เคล็ดลับห่างไกลอัมพาต
รู้มั๊ย...โรคที่คร่าชีวิตผู้คนสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก และพบคนไทยเป็นถึง 150,000 รายต่อปี คือ โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
สถานการณ์โรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมอง หรือที่เรียกว่าโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นสาเหตุการตายสูงอันดับ 3 ของทั่วโลก รองจากโรคหัวใจขาดเลือด มะเร็ง และมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี ในประเทศไทยพบว่า ภายใน 4 ปี มีอัตราการตายเพิ่มมากกว่า 3 เท่า คนไทยเป็นโรคนี้ถึง 150,000 รายต่อปี โดยมีอายุเฉลี่ยที่เป็นดรคอยู่ในช่วงอายุ 50 ปี และที่สำคัญก็คือผู้ที่เป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตนั้น จะมีความพิการถาวร และทำให้ประเทศต้องเสียงบประมาณถึงปีละ 15,000 ล้านบาท
อาการของโรคหลอดเลือดสมอง ได้แก่
อาการอ่อนแรงของร่างกายครึ่งซีก
ชาครึ่งซีก
เวียนศีรษะร่วมกับเดินเซ
ตามัว หรือมองเห็นภาพซ้อน
พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง
ปวดศีรษะ อาเจียน
ซึม ไม่รู้สึกตัว
ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง
1. ภาวะ หรือโรคความดันโลหิตสูง เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรค 3-17 เท่า
2. โรคเบาหวาน เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรค 3 เท่า
3. การสูบบุหรี่ เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดดรค 2 เท่า
4. ไขมันในเลือดสูง เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรค 1.5 เท่า
5. โรคหัวใจ
6. ขาดการออกกำลังกาย
7. ผู้สูงอายุ
เคล็ดลับในการลดโอกาสเสี่ยง
จำกัดปริมาณเกลือ ไขมัน และน้ำตาล ในอาหารทุกมื้อ
กินผัก ผลไม้รสไม่หวานจัด
หยุดสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการสุดดมควันบุหรี่
ควบคุมน้ำหนัก ตรวจสุขภาพตามวัย เช่น ความดันโลหิต น้ำตาลในเลือด และไขมัน
ทำกิจกรรทางกาย ออกกำลังกายวันละ 30 นาที 3-4 วันต่อสัปดาห์
สนับสนุนให้สมาชิกในครอบครัวร่วมกันปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตที่ส่งเสริมสุขภาพทั้งกายและใจ
การออกกำลังกายและใจในเด็กวัยรุ่น
พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรเป็นตัวอย่างการเคลื่อนไหว โดยมีกิจกรรมทางกาย เช่น ออกกำลังกาย ทำงานบ้านร่วมกัน เดินขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์ จัดสวน เดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ ช่วยแม่จ่ายตลาด
ควรลดชั่วโมงดูโทรทัศน์ เล่นเกมคอมพิวเตอร์ให้ไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน
โรงเรียนควรกำหนดให้มีกิจกรรมเคลื่อนไหว ออกกำลังกายทุกครั้งในวิชาพลศึกษา และสุขศึกษา
ผ่อนคลายสมอง เช่น ฝึกนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจเข้า-ออก ดูหนังฟังเพลง ทำงานอดิเรก
จัดสถานที่ และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแก่เด็กและเยาวชน เช่น โรงเรียนควรมีโรงยิมที่ปลอดควันบุหรี่ เป็นต้น
วัยผู้ใหญ่
1. ฝึกนิสัย "ชิมก่อนเติม กินอาหารรสชาติพอดี" คนที่ชินกับรสหวาน รสเค็ม ต้องค่อย ๆ ลดปริมาณลงมา ให้คนอื่นช่วยชิม หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาล และเกลือในปริมาณมาก เช่น ผลไม้รสหวานจัด น้ำอัดลม น้ำปลา อาหารกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป ของหมักดอง
น้ำตาล (ไม่เกิน 5 ช้อนชาต่อวัน)
เกลือ (ไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน)
อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล ปลาหมึก หนังไก่ ขาหมู ของทอด น้ำมันหมู
2. เลิกบุหรี่ ลดปริมาณแอลกอฮอล์
ชาย (ไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน)
หญิง (ไม่เกิน 1 แก้วต่อวัน)
3. ควบคุมให้มีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม ดังนี้
รอบเอวผู้หญิงไม่เกิน 80 เซนติเมตร
รอบเอวผู้ชายไม่เกิน 90 เซนติเมตร
4. กินผักผลไม้ (รสไม่หวานจัด) เพราะมีกากใยอาหาร ช่วยในการขับถ่าย เช่น มะละกอ ฝรั่ง ชมพู่
5. เคลื่อนไหวออกกำลังกาย เช่น เต้นแอโรบิก เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน โยคะ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน และสม่ำเสมอ
6. จัดการความเครียดในแต่ละวัน เช่น ดูหนัง ฟังเพลง พูดคุยกับเพื่อน ทำงานอดิเรก ทำสมาธิ
7. ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจเช็คร่างกาย วัดความดัน ตรวจน้ำตาลในเลือด อย่างน้อยปีละครั้ง
8. ควบคุมค่าความดันโลหิต และน้ำตาลในเลือด ให้อยู่ในค่าปกติอยู่เสมอ นั่นคือ
ค่าความดันโลหิตปกติ 120/80 มิลลิเมตรปรอท
ค่าน้ำตาลปกติ น้อยกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
การบริโภคอาหารสุขภาพ
กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ให้หลากหลายชนิด และปริมาณที่เหมาะสม โดยเฉพาะผักหลากสี
เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่ทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง เป็นภูมิคุ้มกันชั้นดี
ลดอาหารเค็มจัด หวานจัด มันจัด เช่น ขนมกรุบกรอบ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ของทอด กะทิ ขนมหวาน น้ำอัดลม
ฝึกกินอาหารให้เป็นเวลา ไม่กินจุบจิบ เคี้ยวอาหารช้า ๆ งดขนมกรุบกรอบ
อาหารว่างของเด็กควรเป็นผักและผลไม้ เช่น ขนมที่มีส่วนประกอบของถั่ว เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ เช่น น้ำผลไม้ธรรมชาติ แทนการให้ขนมถุงที่อร่อยเพราะผงชูรส แถมมีปริมาณเกลือสูง เสี่ยงต่อการเป็นโรคไต โรคหัวใจ
มีการติดตามประเมินน้ำหนัก และส่วนสูงตามเกณฑ์ที่อ้างอิงตามวัยเป็นประจำ
สัญญาณเตือนภัย ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วนเมื่อเกิดอาการข้อใดข้อหนึ่งอย่างทันทีทันใด
1. ชาหรืออ่อนแรงครึ่งซีกที่หน้า แขน หรือขา
2. เวียนศีรษะ หรือหมดสติ
3. ปวดหัวรุนแรงเฉียบพลัน
4. พูดไม่ชัด หรือลิ้นแข็ง
5. ตามัว หรือเห็นภาพซ้อน