คำพิพากษาฎีกา ที่ 5471 - 5473/ 2555
ร้องคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ขอให้รับกลับในขณะเดียวกันไปร้องพนักงานตรวจแรงงาน ให้จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าด้วย ถือว่าลูกจ้างยอมรับการเลิกจ้างแล้ว ไม่มีเหตุที่จะให้รับกลับเข้าทำงานอีก
คดีทั้งสามสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และให้เรียกจำเลยทั้งสามสำนวนว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2543 วันที่ 7 สิงหาคม 2543 และวันที่ 2 พฤศจิกายน 2543 บริษัทเอเวอร์กรีน คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล (ประเทศไทย) จำกัด จ้างโจทก์ทั้งสามเข้าทำงานเป็นลูกจ้างทำหน้าที่เป็นพนักงานขับรถบรรทุกลากพ่วง ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 5,670 บาท 6,150 บาท และ 6,250 บาท ตามลำดับ รวมทั้งค่าเที่ยวตามระยะทาง และค่าน้ำมันในอัตราที่กำหนด เมื่อใช้น้ำมันไม่เกิน 2.2 กิโลเมตรต่อลิตร แต่ถ้าใช้น้ำมันเกินอัตราดังกล่าวจะไม่ได้ค่าน้ำมันและค่าเที่ยวในวันนั้นๆ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 บริษัท เอเวอร์กรีน คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล (ประเทศไทย) จำกัด เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามโดยอ้างภาวะเศรษฐกิจตในปัจจุบันทำให้บริษัทฯต้องขายรถบรรทุกลากพ่วงจำนวนหนึ่งให้แก่บุคคลภายนอก แต่ความจริงบริษัทฯเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามเพราะเหตุว่า โจทก์ทั้งสามเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเอเวอร์กรีน คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล แห่งประเทศไทย ซึ่งต่อมาโจทก์ทั้งสามได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการบริหารสหภาพแรงงาน ได้ทำคำฟ้องยื่นต่อศาลแรงงานกลางและถูกบริษัทฯเลิกจ้างในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ วันที่ 31 มกราคม 2549 โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ซึ่งมีจำเลยทั้งแปดเป็นกรรมการ เพราะโจทก์ทั้งสามเห็นว่าการที่บริษัทเอเวอร์กรีน คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล (ประะเทศไทย) จำกัด เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 121 และมาตรา 123 ขอให้จำเลยทั้งแปดในฐานะคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งให้บริษัทฯรับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงานและจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันรับกลับเข้าทำงานหรือจ่ายค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสามคนละ 500,000 บาท จำเลยทั้งแปดมีคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 234 - 236/2549 ว่า บริษัทเอเวอร์กรีน คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล (ประเทศไทย) จำกัด เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามไม่เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 123 แต่เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 121 (1) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมจึงมีคำสั่งให้บริษัทฯจ่ายค่าเสียหาย 79,272 บาท 74,154 บาท และ 97,212 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสามตามลำดับ โจทก์ทั้งสามไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของจำเลยทั้งแปดเพราะโจทก์ทั้งสามยังสามารถทำงานให้บริษัทฯได้ ประกอบกับรถคันที่โจทก์ทั้งสามขับ บริษัทฯไม่ได้ขายให้บุคคลภายนอก แต่บริษัทฯมอบหมายให้พนักงานขับรถคันอื่นเป็นผู้ขับ อีกทั้งโจทก์ทั้งสามขอให้จำเลยทั้งแปดสั่งให้บริษัทฯรับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงานพร้อมกับจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันรับกลับเข้าทำงานหรือจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละ 500,000 บาท การที่จำเลยทั้งแปดสั่งให้บริษัทฯ จ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามดังข้างต้น จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากขณะนี้โจทก์ทั้งสามอายุมากแล้วไม่สามารถหางานใหม่ทำได้ จำเลยทั้งแปดชอบที่จะมีคำสั่งให้บริษัทฯรับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงานและจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันรับกลับเข้าทำงานขอให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 234 -236/2549 เฉพาะในส่วนให้บริษัทเอเวอร์กรีน คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล (ประเทศไทย) จำกัด จ่ายค่าเสียหาย 79,272 บาท 74,154 บาท และ 97,212 บาท ตามลำดับ และให้บริษัทเอเวอร์กรีน คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล (ประเทศไทย) จำกัด รับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงานพร้อมทั้งจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันรับกลับเข้าทำงานให้แก่โจทก์ทั้งสาม
จำเลยทุกสำนวนให้การว่า บริษัทเอเวอร์กรีน คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล (ประเทศไทย) จำกัด เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามโดยฝ่าฝืนมาตรา 121 (1) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ซึ่งจากคำร้องของโจทก์ทั้งสามขอให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งให้บริษัทฯรับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงานและจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันรับกลับเข้าทำงาน แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลังจากโจทก์ทั้งสามถูกเลิกจ้าง โจทก์ทั้งสามไปยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี กรณีค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากการถูกเลิกจ้างที่บริษัทฯจ่ายให้ไม่ครบ คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จึงเห็นว่า การที่โจทก์ทั้งสามไปยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน กรณีให้บริษัทฯจ่ายค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากการถูกเลิกจ้างซึ่งบริษัทฯก็ได้นำเงินค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไปจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งสามจนครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว ถือได้ว่าโจทก์ทั้งสามยอมรับการเลิกจ้างและประสงค์จะให้บริษัทฯปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยการ คุ้มครองแรงงานจากการถูกเลิกจ้าง ดังนั้น คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามจำนวนหนึ่งโดยใช้หลักเกณฑ์การพิจารณาตามอายุการทำงาน โดยอายุการทำงานไม่เกิน 1 ปี ได้ค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 60 วัน อายุการทำงานเกิน 1 ปี เพิ่มค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายอีกปีละ 30 วัน ทั้งนี้เศษของปีถ้าถึง 6 เดือน ให้ถือว่าเป็นอายุการทำงาน 1 ปี โดยค่าจ้างรวมถึงเงินอื่นที่โจทก์ทั้งสามได้รับอยู่เป็นประจำเพื่อตอบแทนการทำงานปกติ ซึ่งกรณีนี้โจทก์ที่ 1 มีอายุการทำงาน 5 ปี 1 เดือน ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายโดยเฉลี่ยตลอดปี 2548 เดือนละ 12,359 บาท เมื่อคำนวณค่าเสียหายตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวแล้วเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 6 เดือน เป็นเงิน 79,272 บาท โจทก์ที่ 2 มีอายุการทำงาน 5 ปี 2 เดือน ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายโดยเฉลี่ยตลอดปี 2548 เดือนละ 16,202 บาท เมื่อคำนวณค่าเสียหายตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวแล้วเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 6 เดือน เป็นเงิน 97,212 บาท และโจทก์ที่ 3 มีอายุการทำงาน 5 ปี 5 เดือน ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายโดยเฉลี่ยตลอดปี 2548 เดือนละ 13,121 บาท เมื่อคำนวณค่าเสียหายตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวแล้วเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 6 เดือน เป็นเงิน 74,154 บาท จำเลยทั้งแปดจึงมีคำสั่งให้บริษัทฯจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามดังกล่าว บริษัทฯกับโจทก์ทั้งสามมีข้อขัดแย้งอย่างรุนแรงนับแต่ปี 2547 เป็นต้นมาจนถึงขั้นฟ้องร้องต่อศาลแรงงานกลางและศาลแรงงานภาค 2 เกิดผลกระทบต่อการบริหารและการจัดการของบริษัทฯอย่างร้ายแรง จนไม่สามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้ บริษัทฯจึงเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามโดยยินยอมจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย โจทก์ทั้งสามอ้างว่ายังสามารถทำงานให้บริษัทฯได้ก็ย่อมสามารถที่จะไปทำงานกับบริษัทอื่นได้เช่นกัน คำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 234 - 236/2549 ลงวันที่ 27 เมษายน 2549 ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่มีเหตุจะเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งสามเป็นลูกจ้างบริษัทเอเวอร์กรีน คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 5,670 บาท 6,150 บาท และ 6,250 บาท ตามลำดับ ต่อมาโจทก์ทั้งสามได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการบริหารสหภาพแรงงาน ได้ทำคำฟ้องยื่นต่อศาลแรงงานกลาง ต่อมาวันที่ 31 มกราคม 2549 โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ซึ่งจำเลยทั้งแปดเป็นกรรมการจำเลยทั้งแปดมีคำสั่งให้บริษัท เอเวอร์กรีน คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล (ประเทศไทย) จำกัด จ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามเป็นเงิน 79,272 บาท 97,212 บาท และ 74,154 บาท ตามลำดับ และศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานเรีกร้องค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเพิ่มและได้รับเงินส่วนที่ขอเพิ่มไปจากนายจ้างแล้ว เท่ากับโจทก์ทั้งสามยอมรับการเลิกจ้างและสัมพันธภาพของโจทก์ทั้งสามกับบริษัทฯในฐานะนายจ้างลูกจ้างย่อมสิ้นสุดตามข้อวินิจฉัยของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ การที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์กำหนดค่าเสียหายในกรณีการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามอายุงานของโจทก์ทั้งสามจึงชอบด้วยเหตุผล
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามว่า มีเหตุเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 234 - 236/2549 หรือไม่ โดยโจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ทำนองว่า การที่โจทก์ทั้งสามไปยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรีเพื่อเรียกร้องค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ถือว่าโจทก์ทั้งสามยอมรับการเลิกจ้างเพราะถ้ายอมรับการเลิกจ้างก็ไม่มีเหตุที่จะต้องไปยื่นคำร้องดังกล่าว เห็นว่า การบอกเลิกสัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลา นายจ้างอาจจ่ายค่าจ้างให้ตามจำนวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกำหนดที่บอกกล่าว และให้ลูกจ้างออกจากงานทันทีได้ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 17 ดังนั้น ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าได้ต่อเมื่อลูกจ้างถูกนายจ้างให้ออกจากงานแล้ว การที่โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี เพื่อเรียกร้องค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าโดยอ้างว่าบริษัทเอเวอร์กรีน คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นนายจ้างจ่ายให้ไม่ครบ ย่อมแสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่าโจทก์ทั้งสามยอมรับการเลิกจ้างของนายจ้าง เมื่อโจทก์ทั้งสามยอมรับการเลิกจ้าง ย่อมถือได้ว่าโจทก์ทั้งสามไม่ประสงค์ที่จะทำงานกับบริษัทเอเวอร์กรีน คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล (ประเทศไทย) จำกัด อีกต่อไป การที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์กำหนดค่าเสียหายกรณีการกระทำอันไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ทั้งสามจึงชอบด้วยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 41 (4) แล้ว ไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 234 - 236/2549 อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ทำนองว่า ข้อเท็จจริงในชั้นสืบพยานโจทก์ตรงกับคำเบิกความของนายเจนวิทย์ ไชยโย พยานจำเลย จึงรับฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสามไม่ได้รับค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามดังกล่าวเป็นการโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.