนาคารโจทก์  สาขาสำโรง  จังหวัดสมุทรปราการ  เมื่อวันที่  2  กันยายน  2537  จำเลยที่  1  มีเจตนาไม่สุจริตอาศัยตำแหน่งหน้าที่สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาฝ่าฝืนระเบียบหรือคำสั่งของโจทก์  ด้วยการรับรองตั๋วแลกเงินเกินอำนาจของจำเลยที่  1  ให้แก่ลูกค้ารายนายสุรศักดิ์  ฉัตรชัยการ  เป็นเงิน  20,000,000  บาท  ให้แก่ลูกค้ารายบริษัทอรุณทรัพย์พัฒนาการ  จำกัด  เป็นเงิน  40,000,000  บาท  รวม  60,000,000  บาท  โดยไม่มีหลักประกัน  โดยแบ่งการรับรองตั๋วแลกเงินฉบับละ  10,000,000  บาท  รวม  6  ฉบับ  ในวันเดียวกันจำเลยที่  1  ได้อนุมัติผ่านเช็คเงินสดให้แก่ลูกค้ารายนายสุรศักดิ์จำนวนเงิน  650,000  บาท  ทั้งที่ทราบว่าลูกค้าไม่มีวงเงินในบัญชีและได้หลบหนีไปแล้ว  โจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้  การที่จำเลยที่  1  เอื้อประโยชน์แก่นายสุรศักดิ์และบริษัทอรุณทรัพย์พัฒนาการ  จำกัด  ทำให้ลูกค้าดังกล่าวนำตั๋วแลกเงินทั้ง  6  ฉบับไปขายลดให้แก่ธนาคารอินโดสุเอช  สาขากรุงเทพมหานคร  เมื่อตั๋วแลกเงินครบกำหนดจ่ายเงินตามวันที่ระบุ  โจทก์ในฐานะผู้รับรองตั๋วแลกเงินทั้ง  6  ฉบับ  ต้องจ่ายเงินให้แก่ธนาคารอินโดสุเอชเป็นเงิน  60,000,000  บาท  ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย  เมื่อวันที่  30  กันยายน  2537  จำเลยที่  1  ได้อนุมัติเบิกเงินเกินบัญชีกระแสรายวันให้แก่นายณรงค์  สุรธำรงค์  เป็นเงิน  350,000  บาท  โดยไม่มีหลักประกันและไม่มีอำนาจทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับชำระเงินคืนจากลูกค้า  จำเลยที่  1  กระทำผิดวินัยร้ายแรง  ต่อมาโจทก์มีคำสั่งที่  อ.25/2538  ลงวันที่  12  มกราคม  2538  เลิกจ้างจำเลยที่  1  สำนวนแรก  จำเลยที่  1  ต้องรับผิดชดใช้เงิน  60,650,000  บาท  และดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน  44,308,068.49  บาท  จำเลยที่  2  ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันพร้อมดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องรวม  174,054.79  บาท  ส่วนสำนวนหลังจำเลยที่  1  ต้องรับผิดชดใช้เงิน  350,000  บาท  และดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน  261,061.64  บาท  จำเลยที่  2  ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันพร้อมดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องรวม  174,589.04  บาท  ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอีกร้อยละ  7.5  ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ  ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แต่ละสำนวน

 

                        จำเลยทั้งสองให้การทั้งสองสำนวนเป็นใจความว่า  จำเลยที่  1  ดำรงตำแหน่งผู้จัดการธนาคารโจทก์  สาขาสำโรง  ตั้งแต่วันที่  16  มกราคม  2535  จนถึงวันถูกเลิกจ้าง  จำเลยที่  1  ไม่เคยทุจริตต่อหน้าที่  ไม่เคยอาศัยอำนาจหน้าที่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ  และไม่ได้บกพร่องหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย  จำเลยที่  1  มีอำนาจอนุมัติเงินสินเชื่อไม่เกิน  1,000,000  บาท  ถ้าเกินวงเงินจะต้องขออนุมัติต่อต้นสังกัดที่สูงขึ้นไปเพื่อให้ความเห็นชอบก่อน  ลูกค้ารายนายสุรศักดิ์และบริษัทอรุณทรัพย์พัฒนาการ  จำกัด  เป็นลูกค้า  รายใหญ่และเป็นลูกค้าชั้นดีของโจทก์  เปิดบัญชีที่ธนาคารโจทก์  สาขาสำโรง  จำนวนกว่า  100,000,000  บาท  เป็นเวลากว่า  10  ปีแล้ว  ในทางปฏิบัติการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้าดังกล่าวเกินกว่าอำนาจของผู้จัดการสาขา  ทางสาขาจะขออนุมัติด้วยวาจาก่อน  แล้วจึงทำหนังสือถึงหน่วยงานที่สูงกว่าทีหลัง  และสำนักงานใหญ่โดยรองกรรมการผู้จัดการใหญ่  ให้สัตยาบันคืนมาที่สาขา  การอนุมัติสินเชื่อตามฟ้องก็ได้ปฏิบัติเช่นเดียวกับที่แล้วๆ  มาตั๋วแลกเงินทั้ง  6  ฉบับ  สำนักงานใหญ่ได้สลักหลังตั๋วทุกฉบับ  เป็นการยืนยันว่าโจทก์โดยสำนักงานใหญ่ได้ให้สัตยาบันตั๋วแลกเงินทั้ง  6  ฉบับแล้ว  การที่จำเลยที่  1  อนุมัติผ่านเช็ค  650,000  บาท  แก่นายสุรศักดิ์ซึ่งเป็นลูกค้าชั้นดีในขณะนั้น  อยู่ในอำนาจและดุลพินิจของจำเลยที่  1  ที่ทำได้  ทั้งขณะอนุมัติผ่านเช็คนายสุรศักดิ์ก็มิได้หลบหนีแต่อย่างใด  ส่วนลูกค้ารายนายณรงค์  จำเลยที่  1  ได้พิจารณาสินเชื่อตามหลักการและระเบียบแล้ว  ลูกค้าไม่สามารถชำระหนี้ได้เนื่องจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจทางการเงินช่วงปี  2537  ถึง  2540  โจทก์ฟ้องเรียกหนี้จากลูกค้าทุกราย  และศาลมีคำพิพากษาให้ลูกค้าชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว  โจทก์ได้โอนหนี้ของลูกค้าซึ่งเป็นมูลฟ้องคดีทั้งสองสำนวนนี้ให้แก่สถาบันการเงินอื่นโดยได้รับค่าตอบแทนแล้ว   จึงไม่มีอำนาจเรียกร้องเอาจากจำเลยที่  1  อีก  จำเลยที่  2  ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่  1  ต่อโจทก์  โจทก์ทราบเหตุละเมิดกับรู้ตัวผู้ทำละเมิดตั้งแต่วันที่  12  มกราคม  2538  และ วันที่  10  มกราคม  2544  แต่โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่  14  กรกฎาคม  2547  และ  วันที่  6  กันยายน  2547  จึงเกิน  1  ปี  และ  2  ปี  ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ  ดอกเบี้ยส่วนที่เกิน  5  ปี  นับแต่วันฟ้องขาดอายุความ  ขอให้ยกฟ้องทั้งสองสำนวน 

 
                         ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว  พิพากษายกฟ้องทั้งสองสำนวน
 
 
                         โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
 

                            ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว  ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า  เมื่อวันที่  26  ธันวาคม  2526  โจทก์รับจำเลยที่  1  เข้าเป็นพนักงานของโจทก์โดยจำเลยที่  2  ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่  1  ในวงเงินไม่เกิน  100,000  บาท  เมื่อวันที่  16  มกราคม  2535  จำเลยที่  1  ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้จัดการธนาคารโจทก์  สาขาสำโรง  ตามคำสั่งโจทก์เอกสารหมาย  จ.3  ผู้จัดการสาขามีอำนาจอนุมัติสินเชื่อได้ไม่เกิน  1,000,000  บาท  นายสุรศักดิ์  ฉัตรชัยการ  ในฐานะส่วนตัวและในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัทอรุณทรัพย์พัฒนาการ  จำกัด  เป็นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ของโจทก์เคยติดต่อใช้บริการธนาคารโจทก์มานานนับสิบปี  มีวงเงินสินเชื่อประมาณ  290,000,000  บาท  โดยมีหลักประกัน  จำเลยที่  1  เคยปล่อยสินเชื่อเกินอำนาจให้แก่ลูกค้ากลุ่มนี้อยู่เนืองๆ  สำนักงานใหญ่ก็ให้สัตยาบันเรื่อยมา  ช่วงปี  2536  และ  2537  กลุ่มลูกค้าดังกล่าวเคยขอสินเชื่อ  โดยออกตั๋วแลกเงินให้ธนาคารโจทก์  สาขาสำโรง  รับรองเป็นอาวัลครั้งละ  30,000,000  บาท  ถึง  40,000,000  บาท  ซึ่งเกินอำนาจผู้จัดการสาขาที่จะอนุมัติได้  แต่จำเลยที่  1  ในฐานะผู้จัดการสาขาได้ปล่อยสินเชื่อให้แล้วขอให้สำนักงานให้สัตยาบันภายหลัง  ตามเอกสารหมาย  ล.23  และ  ล.24  เมื่อวันที่  2  กันยายน  2537  กลุ่มลูกค้าดังกล่าวขอสินเชื่อจากธนาคารโจทก์  สาขาสำโรง  60,000,000  บาท  โดยออกตั๋วแลกเงินฉบับละ  10,000,000  บาท 6  ฉบับ  นางวีรวรณ  เหมืองเดช  ผู้ช่วยผู้จัดการ  และนายสมชาย  โฆษิตวานิช  สมุห์บัญชีลงนามรับรองหรือรับอาวัลตั๋วแลกเงินทั้ง  6  ฉบับตามตั๋วแลกเงินเอกสารหมาย  จ.8  ในวันเดียวกันผู้รับตั๋วแลกเงินนำตั๋วแลกเงินดังกล่าวไปขายต่อให้ธนาคารอินโดสุเอช  ซึ่งก่อนซื้อธนาคารอินโดสุเอชได้นำตั๋วแลกเงินไปให้ผู้มีอำนาจของธนาคารโจทก์สำนักงานใหญ่ลงชื่อรับรองและยืนยันว่าการรับรองและการรับอาวัลมีผลใช้บังคับได้และผูกพันธนาคารโจทก์ตามจำนวนเงินและเงื่อนไขแห่งการรับรองและการรับอาวัลทุกประการ  แสดงว่าสำนักงานใหญ่ยินยอมให้สำนักงานสาขาสำโรงหรือจำเลยที่  1  ปฏิบัติฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับอำนาจอนุมัติสินเชื่อได้  ทุกฝ่ายจึงมีส่วนผิดหรือบกพร่องหรือประมาทเลินเล่อ  เมื่อสินเชื่อกลายเป็นหนี้เสียจะให้จำเลยที่  1  รับผิดชอบแต่ผู้เดียวไม่น่าจะถูกต้อง  เพราะไม่เป็นธรรมแก่จำเลยที่  1  ส่วนกรณีจำเลยที่  1  อนุมัติผ่านเช็คจำนวน  650,000  บาท  ให้แก่นายสุรศักดิ์นั้น  โจทก์มีเพียงบันทึกรายงานการประชุม  สรุปผลการสอบสวนข้อ  2.6  ในเอกสารหมาย  จ.10  โดยไม่มีพยานเบิกความยืนยัน  ไม่มีบันทึกคำให้การที่ยืนยันความผิดของจำเลยที่  1  มาแสดง  จำเลยที่  1  ปฏิเสธว่าไม่เคยถูกสอบสวน  ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า  จำเลยที่  1  ปล่อยสินเชื่อรายดังกล่าวไปโดยทุจริตหรือฝ่าฝืนผิดระเบียบ  และเรื่องการปล่อยสินเชื่อ  350,000  บาท  ให้แก่นายณรงค์  พยานโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยที่  1  ปฏิบัติไม่ถูกต้องอย่างไร  สรุปแล้วข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่  1  ได้มีเจตนาทุจริตหรือจงใจแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือเอื้อประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยมิชอบ  หรือจงใจทำให้ธนาคารโจทก์ได้รับความเสียหาย  ความเสียหายที่เกิดขึ้นมิได้เกิดเพราะจำเลยที่  1  ฝ่าฝืนระเบียบโดยปล่อยสินเชื่อเกินอำนาจตามระเบียบข้อบังคับแต่เกิดขึ้นจากหลายๆ  สาเหตุประกอบกันนับตั้งแต่ความหละหลวมของฝ่ายบริหารทางสำนักงานใหญ่ลงมาตลอดทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่  1  ยังมีสาเหตุมาจากภาวะเศรษฐกิจและการเงินในช่วงเวลาดังกล่าวและเวลาต่อมา  ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ที่ไม่มีผู้ใดคาดการณ์ได้จนลูกค้าที่ขอสินเชื่อไปไม่สามารถที่จะชำระหนี้ได้  ลูกค้าที่จำเลยที่  1  อนุมัติสินเชื่อไปเป็นลูกค้าที่มีตัวตน  ส่วนใหญ่ก็มีหลักทรัพย์เป็นประกันหากไม่มีวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินช่วงปี  2540  ถึง  2543  โจทก์คงไม่ต้องรับความเสียหาย  ฉะนั้นความเสียหายที่เกิดขึ้นจะถือเป็นความผิดของจำเลยที่  1  เพียงคนเดียวไม่ได้  แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1  ได้กระทำการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงานอนุมัติสินเชื่อแก่ลูกค้าเกินอำนาจถือเป็นการผิดวินัยร้ายแรง  จำเลยที่  1  ถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้รับเงินหรือประโยชน์ตอบแทนใดๆ  จากโจทก์จำเลยที่  1  ได้รับโทษในความผิดที่กระทำไปแล้ว  จำเลยที่  1  ไม่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแก่โจทก์

 

 

                       โจทก์อุทธรณ์ข้อ  2.1  ทำนองว่า  จากการนำสืบของโจทก์และจำเลยที่  1  ต่างรับเป็นยุติกันแล้วว่า  จำเลยที่  1  ปฏิบัติหน้าที่ผิดระเบียบคำสั่งของโจทก์จริง  โดยจำเลยที่  1  รู้อยู่ว่าการรับรองตั๋วแลกเงินทั้ง  6  ฉบับ  เป็นการกระทำเกินอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่  1  และ  จำเลยที่  1  เบิกความว่าลูกค้าไม่มีวงเงินที่จะอนุมัติอยู่แล้ว  ขณะที่จำเลยที่  1  สั่งให้นางวีรวรรณ  เหมือนเดช  และนายสมชาย  โฆษิตวานิช  รับรองตั๋วแลกเงินทั้ง  6  ฉบับนั้น  จำเลยที่  1  ยังไม่ได้รับอนุมัติหรือให้สัตยาบันจากสำนักงานใหญ่แต่อย่างใด  อันเป็นการกระทำผิดระเบียบ  คำสั่งการให้สินเชื่อ  เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของจำเลยที่  1  โดยลำพัง  พนักงานโจทก์รับรองตั๋วแลกเงินทั้ง  6  ฉบับหลังจากการปฏิบัติผิดระเบียบแล้ว  มิใช่การอนุมัติหรือให้สัตยาบันหรือยินยอมในการปฏิบัติผิดระเบียบแต่อย่างใด  เพราะนายสมชายเบิกความยืนยันว่าการรับรองตั๋วแลกเงินที่ธนาคารอินโดสุเอชนำมาให้รับรองนั้นเป็นการรับรองการรับอาวัลของนางวีรวรรณและนายสมชายเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นตั๋วแลกเงินที่ได้มีการลงลายมือชื่ออาวัลไว้ถูกต้องเท่านั้น  มิใช่ความหละหลวมของโจทก์แต่อย่างใด  การที่โจทก์เคยให้สัตยาบันการปฏิบัติหน้าที่ผิดระเบียบคำสั่งของจำเลยที่  1  นั้นจะนำมาเป็นข้อพิจารณาว่าเป็นปกติวิสัยหาชอบไม่  ทั้งการให้สัตยาบันแก่จำเลยที่  1  ที่ผ่านๆ  มาก็เพราะไม่เกิดความเสียหายแก่โจทก์การก่อให้เกิดความเสียหายของจำเลยที่  1  ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด  โจทก์อุทธรณ์ข้อ  2.2  ทำนองว่า  โจทก์ได้นำพยานหลักฐานมาสืบอย่างชัดแจ้งว่าโจทก์ได้สอบสวนการอนุมัติผ่านเช็คจำนวน  650,000  บาท  ไปพร้อมๆ  กับการสอบสวนการรับรองตั๋วแลกเงินทั้ง  6  ฉบับและสรุปว่า  จำเลยที่  1  อนุมัติผ่านเช็คโดยรู้อยู่ว่าลูกค้าหลบหนีไปแล้วและไม่มีวงเงินที่จะอนุมัติได้  แสดงถึงความไม่สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่  ผิดระเบียบวินัยอย่างร้ายแรง  และโจทก์ได้นำสืบทั้งพยานเอกสารและพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน  จำเลยที่  1  ต้องรับผิดในการอนุมัติผ่านเช็ค  650,000  บาท  ให้แก่นายสุรศักดิ์  และโจทก์อุทธรณ์ข้อ  2.3  ทำนองว่า  โจทก์นำสืบผลการสอบสวนเกี่ยวกับการอนุมัติผ่านเช็คจำนวน  350,000  บาท  ไว้อย่างชัดเจนในสรุปผลการสอบข้อเท็จจริงฉบับลงวันที่  10  มกราคม  2544  เอกสารหมาย  จ.13  ซึ่งนายวรากร  เสาวภา  กรรมการสอบข้อเท็จจริงก็เบิกความยืนยันผลสรุปดังกล่าว  ส่วนจำเลยที่  1  เบิกความลอยๆ  ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้  จำเลยที่  1  จึงต้องรับผิดในการปฏิบัติหน้าที่ผิดระเบียบ  สร้างความเสียหายให้แก่โจทก์เห็นว่า  อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามข้อดังกล่าว  เป็นอุทธรณ์ที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง  จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน  พ.ศ.2522  มาตรา  54  วรรคหนึ่ง  ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
 

                        ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ข้อ  3  ว่า  เมื่อข้อเท็จจริงยุติว่า  จำเลยที่  1  ได้กระทำการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงาน  อนุมัติเงินสินเชื่อแก่ลูกค้าเกินอำนาจถือเป็นการผิดวินัยร้ายแรง  จำเลยที่  1  ก็ต้องรับผิดในผลการกระทำของตน  โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างใด  จำเลยที่  1  ก็ต้องรับผิดชอบเต็มจำนวนนั้น  ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า  กรณีจำเลยที่  1  ปล่อยสินเชื่อโดยรับรองตั๋วแลกเงินให้กลุ่มนายสุรศักดิ์กับพวก  60,00,000  บาท  ทุกฝ่ายมีส่วนผิดหรือบกพร่องหรือประมาทเลินเล่อ  เมื่อสินเชื่อที่ปล่อยกลายเป็นหนี้เสียจะให้จำเลยที่  1  รับผิดชอบแต่ผู้เดียวไม่น่าจะถูกต้องเพราะไม่เป็นธรรมแก่จำเลยที่  1  ส่วนกรณีจำเลยที่  1  อนุมัติผ่านเช็ค  650,000  บาท  ให้แก่ลูกค้ารายนายสุรศักดิ์  ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่  1  ปล่อยสินเชื่อไปโดยสุจริตหรือฝ่าฝืนระเบียบ  และกรณีปล่อยสินเชื่อ  350,000  บาท  ให้แก่นายณรงค์  ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า  พยานโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยที่  1  ปฏิบัติไม่ถูกต้องอย่างไร  นอกจากนี้ศาลแรงงานกลางยังสรุปว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่  1  มีเจตนาทุจริตหรือจงใจแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือเอื้อประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยมิชอบหรือจงใจทำให้โจทก์เสียหาย  ความเสียหายมิได้เกิดเพราะจำเลยที่  1  ฝ่าฝืนระเบียบโดยปล่อยสินเชื่อเกินอำนาจตามระเบียบข้อบังคับ  แต่เกิดจากหลายสาเหตุประกอบกัน  เห็นว่า  การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยที่  1  ถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้รับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนใดๆ  จากโจทก์นั้น  จำเลยที่  1  ได้รับโทษในความผิดที่กระทำไปแล้วจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียตามฟ้องแก่โจทก์  เป็นกรณีที่ศาลแรงงานกลางใช้ดุลพินิจไม่กำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์  อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ที่โต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายของศาลแรงงานกลาง  เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง  ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน  พ.ศ.2522  มาตรา  54  วรรคหนึ่ง  ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน

 
                          พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์       



อัพเดท ฎีกาน่าสนใจ

ขึ้นทะเบียนรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเกิน ๓๐ วัน ยังมีสิทธิได้รับเงินประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานได้ article
ลักษณะความผิดเดียวกัน แต่ระดับความร้ายแรงแตกต่างกัน นายจ้างพิจารณาลงโทษแตกต่างกันได้ article
ผู้จัดการสาขา เสนอรายชื่อลูกค้าที่ขาดคุณสมบัติทำประกันชีวิต ถือว่าจงใจทำให้นายจ้างเสียหาย / ผิดร้ายแรง article
หยุดกิจการชั่วคราวตาม มาตรา ๗๕ article
สัญญาจ้างเป็นสัญญาต่างตอบแทน นายจ้างออกค่าใช้จ่ายในการเข้าทดสอบเพื่อรับเกียรติบัตร เมื่อทดสอบผ่านต้องทำงานกับนายจ้าง ๕ ปี บังคับใช้ได้ article
ศาลแรงงานกลางมีอำนาจสั่งรับพยานเอกสารได้ แม้ไม่ได้ส่งสำเนาให้คู่ความอีกฝ่ายก็ตาม article
ประกอบธุรกิจแข่งขัน / ไปทำงานกับนายจ้างอื่น ในลักษณะผิดต่อสัญญาจ้าง เมื่อลูกจ้างได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่นายจ้างตามสัญญาแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะบังคับ / ห้ามทำงานตามเงื่อนไขในสัญญาจ้างอีกต่อไป article
คดีแรงงานเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา แม้คดีอาญายกฟ้อง แต่พฤติกรรมการกระทำผิด เป็นเหตุให้นายจ้างไม่อาจไว้วางใจในการทำงานได้ ถือเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม article
เลิกจ้างเนื่องจากปรับโครงสร้างองค์กร แต่กำหนดรายชื่อไว้ล่วงหน้า ถือเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม article
การหักลบกลบหนี้ หนี้อันเกิดจากสัญญาจ้าง กรณีลูกจ้างกระทำผิดกับสิทธิประโยชน์ที่มีสิทธิได้รับตามสัญญาจ้าง ถือเป็นมูลหนี้อันเป็นวัตถุอย่างเดียวกันหักลบกลบหนี้กันได้ article
เล่นการพนันฉลากกินรวบ เป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน กรณีร้ายแรง article
กรณีไม่ถือเป็นการประกอบธุรกิจแข่งขันหรือไม่ถือว่าทำงานกับนายจ้างใหม่ในลักษณะธุรกิจเดียวกับนายจ้าง article
สัญญาฝึกอบรม นายจ้างกำหนดเบี้ยปรับได้ เป็นสัญญาที่เป็นธรรม article
ค้ำประกันการทำงาน หลักประกันการทำงาน การหักลบกลบหนี้ค่าเสียหายจากการทำงาน article
ใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์แต่ตนเอง เรียกรับเงินจากลูกค้า ถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ article
ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา มาทำงานสายประจำ ถือว่า กระทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่เลิกจ้างได้ โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า article
สหภาพแรงงานทำบันทักข้อตกลงเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างกับนายจ้าง อันส่งผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ของสมาชิก ขัดกับข้อตกลงเดิมและมิได้ขอมติที่ประชุมใหญ่ ข้อตกลงดังกล่าวไม่อาจใช้บังคับได้ article
ขอเกษียณอายุก่อนกำหนดตามประกาศ ถือเป็นการสมัครใจเลิกสัญญาจ้างแรงงานต่อกัน มิใช่การเลิกจ้างหรือการเกษียณอายุ จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยตามระเบียบกรณีเกษียณอายุ article
สถาบันวิจัยอันเป็นส่วนหนึ่งของกิจการมหาวิทยาลัยถือเป็นหน่วยงานของรัฐ ได้รับยกเว้น ไม่อยู่ภายใต้บังคับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน มาตรา ๔ (๑) article
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จากการเลิกจ้างมีอายุความฟ้องร้องได้ภายใน ๑๐ ปี article
ทะเลาะวิวาทเรื่องส่วนตัวไม่ส่งผลกระทบต่อการบังคับบัญชา ไม่เป็นความผิด กรณีร้ายแรง ถือว่ากระทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ article
พี่น้องร่วมบิดา มารดาเดียวกัน มิใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับเงินประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ และเงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต ตามพระราชบัญญัติ ประกันสังคม มาตรา ๗๓ และมาตรา ๗๗ article
ขับรถเร็วเกินกว่าข้อบังคับกำหนด เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นความผิดกรณีร้ายแรง article
ฝ่าฝืนคำสั่งโยกย้าย เลิกจ้างได้ ถือเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม article
ประกาศใช้ระเบียบใหม่ ไม่ปรากฏว่ามีพนักงานโต้แย้งคัดค้าน ถือว่าทุกคนยินยอมปฏิบัติตามระเบียบ article
เงินค่าตอบแทนพิเศษกับเงินโบนัส มีเงื่อนไขต่างกัน หลักเกณฑ์การจ่ายต่างกัน จึงต้องพิจารณาต่างกัน article
ทายาทผู้มีสิทธิได้รับเงินกองทุนเงินทดแทน article
ค่ารถแทนรถยนต์ประจำตำแหน่ง ไม่ถือเป็นค่าจ้าง และ ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมให้ถือตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่กำหนดไว้ article
เจรจาให้ลาออก ลูกจ้างไม่ตกลง ขอเวลาตัดสินใจและหยุดงานไป นายจ้างแจ้งให้กลับเข้าทำงานตามปกติ ถือว่านายจ้างยังไม่มีเจตนาเลิกจ้าง article
ละทิ้งหน้าที่ แอบนอนหลับในเวลาทำงาน ถือเป็นเหตุในการเลิกจ้างได้ เลิกจ้างเป็นธรรม article
ลาออกโดยไม่สุจริต ไม่มีผลใช้บังคับ article
ทำความผิดคล้ายคลึงกันแต่ไม่เหมือนกัน พิจารณาลงโทษแตกต่างกันได้ article
ประกอบธุรกิจ บริการ ด่าลูกค้าด้วยถ้อยคำหยาบคาย " ควาย " ถือเป็นการกระทำความผิดกรณีร้ายแรง article
ข้อบังคับ ระบุให้ผู้บังคับบัญชาเหนือกว่ามีอำนาจแก้ไข เพิ่มโทษ หรือลดโทษได้ การยกเลิกคำสั่งลงโทษเดิมและให้ลงโทษใหม่หนักกว่าเดิมจึงสามารถทำได้ article
เลือกปฏิบัติในการลงโทษระเบียบการห้ามใส่ตุ้มหูมาทำงาน บังคับใช้ได้ แต่เลือกปฏิบัติในการลงโทษไม่ได้ article
ลงโทษพักงานโดยไม่จ่ายค่าจ้างและเตือนในคราวเดียวกันได้ ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน article
จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย article
ข้อตกลงรับเงินและยินยอมปลดหนี้ให้แก่กัน ถือเป็นการตกลงระงับข้อพิพาทแม้จะทำขึ้นก่อนคำสั่งเลิกจ้างมีผลใช้บังคับ article
ศาลแรงงานมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานที่คู่ความอ้างส่งศาลได้ แม้มิได้ระบุบัญชีพยานไว้ก็ตาม article
สัญญาจ้างห้ามลูกจ้างไปทำงานกับนายจ้างใหม่ที่ประกอบธุรกิจเช่นเดียวกันมีกำหนดเวลา บังคับใช้ได้ article
เลิกจ้างและรับเงินค่าชดเชย ใบรับเงิน ระบุขอสละสิทธิ์เรียกร้องเงินอื่นใดใช้บังคับได้ ลูกจ้างไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องสินจ้างและค่าเสียหายได้อีก article
เกษียณอายุ 60 ปี ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยนับแต่วันครบกำหนดเกษียณอายุ แม้นายจ้างไม่ได้บอกเลิกจ้างก็ตาม article
ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องและเพิกเฉยไม่ดูแลผลประโยชน์ของนายจ้าง เป็นเหตุให้นายจ้างไม่ไว้วางใจในการทำงานได้เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม article
ละเลยต่อหน้าที่ ไม่รายงานเคพีไอ นายจ้างตักเตือนแล้ว ถือว่าผิดซ้ำคำเตือน เลิกจ้างได้ โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย article
ทำสัญญาจ้างต่างด้าวทำงานในอาชีพต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าว สัญญาจ้างถือเป็นโมฆะ article
ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง article
ศาลมีคำสั่งให้งดสืบพยาน แล้วพิพากษาตามหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน ในขณะที่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่ ข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ยุติ ต้องสืบพยานใหม่และพิพากษาใหม่ไปตามรูปคดี article
แม้สัญญาจ้างไม่ได้ระบุระยะเวลาทดลองงานไว้ แต่นายจ้างก็สามารถประเมินผลการทำงานของลูกจ้างได้ article
การควบรวมกิจการ สิทธิและหน้าที่โอนไปเป็นของบริษัทใหม่ การจ่ายเงินสมทบบริษัทใหม่ที่ควบรวมจึงมีสิทธิจ่ายเงินสมทบในอัตราเดิมตามสิทธิ มิใช่ในอัตราบริษัทตั้งใหม่ article
เลิกจ้างรับเงินค่าชดเชยแล้วตกลงสละสิทธิ์จะไม่เรียกร้องผละประโยชน์ใดๆ ถือว่าสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายเป็นอันระงับไป article
รับเหมาก่อสร้าง ผู้รับเหมาต้องรับผิดชอบ จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมแทนผู้รับเหมาช่วง หากผู้รับเหมาช่วงไม่นำส่งเงินสมทบตามกฎหมายโดยคำนวณจากอัตราค่าจ้างที่ระบุตามแบบ ( ภ.ง.ด. 50 ) และบัญชีงบดุล article
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานระบุห้ามทะเลาะวิวาทหรือทำร้ายร่างกาย ผู้บังคับบัญชา เพื่อนพนักงาน ทั้งในสถานที่ทำงาน หรือสถานที่อื่นๆ ฝ่าฝืนถือเป็นความผิดกรณีร้ายแรง ใช้บังคับได้ไม่ขัดต่อกฎหมาย article
ไส้ติ่งอักเสบ แพทย์วินิจฉัยให้ผ่าตัด ถือเป็นกรณีฉุกเฉิน เบิกค่ารักษาได้ มีสิทธิรับเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ได้ article
ค่าเช่าที่พัก ค่าใช้จ่ายเดินทางเป็นสวัสดิการไม่ถือเป็นค่าจ้าง article
ค่ารถยนต์ซึ่งกำหนดเป็นสวัสดิการไว้ชัดเจนแยกจากฐานเงินเดือนปกติ ถือเป็นสวัสดิการไม่ใช่ค่าจ้าง article
ละเมิดข้อตกลงสภาพการจ้าง ละเมิดสัญญาจ้าง มีอายุความ 10 ปี มิใช่ 1 ปี article
พฤติกรรมการจ้างที่ถือว่าเป็นการจ้างแรงงาน ถือเป็นลูกจ้าง / นายจ้างตามกฎหมาย article
พนักงานขายรถยนต์ไม่ปฏิบัติหน้าที่ประจำบูธ ตามที่ได้รับมอบหมาย ถือเป็นความผิดกรณีร้ายแรง article
เลือกตั้งคณะกรรมการสหภาพฯ ขัดต่อข้อบังคับสหภาพหรือขัดต่อกฎหมาย ถือว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบ article
ฝ่าฝืนสัญญาจ้าง กรณีห้ามทำการแข่งขันกับนายจ้างหรือทำธุรกิจคล้ายคลึงกับนายจ้างเป็นเวลา 2 ปี นับจากสิ้นสุดสัญญาต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่นายจ้าง article
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระบุให้นายจ้างเลิกจ้างเพราะเหตุคนล้นงาน ปรับลด ขนาดองค์กรได้ ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะเลิกจ้างลูกจ้างได้ article
ข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กรณีตัดสิทธิ์รับเงินสมทบพร้อมผลประโยชน์หากกระทำผิดถูกปลดออกจากงานบังคับใช้ได้ article
ทะเลาะวิวาทกัน นอกเวลางาน นอกบริเวณบริษัทฯ ไม่ถือเป็นความผิดกรณีร้ายแรง article
ฝ่าฝืนไม่ไปตรวจสารเสพติดซ้ำตามคำสั่งและนโยบาย ถือว่าฝ่าฝืน ข้อบังคับ หรือ ระเบียบ กรณีร้ายแรง article
วันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วน article
เป็นลูกจ้างที่มีอำนาจกระทำการแทนนายจ้างในการจ้างงาน ไม่มีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุด และลักทรัพย์เอาต้นไม้ของนายจ้างไป ถือว่ากระทำผิดอาญาแก่นายจ้าง เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย article
ผลการทำงานดีมาโดยตลอดและไม่เคยกระทำผิดมาก่อน แต่ปีสุดท้ายผลงานต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่ถือเป็นเหตุที่จะอ้างในการเลิกจ้าง article
ได้รับบาดเจ็บรายการเดียว เข้ารักษา 2 ครั้ง ถือว่าเป็นการรักษารายการเดียว นายจ้างสำรองจ่ายเพิ่มเติมไม่เกิน 50,000 บาท ไม่ใช่ 200,000 บาท article
ผู้บริหารบริษัท ฯ ถือเป็นลูกจ้างหรือไม่ ดูจาก_________ ? article
ขับรถออกนอกเส้นทาง แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อผู้บังคับบัญชา ถือเป็นความผิดกรณีร้ายแรงและก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้าง นายจ้างหักเงินประกันการทำงานได้ article
ค่าจ้างระหว่างพักงาน เมื่อข้อเท็จจริง ลูกจ้างกระทำความผิดจริง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างระหว่างพักงาน article
“ นายจ้าง ” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน มาตรา 5 article
สัญญารักษาความลับ ข้อมูลทางการค้า (ห้ามประกอบหรือรับปฏิบัติงานแข่งขันนายจ้าง) มีกำหนด 2 ปี บังคับใช้ได้ ไม่ขัดต่อกฎหมาย และการกำหนดค่าเสียหาย ถือเป็นเบี้ยปรับตามกฎหมาย ศาลปรับลดได้ตามสมควร article
เงินรางวัลการขายประจำเดือน จ่ายตามเป้าหมายการขาย ที่กำหนดไว้ ไม่ถือเป็นค่าจ้าง article
ค่าโทรศัพท์ เหมาจ่าย ถือเป็นค่าจ้าง article
ละทิ้งหน้าที่ 3 วันทำการ โดยไม่มีเหตุอันสมควร เลิกจ้างเป็นธรรมไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย article
ลาออกมีผลใช้บังคับแล้ว ออกหนังสือเลิกจ้างภายหลังใช้บังคับไม่ได้ article
ตกลงรับเงิน ไม่ติดใจฟ้องร้องอีกถือเป็นการตกลงประนีประนอมกันบังคับได้ ไม่ขัดต่อกฎหมาย
เลิกจ้างระหว่างทดลองงาน ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า article
ข้อตกลงว่า “หากเกิดข้อพิพาทตามสัญญาจ้างแรงงาน ให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย” ไม่เกี่ยวกับสิทธิตามกฎหมายแรงงาน เมื่อเกิดสิทธิตามกฎหมาย ฟ้องศาลแรงงานได้ โดยไม่ต้องให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย article
เลิกจ้างด้วยเหตุอื่น อันมิใช่ความผิดเดิมที่เคยตักเตือน ไม่ใช่เหตุที่จะไม่จ่ายค่าชดเชย เลิกจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย article
นำรถยนต์ไปใช้ในกิจธุระส่วนตัว มีพฤติกรรมคดโกง ไม่ซื่อตรง พฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต ไม่น่าไว้วางใจ ลงโทษปลดออกจากการทำงานได้ article
การกระทำที่กระทบต่อเกียรติ ชื่อเสียงของนายจ้าง และเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แม้กระทำนอกสถานที่ทำงานและนอกเวลางาน ก็ถือว่า ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรง article
สัญญาค้ำประกันการทำงานไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ ต้องรับผิดชอบตลอดไป article
ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาเลิกจ้างได้ ถือว่าเลิกจ้างเป็นธรรมและความผิดที่ลงโทษแล้วจะนำมาลงโทษอีกไม่ได้ article
ผิดสัญญาจ้างไปทำงานกับคู่แข่ง นายจ้างฟ้องเรียกค่าเสียหายตามสัญญาได้ แต่ค่าเสียหาย เป็นดุลพินิจของศาลจะกำหนด article
จงใจกระทำผิดโดยผิดกฎหมายเป็นเหตุให้นายจ้างเสียหาย ถือว่า กระทำละเมิดต่อนายจ้าง ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น article
ตกลงสละสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหาย ภายหลังเลิกจ้าง ใช้บังคับได้ ไม่เป็นโมฆะ article
ก้าวร้าวไม่ให้ความเคารพผู้บังคับบัญชา ถือว่ากระทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตเลิกจ้างได้ โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า article
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ามิใช่ค่าจ้าง คิดดอกเบี้ยในอัตรา 7. 5 ต่อปี article
ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ของนายจ้างในเรื่องส่วนตัวเป็นประจำ ถือว่ากระทำการอันไม่สมแก่กาปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต เลิกจ้างเป็นธรรม article
สั่งให้พนักงานขับรถ ขับรถออกนอกเส้นทางแต่ไม่ได้มีส่วนในการขับรถ ถือว่าผิดต่อสัญญาจ้าง แต่ไม่ต้องรับผิดอันมีผลโดยตรงจากมูลละเมิด ( ขับรถโดยประมาท ) article
จ่ายของสมนาคุณให้ลูกค้า โดยไม่ตรวจสอบบิลให้ถูกต้อง มิใช่ความผิดกรณีร้ายแรงไม่ใช่การทุจริตต่อหน้าที่ แต่ถือว่ากระทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เสร็จลุล่วงไปโดยถูกต้อง และสุจริต เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า article
ฟ้องประเด็นละเมิด กระทำผิดสัญญาจ้าง ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง มีอายุความ 10 ปี article
ตกลงยินยอมให้หักค่าจ้างชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันเงินกู้ นายจ้างสามารถหักค่าจ้างได้ตามหนังสือยินยอมโดยไม่ต้องฟ้อง article
กระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง article
“ งานโครงการตามมาตรา 118 วรรค 4 ” บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ว่าจ้างลูกจ้างทำงานตามโครงการที่รับเหมา ถือว่าจ้างงานในปกติธุรกิจของนายจ้าง มิใช่งานโครงการ article
เงินโบนัสต้องมีสภาพการเป็นพนักงานจนถึงวันกำหนดจ่าย ออกก่อนไม่มีสิทธิได้รับ article
ระเบียบกำหนดจ่ายเงินพิเศษ ( gratuity ) เนื่องจากเกษียณอายุ โดยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายแตกต่างจากการจ่ายค่าเชย ถือว่านายจ้างยังไม่ได้จ่ายค่าชดเยตามกฎหมาย article



Copyright © 2010 All Rights Reserved.

บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด

เลขที่ 511/4 ถนนประชาอุทิศ 117/1 แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร (10140)

โทร/Tel : 02 - 8159522, แฟกซ์/Fax : 02 - 8159523, มือถือ/Mobile : 081 - 7936156

อีเมล/E-mail : sawai.prm@gmail.com, เว็บไซต์/Web : www.parameelaw.com