คำพิพากษาฎีกา ที่ 14033 / 2555
การโอนย้ายพนักงานไปทำงานกับนายจ้างใหม่ บังคับตาม ปพพ. มาตรา 577 แตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงนายจ้างใหม่ ซึ่งบังคับตาม พรบ. คุ้มครองแรงงาน มาตรา 13 เมื่อลูกจ้างยินยอมโอนย้ายไป ถือว่าตกลงยินยอมปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือสภาพการจ้างของนายจ้างใหม่และเบี้ยเลี้ยง ที่ตกลงจ่ายเพื่อทดแทนรายได้เดิมที่เคยได้รับโดยจ่ายประจำ เป็นจำนวนเงินแน่นอน พร้อมการจ่ายเงินเดือน ถือเป็นค่าจ้าง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เดิมจำเลยที่ 2 ชื่อบริษัทสราญชัย จำกัด ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทสุราบางยี่ขัน จำกัด เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2542 โจทก์เริ่มเข้าทำงานครั้งแรกเมื่อปี 2526 โดยสังกัดและรับเงินเดือนในนามกลุ่มบริษัทสุราทิพย์อโยธยา จำกัด ต่อมาโจทก์ได้โอนย้ายสังกัดบริษัทและเงินเดือนหลายครั้ง ในปี 2535 โจทก์ถูกโอนย้ายมาสังกัดศูนย์การตลาดโดยอยู่ในสังกัดบริษัทและรับเงินเดือนจากจำเลยที่ 1 ในตำแหน่งผู้จัดการจังหวัดในเดือนเมษายน 2541 จำเลยที่ 1 ย้ายโจทก์ไปทำหน้าที่ดูแลการผลิตและการเก็บสินค้า (สุรา) ของบริษัทในเครือทั้งหมด โดยให้ไปสังกัดและรับเงินเดือนจากบริษัทมงคลสมัย จำกัด บริษัทนทีชัย จำกัด และครั้งสุดท้ายในปี 2545 โจทก์สังกัดและรับเงินเดือนจากจำเลยที่ 2 ในตำแหน่งผู้จัดการภาค 1 มีอัตราเงินเดือนสุดท้ายเดือนละ 100,500 บาท และเงินเบี้ยเลี้ยงในอัตราที่แน่นอนอีกเดือนละ 50,000 บาท การโอนย้ายโจทก์ตั้งแต่ปี 2535 เปลี่ยนแปลงเฉพาะสังกัดบริษัทเท่านั้น ในส่วนอายุงานและเงินเดือนคงเดิมทุกประการ ในเดือนธันวาคม 2545 จำเลยที่ 2 มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์มีอายุครบเกษียณอายุตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน แต่โจทก์เห็นว่าการเลิกจ้างโจทก์ของจำเลยทั้งสองเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมกล่าวคือ ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 1 ฉบับปี 2537 หมวด 9 ข้อ 9.3 ที่กำหนดให้พนักงานเกษียณอายุเมื่อ 65 ปีบริบูรณ์ ถือเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างซึ่งมีผลใช้บังคับกับโจทก์แล้ว การที่จำเลยที่ 1 โอนย้ายโจทก์ไปสังกัดบริษัทจำเลยที่ 2 ซึ่งมีการกำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานขึ้นใหม่เพื่อให้โจทก์เสียสิทธิทั้งการโอนย้ายโจทก์ไปทำงานให้จำเลยที่ 2 ก็ไม่มีข้อตกลงยกเว้นสิทธิเกี่ยวกับการเกษียณอายุจาก 65 ปี มาเป็น 60 ปี ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 2 จึงไม่อาจนำมาใช้บังคับกับโจทก์ได้ การที่จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์เมื่ออายุ 60 ปี เป็นการเลือกปฏิบัติเพราะพนักงานของจำเลยทั้งสองบางคนที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ จำเลยทั้งสองก็ยังไม่ได้เลิกจ้างและให้ทำงานต่อไป การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกลั่นแกล้งและเลือกปฏิบัติต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียโอกาสในการประกอบอาชีพและขาดรายได้เป็นเวลา 5 ปี โจทก์ไม่สามารถเริ่มทำงานใหม่ได้ ทำให้ครอบครัวโจทก์ได้รับความเดือดร้อน นอกจากนี้จากที่จำเลยที่ 2 จ่ายค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้างให้แก่โจทก์เป็นจำนวน 10 เท่า ของเงินเดือน 100,500 บาท เป็นเงิน 1,005,000 บาท เป็นจำนวนที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากจำเลยที่ 2 มิได้นำเบี้ยเลี้ยงมาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยด้วย จำเลยที่ 2 จึงต้องจ่ายค่าชดเชยส่วนที่ยังขาดจำนวน 500,000 บาท และจำเลยทั้งสองต้องร่วมกันจ่ายเงินค่าขาดรายได้จากการทำงาน 5 ปี จำนวน 9,030,000 บาท ค่าขาดรายได้จากเงินโบนัสประจำปี รวม 5 ปี จำนวน 1,505,000 บาท ค่าเสียหายเพราะถูกให้ออกจากงาน จำนวน 3,000,000บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ชำระค่าชดเชยจำนวน 500,000 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 13,535,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้าง (1 มกราคม 2546) เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองมอบอำนาจให้นางสาววรนุช ทองไพบูลย์ เป็นผู้ดำเนินคดีแทน เมื่อระหว่างปี 2524 - วันที่ 31 ธันวาคม 2542 จำเลยจัดตั้งกลุ่มบริษัทใช้ชื่อว่าเครือบริษัทสุรา ที.ซี.ซี. ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนแปลงชื่อกลุ่มหรือจัดตั้งบริษัทใหม่ตามความเหมาะสมทางการค้า เช่น กลุ่มบริษัทสุราทิพย์ กลุ่มบริษัทแสงโสม กลุ่มบริษัทสุราบางยี่ขัน เป็นต้น โดยกลุ่มบริษัทดังกล่าวมีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกำหนดให้พนักงานที่มีอายุครบ 60 ปี ต้องเกษียณอายุโดยได้รับค่าชดเชยตามกฎหมาย โจทก์เข้าทำงานกับจำเลยตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2526 เป็นต้นมา ขณะนั้นจำเลยใช้ชื่อกลุ่มว่าเครือบริษัทสุรา ที.ซี.ซี. ระหว่างทำงานจำเลยได้ให้โจทก์หมุนเวียนไปปฏิบัติงานทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดโดยนิติบุคคลในต่างจังหวัดนั้นๆ จะมีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานแยกต่างหาก การโอนย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ในที่ต่างๆ มีการออกเป็นคำสั่งให้พนักงานลงชื่อรับทราบตามแบบฟอร์มของบริษัทและถือว่ายินยอมปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยทุกครั้ง โดยโจทก์จะได้รับการนับอายุงานต่อเนื่องเท่านั้น เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2531 กลุ่มบริษัทจำเลยได้ประกาศใช้ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานคือระเบียบว่าด้วยการปฏิบัติงาน พ.ศ.2531 และเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2535 จำเลยได้ประกาศใช้ข้อบังคับกลุ่มบริษัทสุราทิพย์ว่าด้วยการทำงาน และต่อมาเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2542 จำเลยประกาศใช้ข้อบังคับกลุ่มบริษัท 43 ซึ่งข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานทั้งสามฉบับกำหนดให้พนักงานที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์เกษียณอายุโจทก์เป็นพนักงานระดับบริหารจึงต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานนั้นด้วยและไม่เคยโต้แย้งคัดค้านการกำหนดเกษียณอายุแต่ประการใด การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อครบเกษียณอายุ 60 ปี จึงไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เงินเบี้ยเลี้ยงที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ในแต่ละเดือนมิใช่เงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติมีลักษณะเป็นสวัสดิ - การ จึงไม่ต้องนำมาคำนวณค่าชดเชย จำเลยได้บอกกล่าวล่วงหน้าและจ่ายค่าชดเชยพร้อมจ่ายเงินพิเศษให้เฉพาะโจทก์เป็นเงิน 1,000,000 บาท แล้วโจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายใดๆ จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินตามฟ้องโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทสุราทิพย์อโยธยา จำกัด เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2526 ในตำแหน่งผู้จัดการจังหวัดเครือบริษัทสุรา ที.ซี.ซี. โดยโจทก์ได้ถูกโอนย้ายไปทำงานกับบริษัทในเครือสุรา ที.ซี.ซี. เรื่อยมา จนกระทั่งได้มาทำงานกับบริษัทอยุธยาเมืองเก่า จำกัด (จำเลยที่ 1) ครั้งแรกเมื่อระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2534 - วันที่ 15 สิงหาคม 2536 ในตำแหน่งผู้จัดการเขต หลังจากนั้นโจทก์ยังคงถูกโอนย้ายไปทำงานกับบริษัทในเครือและปรับเปลี่ยนตำแหน่งการทำงานโจทก์อีกหลายครั้ง โดยเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2541 โจทก์ถูกโอนย้ายไปทำงานให้กับกลุ่มบริษัท 43 ซึ่งกลุ่มบริษัทดังกล่าวนั้นไม่มีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลต่างหาก แต่เป็นการรวมกลุ่มระหว่างบริษัทหลายบริษัท ต่อมาครั้งสุดท้ายโจทก์ถูกโอนย้ายไปทำงานกับบริษัทสุราบางยี่ขัน จำกัด (จำเลยที่ 2) เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2545 ในตำแหน่งรองผู้อวยการฝ่ายการตลาด (ภาค 1) ได้รับเงินเดือนๆละ 100,500 บาท โจทก์ถูกเลิกจ้างเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2545 ในขณะเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 เพราะเหตุที่โจทก์มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ นอกจากโจทก์จะได้รับเงินเดือนแล้ว โจทก์ยังคงได้รับเงินเบี้ยเลี้ยงซึ่งจำเลยที่ 2 ได้จ่ายให้กับโจทก์พร้อมกับเงินเดือนเป็นจำนวนเท่ากันทุกเดือนๆละ 50,000 บาท มีกำหนดจ่ายเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงให้แก่โจทก์ทุกวันสิ้นเดือน โดยวิธีการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารให้แก่โจทก์การดำเนินกิจการของจำเลยทั้งสองมีชื่อกลุ่มบริษัทในเครือว่า เครือบริษัทสุรา ที.ซี.ซี. กลุ่มบริษัทสุราทิพย์ และกลุ่มบริษัท 43 โดยเครือบริษัทสุรา ที.ซี.ซี. มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานซึ่งประกาศใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2531 ในข้อ 37 กำหนดให้พนักงานเกษียณอายุเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และต้องพ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน ณ วันสิ้นปีที่ครบเกษียณอายุ ส่วนกลุ่มบริษัทสุราทิพย์มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานซึ่งประกาศใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2535 ในข้อ 36 กำหนดให้พนักงานเกษียณอายุเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และต้องพ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน ณ วันสิ้นเดือนที่ครบเกษียณอายุ เว้นแต่พนักงานระดับผู้บริหารที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการกลุ่มบริษัท ให้อยู่ในตำแหน่งได้ตามวาระที่คณะกรรมการกลุ่มบริษัทกำหนด กลุ่มบริษัท 43 หมายความรวมถึงบริษัทสุราบางยี่ขัน จำกัด หรือจำเลยที่ 2 ด้วย ตามที่ปรากฏในข้อ 5 บริษัทอยุธยาเมืองเก่า จำกัด หรือจำเลยที่ 1 เป็นบริษัทในเครือของบริษัทกรุงเทพโกสินทร์ จำกัด ซึ่งมีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่ประกาศใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2537 ในข้อ 9.3 กำหนดให้พนักงานชายและหญิงที่อายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ให้เกษียณอายุวันที่ 31 ธันวาคม ของปีที่ครบเกษียณอายุถือว่าพ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน ภายหลังจำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์เกษียณอายุเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ จำเลยที่ 2 ได้จ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ โดยมิได้นำเงินเบี้ยเลี้ยงที่จ่ายให้แก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 50,000 บาท มาเป็นฐานในการคำนวณ และโจทก์ยังได้รับเงินพิเศษอีกจำนวน 1,000,000 บาท ซึ่งโจทก์ได้รับเงินดังกล่าวไปจากจำเลยที่ 2 แล้ว และวินิจฉัยว่าเบี้ยเลี้ยงมิใช่ลักษณะการจ่ายให้เป็นสวัสดิการจึงเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างที่ต้องนำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยให้แก่โจทก์ การโอนย้ายโจทก์แต่ละครั้งจะมีการแจ้งให้ทราบว่าโจทก์ถูกโอนย้ายไปทำงานในสังกัดบริษัทใด ได้รับเงินเดือนอัตราใดและได้รับการนับอายุงานต่อเนื่อง แต่มิได้มีข้อตกลงใดๆ เกี่ยวกับเรื่องกำหนดการเกษียณอายุของพนักงานไว้เป็นประการอื่น เมื่อวันที่โจทก์ถูกเลิกจ้าง โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จึงต้องตกอยู่ในบังคับของข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 2 ที่กำหนดให้พนักงานเกษียณอายุเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์เพราะเกษียณอายุการทำงานจึงมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแต่จำเลยที่ 2 ต้องจ่ายค่าชดเชยส่วนที่ยังขาดให้แก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลต่างหากจากจำเลยที่ 2 โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ร่วมเป็นนายจ้างและเลิกจ้างโจทก์ด้วยแต่ประการใด โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ได้ พิพากษาให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าชดเชยจำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่เลิกจ้าง (วันที่ 1 มกราคม 2546) เป็นต้นไปจนกว่าชำระให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น คำขออื่นให้ยก และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลาง ฟังข้อเท็จจริงว่า แม้ก่อนที่โจทก์จะเข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 โจทก์ได้ทำงานให้แก่บริษัทต่างๆ อันเป็นบริษัทในเครือที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวเนื่องกัน ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่ให้พนักงานเกษียณอายุเมื่อมีอายุครบ 65 ปี บริบูรณ์ จึงมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 กับโจทก์ในระหว่างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 การที่โจทก์ถูกโอนย้ายมาทำงานให้แก่กลุ่มบริษัท 43 นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2541 เรื่อยมาจนกระทั่งมาทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ในปี 2545 โดยโจทก์ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านใดๆ จึงถือได้ว่าโจทก์ตกลงโดยปริยายที่จะอยู่ภายใต้ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของกลุ่มบริษัท 43 อันรวมถึงจำเลยที่ 2 ที่ให้พนักงานเกษียณอายุเมื่อมีอายุครบ 60 ปี บริบูรณ์ด้วย การที่โจทก์ปฏิเสธว่าไม่เคยรับทราบข้อกำหนดในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเรื่องการเกษียณอายุเป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ในวันที่โจทก์ถูกเลิกจ้างข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 1 ที่กำหนดให้พนักงานเกษียณอายุเมื่อ 65 ปีบริบูรณ์ไม่มีผลใช้บังคับกับโจทก์แล้ว และโดยส่วนใหญ่เมื่อพนักงานของจำเลยที่ 2 มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ จำเลยที่ 2 ก็จะเลิกจ้างตามหลักเกณฑ์การจ้างงานที่กำหนดไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน การที่จำเลยที่ 2 จะต่ออายุการทำงานให้แก่พนักงานคนใดเป็นอำนาจบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรของนายจ้างที่นายจ้างสามารถจะพิจารณาและกระทำได้ เมื่อไม่ปรากฏว่าการที่จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์การเลิกจ้างซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับเกี่ยวกับทำงาน จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควรมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้น ที่โจทก์อุทธรณ์อ้างว่า การที่จำเลยที่ 1 โอนย้ายโจทก์มาทำงานกับจำเลยที่ 2 นั้น โจทก์ไม่เคยรับทราบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 2 และไม่มีข้อตกลงยกเว้นสิทธิเกี่ยวกับเรื่องการเกษียณอายุ แสดงว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับให้โจทก์เกษียณอายุเมื่อ 65 ปี ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 1 อีกทั้งการต่ออายุการทำงานให้พนักงานของจำเลยที่ 2 ไม่มีหลักเกณฑ์หรือระเบียบ แต่เป็นความพึงพอใจที่ไม่เกี่ยวกับอำนาจบริหารจัดการองค์กร จึงเป็นการเลือกปฏิบัติและกลั่นแกล้งโจทก์ เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวล้วนเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเกี่ยวกับเรื่องการบังคับใช้ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเรื่องการเกษียณอายุของพนักงานของจำเลยที่ 2 เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่จำเลยที่ 2 รับโอนโจทก์มาจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ย่อมต้องรับมาซึ่งสิทธิและหน้าที่ที่จำเลยที่ 1 มีต่อโจทก์ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 13 เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 13 ใช้กับกรณีมีการเปลี่ยนแปลงตัวนายจ้าง จึงมีผลให้นายจ้างใหม่ต้องรับสิทธิและหน้าที่อันเกี่ยวกับลูกจ้างที่มีอยู่กับนายจ้างเดิมทุกประการ แต่หากเป็นการโอนสิทธิความเป็นนายจ้างให้แก่นายจ้างใหม่นั้น กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 577 ซึ่งนายจ้างเดิมและนายจ้างใหม่จะทำได้เมื่อลูกจ้างยินยอม และเมื่อลูกจ้างยินยอม ลูกจ้างนั้นต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างใหม่ด้วยเช่นกัน ซึ่งการโอนโจทก์จากการทำงานกับจำเลยที่ 1 ไปทำงานกับจำเลยที่ 2 เป็นการโอนสิทธิความเป็นนายจ้างให้แก่นายจ้างใหม่ จึงเป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 577 แม้จะเป็นเหตุให้สิทธิในการเกษียณอายุของโจทก์ลดลงก็ตาม แต่เมื่อการโอนดังกล่าวโจทก์ยินยอม โจทก์จึงต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างใหม่ โจทก์ไม่อาจอ้างสิทธิเกษียณอายุเมื่ออายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างใหม่ได้ อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ว่า เงินเบี้ยเลี้ยงที่จำเลยที่ 2 จ่ายให้แก่โจทก์เป็นประจำทุกเดือน เดือนละ 50,000 บาท เป็นค่าจ้างที่จะต้องนำมาคำนวณเป็นค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้างโจทก์หรือไม่ โดยจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า เงินเบี้ยเลี้ยงดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยที่ 2 จ่ายให้เพื่อทดแทนเงินส่วนแบ่งการขายที่โจทก์ไม่ได้รับเนื่องจากการโอนย้ายงาน จึงเป็นเพียงเงินจูงใจมิใช่เงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานปกติจึงมิใช่ค่าจ้างนั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เงินเบี้ยเลี้ยงดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยที่ 2 จ่ายให้แก่โจทก์เพื่อทดแทนการที่โจทก์ขาดรายได้จากส่วนแบ่งการขายที่โจทก์เคยได้รับอยู่เดิม เมื่อโจทก์ย้ายจากฝ่ายขายไปอยู่ฝ่ายดูแลสินค้าจึงไม่มีสิทธิได้รับแต่จำเลยที่ 2 ยังคงจ่ายให้แก่โจทก์เป็นการตอบแทนที่โจทก์ทำงานให้แก่จำเลยที่ 2 ตกลงจ่ายเป็นรายเดือน เดือนละ 50,000 บาท เป็นประจำทุกเดือนพร้อมกับเงินเดือนจึงเป็นเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาทำงานปกติเป็นรายเดือน จึงเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 ที่จะต้องรวมเป็นฐานในการคำนวณอัตราค่าชดเชยที่จำเลยที่ 2 ต้องจ่ายให้แก่โจทก์เมื่อเลิกจ้างตามมาตรา 118 ด้วย และการที่จำเลยที่ 2 ไม่จ่ายเงินดังกล่าวแก่โจทก์นับแต่วันเลิกจ้าง จำเลยที่ 2 จึงต้องชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ดังนั้น ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยให้นำเงินเบี้ยเลี้ยงมารวมคำนวณเป็นค่าชดเชยที่จำเลยที่ 2 ต้องจ่ายให้แก่โจทก์ จึงยังมีส่วนที่ขาดอีก 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามจำนวนที่โจทก์ขอในท้ายคำฟ้อง จึงชอบแล้ว อุทธรณ์จำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.