คำพิพากษาฎีกา ที่ 15078/ 2555
เจ็บป่วยมีลักษณะรุนแรงอันอาจถึงแก่ชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันถ่วงที สามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใกล้เคียงได้ โดยมีสิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลตามความเป็นจริง จากกองทุนเงินทดแทน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของบริษัทมีสมบูรณ์ จำกัด และเป็นผู้ประกันตน โดยมีโรงพยาบาลอุตรดิตถ์เป็นโรงพยาบาลตามสิทธิ ระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม 2546 - วันที่ 15 กันยายน 2546 บริษัทนายจ้างให้โจทก์ไปทำงานในเขตจังหวัดกรุงเทพฯ ในระหว่างเวลาดังกล่าวโจทก์เจ็บป่วยฉุกเฉินจึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท 2 เสียค่ารักษาพยาบาลเป็นเงิน 140,905 บาท ต่อมาโจทก์ยื่นขอรับเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำหน้าที่ดูแลจัดการแทน แต่จำเลยทั้งสองปฏิเสธการจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้โจทก์โดยอ้างว่าสามารถไปรับการรักษาบริการทางการแพทย์ยังสถานพยาบาลที่กำ หนด จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินบริการทางการแพทย์ที่ร้องขอ โจทก์อุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งดังกล่าว ต่อมาคณะกรรมการอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าบริการทางการแพทย์ที่จ่ายไป โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยดังกล่าว ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยทั้งสองและให้จำเลยทั้งสองจ่ายเงินจำนวน 140,905 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 ที่ 203/2547 ลงวันที่ 9 เมษายน 2547 ชอบด้วยเหตุผลตามข้อกฎหมายแล้ว ไม่มีเหตุต้องยกเลิกเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลง เพราะตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันสังคมมาตรา 63 ได้บัญญัติในเรื่องผู้ประกันตนมีสิทธิรับประโยชน์ทดแทน กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย อันมิใช่เนื่องจากการทำงานได้ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนดภายใต้ความเห็นชอบของคณะกรรมการประกันสังคม และต่อมาสำนักงานประกันสังคมออกประกาศสำนักงานประกันสังคมเรื่องหลักเกณฑ์และอัตราสำหรับประโยชน์ทดแทนในกรณีที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน ลงวันที่ 14 ตุลาคม 2539 ข้อ 3 กำหนดให้ผู้ประกันตนประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงานไปรับบริการทางการแพทย์จากสถานพยาบาลที่สำนักงานประกันสังคมกำหนดให้ผู้ประกันตนผู้นั้นมีสิทธิไปรับบริการทางการแพทย์ และข้อ 4 ได้กำหนดให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับบริการทางการแพทย์ต่างๆ จากสถานบริการนั้น โจทก์ได้เลือกโรงพยาบาลอุตรดิตถ์เป็นสถานพยาบาลที่สำนักงานประกันสังคมกำหนดให้ไปเข้ารับการบริการทางการแพทย์ เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2546 โจทก์เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท 2 เป็นเวลา 2 วัน เสียค่าบริการทางการแพทย์ 140,905 บาท จำเลยที่ 2 มีคำสั่งประโยชน์ทดแทนว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าบริการทางการแพทย์เนื่องจากสามารถไปรับริการทางการแพทย์ยังสถานพยาบาลที่กำหนดไว้ในบัตรรับรองสิทธิ โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์คณะกรรมการอุทธรณ์ได้ประชุมเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2547 มีความเห็นว่ากรณีของโจทก์ได้เข้าพักรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท 2 ไม่เป็นกรณีฉุกเฉินตามประกาศสำนักงานประกันสังคม เรื่องกำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2541 จึงลงมติยกอุทธรณ์ของโจทก์ด้วยเหตุผลว่ากรณีโจทก์เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท 2 ซึ่งมีประวัติการรักษามาก่อน และแพทย์ได้นัดมาทำ CAG ถือว่ามิใช่เป็นกรณีฉุกเฉินตามประกาศสำนักงานประกันสังคม โจทก์สามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตามสิทธิได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอย่างใด ประกอบกับโรงพยาบาลตามสิทธิก็มีขีดความสามารถที่จะรักษาได้ การที่โจทก์เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท 2 เป็นความประสงค์ของโจทก์เอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ กรณีของโจทก์ไม่เข้าเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 63 ,64 โจทก์จึงไม่มีสิทธิรับเงินค่าบริการทางการแพทย์ตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลแรงงานกลางจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 203/2547 ลงวันที่ 9 เมษายน 2547 และให้โจทก์มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 จำนวน 140,905 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันฟ้อง (วันที่ 7 กรกฎาคม 2547) จนกว่าจำเลยที่ 1 จะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่าการที่โจทก์เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท 2 เนื่องจากมีอาการแน่นหน้าอกเป็นกรณีจำเป็นต้องได้รับบริการทางการแพทย์อย่างฉุกเฉินหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า กรณีของโจทก์แม้จะปรากฏตามใบรับรองแพทย์เลขที่ 19116 ลงวันที่ 4 กันยายน 2546 ว่าโจทก์พักรักษาเป็นกรณีฉุกเฉินแต่สัญญาณชีพของโจทก์และคลื่นไฟฟ้าอยู่ในเกณฑ์ปกติ และแพทย์ได้นัดหมายล่วงหน้าจึงไม่ได้มีอาการรุนแรงที่จะเป็นกรณีฉุกเฉินแต่อย่างใดนั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของบริษัทมีสมบูรณ์ จำกัด และเป็นผู้ประกันตนโดยสถานพยาบาลที่สำนักงานประกันสังคมกำหนดหรือโรงพยาบาลตามสิทธิที่โจทก์มีสิทธิไปรับบริการทางการแพทย์ คือโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ โจทก์ได้รับคำสั่งจากนายจ้างให้ไปทำงานที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2546 โจทก์มีอาการแน่นหน้าอกอย่างรุนแรงได้นัดหมายกับแพทย์โรงพยาบาลพญาไท 2 ทางโทรศัพท์ แพทย์นัดให้โจทก์เข้าไปตรวจรักษา โดยฉีดสีเข้าเส้นเลือด ปรากฏว่าเส้นเลือดที่จ่ายไปเลี้ยงหัวใจตันจำเป็นต้องรักษาโดยวิธีขยายหลอดเลือดและได้รับโจทก์เข้ารักษาในวันดังกล่าว โจทก์รักษาตัวที่โรงพยาบาลพญาไท 2 ถึงวันที่ 4 กันยายน 2546 เสียค่ารักษาพยาบาลทั้งสิ้น 140,905 บาท ต่อมาโจทก์ไปยื่นขอรับเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์จากจำเลยที่ 1 ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีคำสั่งว่าโจทก์สามารถไปรับบริการทางการแพทย์ยังสถานพยาบาลที่กำหนดให้ได้ จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าบริการทางการแพทย์ และคณะกรรมการอุทธรณ์พิจารณาว่า กรณีของโจทก์ไม่ใช่เหตุฉุกเฉินและปรากฏข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 203/2547 ลงวันที่ 9 เมษายน 2547 ซึ่งยุติในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลางว่า วันที่ 30 สิงหาคม 2546 เวลา 9.30 น. โจทก์มาเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลพญาไท 2 สำเนาเวชระเบียนระบุอาการแรกรับ BW 79.4 HT 167 BP 140/60 ขอผล LAB จากอุตรดิตถ์คลีนิค (15 สิงหาคม 2546) เวชระเบียนของโรงพยาบาลพญาไท 2 ระบุว่าตอนเจ็บหายใจไม่สุดขณะนั่ง ก่อนอาหารไม่แน่นหน้าอก หาวบ่อย ไม่เรอ ไม่นัด ต่อมาเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2546 ขณะโจทก์ไปดูงานก่อสร้างอยู่ที่บริเวณสะพานควายเกิดอาการแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก หน้ามืดกะทันหัน จนเพื่อนร่วมงานต้องช่วยกันนำส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท 2 ในเวลา 9.50 น. สำเนาเวชระเบียนระบุว่ามาด้วยอาการ BS = 167 BUN = 25 CR = 1.2 CHOL = 198 TG = 256 SGDT = 15 SGPT = 20 ALKPHOS = 37 เจาะ LAB จากอุตรดิตถ์ คลีนิคแล็ป ( 1 กันยายน 2546 ) มาด้วยอาการมีแสบตาบ่อยต้องอมยาบ่อย ADMIT แพทย์ตรวจแล้ววินิจฉัยว่ากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดรุนแรงเฉียบพลัน จึงเห็นควรให้พักรักษาในโรงพยาบาลเป็นกรณีฉุกเฉิน และได้ทำการตรวจสวนหัวใจขยายหลอดเลือดด้วยการทำบอลลูนใส่ขดลวด พักรักษา - วันที่ 4 กันยายน 2546 เป็นเวลา 2 วัน เสียค่าบริการทางการแพทย์เป็นเงิน 140,905 บาท ดังนั้นกรณีของโจทก์ซึ่งเกิดอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออกขณะปฏิบัติงานอยู่ที่กรุงเทพฯ จึงไม่สามารถเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลตามสิทธิได้ และอาการป่วยดังกล่าวถือได้ว่ามีลักษณะรุนแรงอันอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจึงเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกันตนเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงานและไม่สามารถไปรับบริการทางการแพทย์จากสถานพยาบาลที่สำนักงานประกันสังคมกำหนดให้สำหรับโจทก์และเป็นกรณีที่จำเป็นต้องได้รับบริการทางการแพทย์อย่างฉุกเฉิน โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าบริการทางการแพทย์เฉพาะค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามความจำเป็น ภายในระยะเวลาไม่เกินเจ็ดสิบสองชั่วโมง ตามอัตราที่ระบุไว้ในประกาศสำนักงานประกันสังคม เรื่อง กำหนดจำนวนเงินค่าบริการทางการแพทย์ ซึ่งจำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์โต้แย้งเรื่องของจำนวนค่าบริการทางการแพทย์ ดังนั้นที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่ากรณีของโจทก์ต้องเสียค่าบริการทางการแพทย์จำนวน 140,905 บาท เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเนื่องจากกรณีฉุกเฉินจึงมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนดังกล่าวจึงชอบแล้ว อุทธรณ์จำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.