คำพิพากษาฎีกา ที่ 13895 - / 2555
ค่าพาหนะเหมาจ่ายรายเดือน แต่ให้เฉพาะตำแหน่งหากมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหรือลักษณะงานที่ไม่ต้องใช้พาหนะ มีสิทธิ์ยกเลิกเงินได้ ถือเป็นเงินเพิ่มเป็นครั้งคราวตามลักษณะงาน ไม่ถือเป็นค่าจ้าง
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2532 จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่ง PERSONNEL OFFICE 2 สังกัดกองงานวินัยพนักงานฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล ได้รับเงินเดือนอัตราสุดท้ายเดือนละ 14,206 บาท และค่าพาหนะเหมาจ่ายรายเดือน เดือนละ 2,000 บาท รวมเงินเดือนที่ได้รับจากจำเลย 16,206 บาท เดือนพฤศจิกายน 2548 จำเลยจ่ายเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ 2547/2548 ให้พนักงานรวมถึงโจทก์ในอัตรา 2.25 เท่าของเงินเดือนค่าจ้างโดยไม่นำค่าพาหนะไปรวมคำนวณ ทำให้โจทก์ได้รับเงินจากจำเลยเพียง 31,964 บาท โจทก์เห็นว่าจำเลยกระทำผิดกฎหมายและฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยซึ่งถือว่าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์จึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากจำเลยอีก 4,500 บาท จำเลยยังกระทำผิดกฎหมายเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกล่าวคือ โจทก์ได้รับค่าพาหนะเหมาจ่ายจากจำเลยเดือนละ 2,000 บาท ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2547 ถึงปัจจุบัน แต่จำเลยมิได้นำค่าพาหนะรวมกับเงินเดือนเพื่อเป็นฐานการคำนวณเงินตามอัตราที่ตกลงกันทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ที่ควรได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเป็นการกระทำไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ ขัดต่อกฎหมายและความสงบเรียบร้อยของประชาชนเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยต้องรับผิดจ่ายค่าเสียหายจำนวน 100,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยมีคำสั่งให้ค่าพาหนะเป็นเงินเดือนค่าจ้างและให้จำเลยจ่ายเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ 2547/2548 โดยคิดคำนวณค่าพาหนะของโจทก์ที่ได้รับเป็นเงินเดือนค่าจ้าง เดือนละ 2,000 บาท รวมคำนวณไปในการจ่ายเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ 2547/2548 ในอัตรา 2.25 เท่าของเงินเดือนค่าจ้างที่ค้างชำระต่อโจทก์ และให้นำเงินค่าพาหนะสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามข้อตกลงกับจ่ายค่าจ้างค้าง จำนวน 4,500 บาท และค่าเสียหายจำนวน 100,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการธุรกิจการบินทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นเกินกว่าร้อยละห้าสิบ จึงเป็นรัฐวิสาหกิจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยวิธีการงบประมาณอยู่ภายใต้บังคับตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ จำเลยมีระเบียบบริษัทว่าด้วยการบริหารงานบุคคล จำเลยได้จ่ายเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ 2547/2548 ให้แก่โจทก์ถูกต้องครบถ้วนแล้ว ขณะโจทก์ได้รับเงินรางวัลประจำปี งบประมาณ 2547/2548 โจทก์มีตำแหน่ง PERSONNEL OFFICERS ได้รับเงินเดือนๆละ 14,206 บาท เงินช่วยเหลือค่าพาหนะ เดือนละ 2,000 บาท จำเลยมีหลักเกณฑ์ในการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าพาหนะให้แก่เฉพาะพนักงานที่มีหน้าที่ต้องไปปฏิบัติงานนอกสถานที่เป็นประจำตามลักษณะงานที่ได้มอบหมาย ในอดีตจำเลยให้พนักงานที่ต้องไปปฏิบัติงานนอกสถานที่เป็นรายครั้งรายเที่ยวโดยพนักงานที่ออกไปปฏิบัติงานนอกสถานที่ต้องกลับมาทำเรื่องเบิกจำเลยจึงจะเบิกจ่ายให้ ต่อมาจำเลยเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือค่าพาหนะโดยจ่ายให้พนักงานที่มีหน้าที่ต้องไปปฏิบัตินอกสถานที่และมีสิทธิเบิกค่าพาหนะเป็นการเหมาจ่ายรายเดือน เนื่องจากเป็นรายจ่ายปลีกย่อยไม่สะดวกที่จะจ่ายตามความเป็นจริงเหมือนในอดีต และการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าพาหนะเป็นการจ่ายเพื่อช่วยเหลือพนักงานที่มีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติงานนอกสถานที่อันเป็นการแบ่งเบาภาระของพนักงาน เงินช่วยเหลือค่าพาหนะดังกล่าวจึงเป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานหาใช่เป็นเงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานและไม่ถือว่าเป็นค่าจ้างโจทก์ได้รับเงินเดือนอัตราสุดท้ายเดือนละ 14,206 บาท จำเลยจ่ายเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ 2547/2548 ในอัตรา 2.25 เท่าของเงินเดือนเป็นเงิน 31,964 บาท การคำนวณเงินนำส่งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานจำเลยนั้นจำเลยจะนำส่งอัตราร้อยละ 9 ของเงินเดือนค่าจ้างที่โจทก์ได้รับ จำเลยไม่ได้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างอันเป็นการกระทำไม่เป็นธรรมหรือกระทำการขัดต่อกฎหมายและความสงบเรียบร้อยของประชาชนและไม่ได้กระทำการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายตามฟ้องจำนวน 100,000 บาท หากจำเลยต้องรับผิดค่าเสียหายแก่โจทก์แล้วฟ้องโจทก์ก็ขาดอายุความเกิน 1 ปี เนื่องจากโจทก์ได้รับเงินช่วยเหลือค่าพาหนะเหมาจ่ายตั้งแต่เดือนตุลาคม 2547 เป็นต้นมา โจทก์ทราบดีแล้วว่าจำเลยไม่ได้นำเงินช่วยค่าพาหนะมารวมกับเงินเดือนโจทก์เพื่อเป็นฐานในการคำนวณเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแต่อย่างใด โจทก์ทราบเรื่องดังกล่าวตั้งแต่เดือนตุลาคม 2547 แล้ว แต่นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2548 จึงเกินกำหนด 1 ปี ฟ้องโจทก์ส่วนนี้จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า เงินช่วยเหลือค่าพาหนะที่จำเลยจ่ายให้โจทก์ เดือนละ 2,000 บาท เป็นค่าจ้างหรือไม่ เห็นว่า เดิมจำเลยจ่ายค่าพาหนะให้โจทก์เมื่อไปปฏิบัติงานนอกสถานที่เป็นรายครั้งตามค่าใช้จ่ายที่โจทก์เบิกจ่าย ต่อมาจำเลยเปลี่ยนแปลงโดยให้โจทก์รับค่าพาหนะเป็นการเหมาจ่ายรายเดือน เดือนละ 2,000 บาท ตามคำสั่งที่ 12/2527 เอกสารหมาย ล.10 คำสั่งนี้ระบุว่า การอนุมัติค่าพาหนะให้แก่โจทก์ให้ถือว่าเป็นการให้เฉพาะตำแหน่งที่ดำรงอยู่ในขณะนั้นเท่านั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งและลักษณะงานที่ไม่จำเป็นจะต้องได้รับค่าพาหนะ จำเลยมีสิทธิยกเลิกเงินได้ค่าพาหนะนั้น แปลความได้ว่าจำเลยตกลงให้ค่าพาหนะแก่โจทก์ ต่อเมื่อโจทก์มีตำแหน่งและลักษณะงานที่ต้องเดินทางมิได้ให้ค่าพาหนะเป็นการถาวรตลอดไปมีการเปลี่ยนแปลงได้ กรณีจึงเป็นการที่นายจ้างให้เงินเพิ่มแก่ลูกจ้างเป็นครั้งคราวตามลักษณะการทำงาน มิได้ให้เพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรง ไม่ถือเป็นค่าจ้างตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและข้อตกลงการจ่ายเงินรางวัลประจำปี จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ 2547/2548 และไม่ต้องส่งเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้แก่โจทก์ โดยนำค่าพาหนะดังกล่าวไปรวมเป็นเงินเดือนตามที่โจทก์อุทธรณ์แต่อย่างใด ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.