คำพิพากษาฎีกา ที่ 13824 - / 2555
ตกลงรับสภาพหนี้ ชดใช้ค่าเสียหายแก่นายจ้าง นายจ้างสามารถหักชำระค่าเสียหายจากเงินประกันได้ และไม่มีข้อความว่าเมื่อตกลงชำระหนี้แล้วจะไม่เลิกจ้างภายหลัง นายจ้างจึงสามารถเลิกจ้างได้
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2544 จำเลยจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งสุดท้ายผู้จัดการสถานีบริการน้ำมัน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 17,635 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 1 และ 15 ของเดือน ต่อมาวันที่ 20 กันยายน 2550 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรง เนื่องจากเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 โจทก์ตรวจพบว่าในกะดึกของวันที่ 8 กันยายน 2550 ซึ่งมิได้อยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์ มีเงินหายไป 167,000 บาท จึงแจ้งให้ผู้จัดการเขตทราบ ต่อมาผู้จัดการเขตหลอกให้โจทก์ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับจำเลยเพื่อแลกกับการที่จะได้ทำงานต่อ แต่จำเลยกลับเลิกจ้างโจทก์ โจทก์เห็นว่ากรณีดังกล่าวถ้าถือว่าเป็นความผิดของโจทก์ก็เป็นความผิดไม่ร้ายแรงเพราะเงินที่หายไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์และในทางปฏิบัติไม่ได้ถือเคร่งครัดตามระเบียบหรือคำสั่งของจำเลยมีการปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อให้เหมาะสมแก่สภาพของงานโดยโจทก์ได้ปฏิบัติตามนั้นโจทก์ทำงานมาครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน เป็นเงิน 105,810 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 105,810 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยประกอบธุรกิจขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงและร้านสะดวกซื้อภายในสถานีบริการน้ำมัน จำเลยทำสัญญาว่าจ้างจำเลยร่วมจัดหาพนักงานมาทำงานในสถานประกอบการดังกล่าว ทั้งต้องรับผิดชอบต่อการสูญหายและเสียหายแก่สินค้าและทรัพย์สินของจำเลย ตลอดจนกรณีที่จำเลยต้องรับผิดเพราะเกิดจากการกระทำของพนักงานของจำเลยร่วม โจทก์ทำสัญญาจ้าง รับค่าจ้าง สวัสดิการต่างๆ กับจำเลยร่วมโดยตรง โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยร่วม ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย เมื่อโจทก์ทำงานโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจำเลยร่วมซึ่งเป็นนายจ้างเป็นผู้บอกเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งเรียกให้จำเลยร่วมเข้ามาในคดี
จำเลยร่วมให้การว่า โจทก์ปฏิบัติฝ่าฝืนระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานประกาศ ขั้นตอนและนโยบายการทำงานของสถานีบริการน้ำมันว่าด้วยการป้องกันการสูญเสียเรื่องการใช้ตู้เซฟในการดรอปเงินที่ได้จากการขายน้ำมันและร้านสะดวกซื้อที่กำหนดให้ปฏิบัติว่าถ้ามีเงินที่ได้จากการขายครบทุก 5,000 บาท สำหรับกะกลางวัน และทุก 1,000 บาท สำหรับกะกลางคืน จะต้องนำใส่ซองดรอปแล้วหย่อนลงในตู้เซฟที่อยู่ในห้องผู้จัดการ ห้ามใช้ลิ้นชักโต๊ะทำงานและตู้เอกสารเป็นที่เก็บเงิน แต่โจทก์กลับเก็บรวบรวมเงินที่ได้จากการขายไว้ที่ตัว โดยเก็บใส่ถุงรวมไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานผู้จัดการ เมื่อหมดกะทำงานของตนจึงนำไปใส่ในตู้เซฟ และโจทก์ในฐานะผู้จัดการสถานีปล่อยปละละเลยและให้ผู้ใต้บังคับบัญชาในกะอื่นปฏิบัติฝ่าฝืนข้อบังคับในทำนองเดียวกันไม่รายงานต่อผู้บังคับบัญชา ปรากฏว่าในวันที่ 10 กันยายน 2550 ซึ่งไม่ใช่กะที่โจทก์รับผิดชอบ เงินที่ได้จากการขายน้ำมันและร้านสะดวกซื้อรวม 167,000 บาท สูญหายโจทก์กับพนักงานอื่นยอมทำหนังสือรับสภาพหนี้ โดยโจทก์ยอมชดใช้เงิน 98,969 บาท (ที่ถูก 98,989 บาท) แต่ในที่สุดโจทก์ไม่ชำระ จึงเป็นความผิดกรณีร้ายแรง จำเลยร่วมมีสิทธิบอกเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วม ร่วมกันคืนเงินประกัน 25,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 กันยายน 2550 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่น
ให้ยก
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า การที่โจทก์กับพวกตกลงกันให้เก็บเงินไว้ในลิ้นชักก่อน เมื่อเปลี่ยนกะจึงรวบรวมไปดรอปลงในตู้นิรภัย แต่จะลงบันทึกรายการที่รายงานต่อจำเลยร่วมว่า มีการตรวจนับเงินตามช่วงเวลาและจำนวนเงินที่กำหนด ถือได้ว่าเป็นการจงใจฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเพื่อความปลอดภัยในการเก็บรักษาเงิน และรายงานเท็จต่อนายจ้าง อันเป็นกรณีร้ายแรง ทั้งยังถือได้ว่าโจทก์กับพวกปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาท อาจทำให้นายจ้างต้องเสียหายอย่างร้ายแรงได้ จำเลยร่วมจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย แต่การที่โจทก์กับพวกตกลงแบ่งความรับผิดชอบกันเองในกรณีมีเงินหายก็โดยเจตนาจะบรรเทาความเสียหายของนายจ้าง เพื่อพวกตนจะได้ไม่ต้องออกจากงาน เมื่อจำเลยร่วมมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งที่ทราบว่าเงินสูญหายในระหว่างอยู่ในความรับผิดชอบของคนอื่น โจทก์ไม่จำต้องรับผิดเพราะไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ กรณีถือได้ว่าการแสดงเจตนาร่วมรับผิดกับพวกของโจทก์เป็นไปโดยมีเงื่อนไขว่าฝ่ายจำเลยร่วมจะไม่เลิกจ้าง เมื่อจำเลยร่วมเลิกจ้างโจทก์เท่ากับไม่ยอมรับเงื่อนไขนี้ การแสดงเจตนาของโจทก์จึงเป็นอันตกไป ข้อตกลงยอมรับผิดตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับตามข้อตกลงฝ่ายจำเลยจึงไม่อาจอาศัยสิทธิตามข้อตกลงดังกล่าวในการหักเงินประกัน 25,000 บาท ของโจทก์ใช้หนี้ตามข้อตกลงได้ และต้องถือว่าเป็นลาภมิควรได้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงเห็นสมควรให้จำเลยและจำเลยร่วมคืนเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีแก่โจทก์
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยและจำเลยร่วมต้องคืนเงินประกันการทำงานให้โจทก์หรือไม่ จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์ว่า เมื่อข้อเท็จจริงยุติว่าโจทก์ปฏิบัติงานฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงานของจำเลยร่วม และโจทก์ได้ทำข้อตกลงยอมชดใช้หนี้แก่จำเลยร่วมไม่ว่าข้อตกลงดังกล่าวจะตกเป็นโมฆะหรือไม่ จำเลยร่วมก็มีสิทธิหักเงินประกันการทำงานของโจทก์ เพราะจำเลยร่วมมิได้อ้างสิทธิตามบันทึกข้อตกลงยอมรับผิดของโจทก์แต่ใช้สิทธิตามกฎหมาย และเป็นไปตามเจตนาที่โจทก์ได้แสดงไว้เมื่อตนเข้าทำงานและวางเงินประกันกรณีที่ทำให้จำเลยร่วมเสียหาย เห็นว่า การที่โจทก์ทำหนังสือรับสภาพหนี้ ลงวันที่ 14 กันยายน 2550 ตามเอกสารท้ายคำให้การจำเลยร่วมหมายเลข 4 เป็นการที่โจทก์ยอมรับว่ามีหนี้สินที่จะต้องชดใช้ให้จำเลยร่วม 98,989 บาท จากสาเหตุเงินสูญหาย หนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวมีมูลหนี้โดยชอบด้วยกฎหมายและโจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือด้วยความสมัครใจ ทำให้ผลบังคับกันได้ โจทก์จึงต้องชำระหนี้ให้จำเลยร่วม แต่เนื่องจากมีเงินประกันการทำงานที่โจทก์มอบให้จำเลยร่วมไว้ ดังนั้น จำเลยร่วมจึงมีสิทธินำเงินประกันการทำงาน 25,000 บาท มาหักชำระหนี้ได้ หนังสือรับสภาพหนี้ไม่มีข้อความตอนใดระบุเป็นเงื่อนไขว่า เมื่อโจทก์ยอมรับใช้หนี้แล้วจำเลยร่วมจะไม่เลิกจ้างโจทก์ ดังนั้น ต่อมาจำเลยร่วมเลิกจ้างโจทก์ก็ไม่ทำให้สัญญาดังกล่าวตกเป็นโมฆะดังที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัย ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมคืนเงินประกันการทำงานให้โจทก์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์จำเลยและจำเลยร่วมฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยและจำเลยร่วมไม่ต้องคืนเงินประกัน 25,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีให้โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ศาลแรงงานกลาง.