สิ่งทอหนีซบเพื่อนบ้านส.อ.ท.ยันวิกฤติขาดแรงงาน-ค่าจ้าง 300 บาท
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากที่ได้ติดตามสถานการณ์ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและค่าจ้างที่ปรับตัวสูงขึ้น 300 บาทต่อวัน ทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มหลายรายกำลังศึกษาข้อมูลเชิงลึกเพื่อจะเข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน หลังจากที่ผ่านมาได้มีเอกชนไทยเข้าไปลงทุนในประเทศต่างๆ แล้วไม่ต่ำกว่า 25 บริษัท ตั้งโรงงานผลิตไม่ต่ำกว่า 35 แห่ง ซึ่งถือเป็นการย้ายฐานการผลิตออกไปที่จะรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในปี 2558 ด้วย
ทั้งนี้ จากการติดตามข้อมูลพบว่า ในปีหน้าจะมีเอกชนในอุตสาหกรรมด้านนี้ออกไปลงทุนเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 10 บริษัท โดยจะพุ่งเป้าไปที่เมียนมาร์เป็นส่วนใหญ่ รองลงมาจะเป็นเวียดนาม และอินโดนีเซีย เนื่องจากทั้ง 3 ประเทศนี้มีแรงงานจำนวนมากและค่าจ้างยังต่ำกว่าไทยมาก 2-3 เท่าตัว
นายเจน นำชัยศิริ รองประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า หากทางการเมืองจะต้องมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ อาจจะมีผลกระทบต่อการเปิดเออีซี ในการยอมรับรัฐบาลใหม่ที่ยึดมั่นผลประโยชน์ให้กับประเทศ โดยรวมผลกระทบคงจะไม่เกิดขึ้น เพราะนโยบายของประเทศต่างๆ ในการเปิดเออีซีเดินหน้าอยู่แล้ว แต่ถ้าไทยไม่ดำเนินงานตามข้อตกลงที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ จะส่งผลกระทบต่อการเปิดเออีซีค่อนข้างมาก เพราะไทยเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญอันดับ 1 ของอาเซียน สุดท้ายแล้วผลกระทบก็จะตกมาสู่ประเทศไทยเองที่จะสูญเสียมูลค่าทางการตลาดในภูมิภาคนี้
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทางการเมืองที่เกิดขึ้นเวลานี้ กลุ่มประเทศในอาเซียนมีความกังวลต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่จะมีผลต่อเออีซี เนื่องจากหากประเทศใดประเทศหนึ่งที่อยู่ในภูมิภาคมีปัญหาทางด้านการเมืองการปกครองแล้ว ย่อมส่งผลกระทบต่อการเจรจาของนโยบายที่ต่อเนื่องการรวมตัวเพื่อสร้างเสถียรภาพในการแข่งขันกับภูมิภาคอื่นๆ ก็จะลดลงด้วย ที่สำคัญหากปัญหาการเมืองไม่ได้ข้อยุติ การที่จะไปเจรจาแสดงท่าทีต่างๆ ในเวทีการค้า ก็จะดำเนินการได้ยาก เพราะประเทศต่างๆ จะมองถึงความไม่น่าเชื่อถือ เช่น การจะออกมาตรฐานผลิตอุตสาหกรรมให้ก็จะดำเนินการได้ยาก เพราะประเทศต่างๆ จะมองถึงความไม่น่าเชื่อถือ เช่น การจะออกมาตรฐานผลิตอุตสาหกรรมให้อยู่ในระดับเดียวกัน หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ของประเทศไทยเป็นมาตรฐานหลักในอาเซียนก็คงดำเนินการได้ยาก เพราะน้ำหนักในการเสนอขาดความน่าเชื่อถือ เป็นต้น
ขณะที่นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์กระดาษ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า คาดว่าภาพรวมทั้งปี 2556 อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์กระดาษจะมีอัตราการเติบโตในระดับ 2-3% จากปี 2555 ที่มีมูลค่าทางการตลาดกว่า 3 แสนล้านบาท โดยเป็นการเติบโตบรรจุภัณฑ์กระดาษที่ป้อนทั้งในประเทศและส่งออกเป็นหลักขณะที่สิ่งพิมพ์ในประเทศโดยเฉพาะหนังสืออ่านเล่นพกพา หรือพ็อคเกตบุ๊ค นิตยสาร หรือแมกกาซีนภาพรวมติดลบ 20% เนื่องจากกำลังซื้อลดต่ำประกอบกับสิ้นปีเจอปัญหาการเมืองซ้ำทำให้ร้านค้าต่างๆ จำหน่ายได้ลดลง
สำหรับคำสั่งซื้อปฏิทินและสมุดบันทึกประจำวัน (ไดอารี่) ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยการเมือง เนื่องจากส่วนบริษัทห้างร้านต่างๆ ได้มีคำสั่งซื้อล่วงหน้าไปแล้ว 2-3 เดือน เพื่อนำไปแจกเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยยังขยายตัวได้ในระดับ 10% แต่สำหรับการ์ดอวยพร หรือ ส.ค.ส. มียอดขายที่ลดลง 20% จากปีที่แล้วและจะลดลงไปอีกนับจากนี้ เนื่องจากพฤติกรรมของคนไทยได้เปลี่ยนไป โดยหันไปอวยพรผ่านอีการ์ดและแอพพลิเคชั่นต่างๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือที่เป็นสมาร์ทโฟน
"ปีนี้อุตฯ สิ่งพิมพ์ก็ถือว่าเติบโตค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากส่วนหนึ่งส่งออกของเราไม่ได้ขยายตัวมากนัก ประกอบกับแรงซื้อในประเทศเองก็ลดต่ำ บางส่วนก็ได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป อย่างไดอารี่เองพฤติกรรมคนก็เปลี่ยนหันไปจดบันทึกผ่านมือถือที่สะดวกรวดเร็ว และสามารถคัดลอกส่งข้อความได้ทันที แต่การที่ยอดขายรวมยังไม่ตกเหมือน ส.ค.ส. เนื่องจากไดอารี่ยังคงเป็นของขวัญที่บริษัทห้างร้านต่างๆ ยังสั่งทำเพื่อส่งมอบความสุขช่วงปีใหม่ควบคู่กับปฏิทินอยู่เช่นเดิม เพราะต้นทุนไม่สูงมากนัก" นายเกรียงไกร กล่าว