ปิดเทอมใหญ่ อย่างลืมระวังภัยให้เด็ก ๆ
ในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมของทุกปี ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของเด็กเลยทีเดียว เพราะพวกเขาจะได้หยุดเรียน ทำกิจกรรมต่างๆ อยู่ที่บ้าน เพราะนั่นเป็นเวลาปิดภาคเรียนหรือปิดเทอมแต่ในทางกลับกัน คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองไม่ได้มีการหยุดงานเหมือนปิดเทอม ส่งผลให้ไม่มีใครดูแลเมื่อพวกเขาอยู่บ้าน ซึ่งนั่นส่งผลให้ความสุขของเด็กกลายเป็นความวิตกกังวลของผู้ใหญ่ เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับลูกหลานในครอบครัว
รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างความปลอดภัย และป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี บอกกับเราว่าในช่วงปิดเทอมนี้ถือว่าเป็นช่วงอันตรายของเด็กอย่างมาก เพราะที่ผ่านมาพบว่า ในแต่ละปี มีเด็กเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เป็นสาเหตุนำการตายของเด็ก สูงถึง 3,300คน หากดูในแต่ละเดือน ช่วงเดือนเมษายนจะมีอัตราการตายสูงที่สุด รองลงมาเดือนมีนาคมและพฤษภาคม ตามมาด้วยเดือนตุลาคม จะเห็นว่าช่วงที่มีการเสียชีวิตของเด็กสูงๆ จะเป็นช่วงปิดเทอมทั้งนั้น ซึ่งจากที่พบก็มีทั้งเด็กในวัยเรียน เด็กอายุต่ำกว่า 15ปี นอกจากนี้ยังพบการเสียชีวิตของเด็กที่มีอายุต่ำว่า 6ปี ในช่วงปิดเทอมของเด็กโตอีกด้วย
“ส่วนสาเหตุที่ทำให้เด็กเสียชีวิตนั้นก็เหมือนกับสาเหตุการตายของเด็กตลอดทั้งปี นั่นคือ การจมน้ำสูงถึง 1,400 ราย/ปี หรือประมาณเดือนละ 120 คน เดือนเมษายนเสียชีวิต 190 คน เห็นได้ว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 70 คน ในเดือนมีนาคมและพฤษภาคม 150-160 คน/เดือน ก็ยังคงมากกว่าค่าเฉลี่ยดูดี” หมออดิศักดิ์
หมออดิศักดิ์บอกต่อว่า ในช่วงปิดเทอมอากาศร้อน หลายคนอาจคิดว่าเด็กอาจไปเล่นน้ำมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในช่วงปิดเทอมเด็กส่วนใหญ่ ต้องอยู่บ้าน และที่สำคัญไม่มีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด บางคนอาจมองว่าอยู่บ้านดีกว่าอยู่ที่โรงเรียน เพราะโรงเรียนก็มีจุดเสี่ยงต่างๆมากมาย แต่ในโรงเรียนมีคน มีครู อาจารย์ มีระเบียบ มีข้อจำกัดพื้นที่ ทำให้ความเสี่ยงลดน้อยลงกว่า หากเปรียบกับการอยู่บ้าน เรื่องของข้อจำกัดพื้นที่ คน การเล่น การเฝ้าดู ปรากฏว่าการอยู่บ้านเสี่ยงกว่าอยู่ที่โรงเรียน เพราะเด็กอาจเล่นนอกบ้าน
“สาเหตุการจมน้ำของเด็กนั้น มีทั้งจากการเล่นน้ำและไม่ได้เล่นน้ำ คือการไปเล่นใกล้ๆ แหล่งน้ำ ของตกลงน้ำแล้วลงไปเก็บ การเอาเท้าลงไปแช่น้ำเล่นและพลัดตก การไปเล่นบริเวณที่สะพาน ทั้งหมดนี้มาจากการขาดการดูแลจากผู้ใหญ่ รวมทั้งการขาดพื้นที่ที่เหมาะแก่การเล่นของเด็กทั้งสิ้น ยิ่งในช่วงปิดเทอมเรารู้อยู่แล้วว่าเด็กต้องอยู่บ้านและออกไปเล่นนอกบ้าน แต่ยังไม่มีการจัดการพื้นที่เล่นที่ดีให้เหมาะกับเด็กในชุมชนอยู่ดี”หมออดิศักดิ์กล่าว
นอกจากการจมน้ำแล้วนั้น อันตรายอันดับต่อมาเห็นทีจะเป็นเรื่องของ อุบัติเหตุทางจราจร ซึ่ง หมออดิศักดิ์ บอกอีกว่า อุบัติเหตุทางจราจรนั้น เกิดได้ทั้งจากการเดินทางกันเองของเด็กและเดินทางไปกับผู้ใหญ่ มักจะพบไม่ไกลจากชุมชนหรือละแวกบ้านมากนัก จากข้อมูลเฉลี่ยเด็กเสียชีวิตจากการจราจรกว่าปีละ 70 คน แต่ในช่วงปิดเทอมเดือนเมษายนพบสูงถึง 100 กว่าคน เดือนมีนาคมและพฤษภาคมถึง 70-90 คน ก็ถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติ และในจำนวนนั้น 70 % เป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากการขับขี่รถจักรยานยนต์
“นอกจากการจมน้ำ และอุบัติเหตุแล้ว สิ่งที่พ่อแม่ ผู้ปกครองควรระมัดระวังก็คือ ออกไปเล่นนอกบ้าน และพลัดตกจากที่สูง เรื่องของไฟฟ้าต่างๆ สัตว์ทั้งมีพิษและไม่มีพิษกัด ต่อย เครื่องเล่นล้มทับ แต่ทั้งหมดนี่ส่วนใหญ่ยังไม่มีการเสียชีวิตแต่อย่างไร แต่ก็เป็นเรื่องที่ควรระวังอย่างมากเช่นกัน”หมออดิศักดิ์กล่าว
คงไม่มีใครอยากให้เรื่องร้ายๆเกิดขึ้นกับคนที่คุณรักโดยเฉพาะลูกหลาน ซึ่งหมออดิศักดิ์ได้แนะแนวทางป้องกันว่าในช่วงปิดเทอม ทุกคนต้องเรียนรู้ว่าธรรมชาติของเด็กต้องเล่น พ่อแม่ ต้องจัดการให้บ้านมีพื้นที่เหมาะที่เด็กจะให้เด็กเล่น แนะนำให้เด็กรู้จักจุดเสี่ยงต่างๆ ในบ้าน ส่วนไหนแก้ไขได้ก็รีบดำเนินการแก้ เช่น ล้อมบ่อน้ำหรืออื่นๆ ที่เสี่ยงต่อการตกลงไปจมน้ำ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ก็ควรเก็บให้พ้นมือเด็ก และที่สำคัญควรพาเด็กเดินสำรวจในบ้าน ถึงจุดเสี่ยง เพราะเด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไปจะสามารถวิเคราะห์เหตุผล รู้จักว่าจุดเสี่ยง รวมถึงให้ร่วมกันวิเคราะห์ ตรงไหนเล่นไม่ได้ ให้เด็กคิดวิเคราะห์เองก่อน ไม่ใช่สั่งพียงอย่างเดียว เพื่อเขาจะได้จำได้มากขึ้น
“นอกจากนี้แล้ว ชุมชนเองก็ต้องร่วมมือกับพ่อแม่ เพราะเราไม่ได้ขังเด็กไว้ในบ้าน เด็กก็จะออกไปเที่ยวเล่นในชุมชน เราต้องช่วยทำให้เกิดพื้นที่เล่นที่ปลอดภัยในชุมชน ถ้ามีสนามเด็กเล่นในชุมชนก็ต้องช่วยกันซ่อมบำรุงฐานรากที่มันทรุดโทรม ถ้ามีแหล่งน้ำก็ล้อมรั้ว ติดป้ายเตือน สนามกีฬาต่างๆ แป้นบาสเกตบอลชำรุด เสาประตูฟุตบอลก็ต้องหมั่นดูและซ่อมบำรุง รับปิดเทอม เพราะเด็กต้องมีพื้นที่เล่น แต่ทั้งหมดนี้ก็ใช่ว่าจะจัดการปัญหาได้ทั้งหมด แต่มันเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรกและทำได้ง่าย”หมออดิศักดิ์กล่าว
หมออดิศักดิ์บอกทิ้งท้ายไว้ว่าปัญหาเรื่องอันตรายตอนปิดเทอมจะค่อยๆ ลดลงได้ สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่เราควรมี คือ ผู้ดูแลเด็ก ทางที่ดีเราควรจัดให้มีชมรมหรือสมาคมเล็กๆ ในชุมชน ที่มีหน้าที่สอดส่องดูแลเด็กในช่วงปิดเทอม เช่น รับอาสาสมัคร พี่เลี้ยงเด็ก เด็กวัยรุ่นที่ต้องการหารายได้พิเศษ มาเป็นพี่เลี้ยงในชุมชนช่วงปิดเทอม ทำกิจกรรมร่วมกันเวลาเด็กจะออกไปเล่นกันเอง ก็นัดมาเจอกันที่ชมรมที่จัดพื้นที่ไว้แล้วค่อยไปเล่นกันพร้อมพี่เลี้ยง เป็นการเพิ่มเติมให้การเล่นสนุกมากขึ้น ขณะเดียวกันก็สามารถมีคนชี้แนะเลือกการเล่นที่ปลอดภัยให้แก่เด็กได้อีกด้วย ทั้งหมดนี้มีความจำเป็น ซึ่งเราต้องช่วยกันรณรงค์ให้มันเกิดขึ้นจริงในทุกๆ พื้นที่เพื่อลดปัญหาเด็กเสียชีวิตในแต่ละปี
ภัยร้ายในช่วงปิดเทอม อาจยังไม่หมดแค่นี้เพราะยังมีทั้ง เรื่องของเด็กหาย เด็กติดเกม ยาเสพติด เด็กอ้วน อีกมากมายที่จะมารุมเร้าอนาคตของชาติ สิ่งเดียวที่จะช่วยได้ คือครอบครัว ต้องดูแลเอาใจใส่ให้มากขึ้น รวมถึงชุมชนเองก็ต้องช่วยกันสอดส่องดูแล ก่อนที่จะสายเกินไปนะคะ
เตือนภัย!! โรคจิตหอมแก้มผู้หญิงในรถตู้
ภัยสังคมอยู่รอบตัวเรา โดยเฉพาะผู้หญิงที่โรคจิตมักจ้องกระทำอนาจารอยู่โดยที่ไม่รู้ตัว อย่างกรณีล่าสุดที่มีการเผยแพร่คลิป โรคจิตหอมแก้มผู้หญิงในรถตู้ โดยผู้ที่บันทึกคลิปสามารถสังเกตเห็นพฤติกรรม ก่อนจะบันทึกภาพเหตุการณ์ได้ทั้งหมด
โดยโรคจิตที่หอมผู้หญิงในรถตู้มีท่าทีกำลังมองว่ามีใครสังเกต หรือมองเห็นอยู่หรือไม่ เมื่อได้จังหวะจึงทำทีเป็นนอนหลับ ก่อนจะหอมแก้มหญิงสาวที่นั่งหลับสนิทอยู่ด้านข้าง
ทั้งนี้ ผู้บันทึกคลิปโรคจิตหอมแก้มหญิงสาวบนรถตู้ระบุว่า
"ขอเตือนภัยผู้หญิงหลายๆ คนที่กำลังนั่งรถตู้ เหตุเกิด ณ บนรถตู้ครับซึ่งมีอยู่ว่า ผมได้ขึ้นรถตู้จากมหาชัยเพื่อมาลงรังสิตได้มีพวกโรคจิต เป็นชายคนหนึ่งซึ่งมองหาสาวและเข้าไปนั่งใกล้พอสาวหลับ ไอ้โรคจิตคนนี้มันจะแกล้งหลับและแอบหอมแก้มท่าน ผมสังเกตพฤติกรรมแล้ว 2 คนนี้ไม่ใช่แฟนกันนะครับ กรุณามองให้ดีจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่โรคจิตนั้น มองดูคนอื่นว่ามองดูตัวเองอยู่ไหมก่อนจะจัดการเหยื่อ ผมไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้ เพราะผมไม่แน่ใจว่า เขามีอาวุธหรือไม่ เพราะผู้หญิงบนรถตู้โดนมาแล้ว 2 คนครับ ผมจึงฝากเตือนอีก ใครหลายๆคนที่อาจจะเป็นเหยื่อของพวกโรคจิต"
เตือนภัย ยานอนหลับชนิดใหม่ อันตรายอาจถึงชีวิต
กรมวิทย์ร่วมกับ อย. แถลงข่าว เฝ้าระวังยานอนหลับชนิดใหม่อันตรายอาจถึงเสียชีวิต
นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย น.พ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย อธิบดีกรมวิยาศาสตร์การแพทย์ น.พ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมแถลงข่าวเฝ้าระวังยานอนหลับชนิดใหม่ออกฤทธิ์ได้นานกว่า 60 ชั่วโมง ทำให้เกิดอาการง่วงซึม มึนงง และอาจทำให้เสียชีวิตได้ ณ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เมื่อเร็วๆนี้
การป้องกันเหตุลักทรัพย์ในที่พักอาศัย
ข่าวคราวขโมยขึ้นบ้านลักทรัพย์มีทุกวัน ท่านควรจะดูแลที่พักอาศัยให้อยู่ในสภาพมิดชิด ไม่เป็นสิ่งล่อใจให้คนร้ายกระทำการในบ้านท่านได้ คือ
ตัวบ้านการป้องกันภัยที่ดีควรเริ่มจากการมีบ้านที่ปลอดภัย หมั่นตรวจตราอุปกรณ์ของบ้าน อย่างเคร่งครัดไม่ปล่อยปละละเลยจนคนร้ายสามารถงัดแงะเข้ามาได้ง่าย
รั้วบ้านควรทำให้สูงและแข็งแรง สำหรับบ้านสองชั้นที่ต่อเนื่องกับครัวควรทำประตูให้แน่นหนา กลอนประตูควรเลือกชนิดที่มั่นคงแข็งแรง หน้าต่าง ประตูทุกบานควรติดลูกกรงเหล็ก ติดตั้งสวิตช์ไฟทุกชนิดไว้หน้าบ้าน ควรเลี้ยงสุนัขไว้ ส่งเสียงดังช่วยเตือนภัย หรือติดตั้งสัญญาณไซเรน ที่ว่างเปล่าที่ติดกับบ้าน ไม่ควรปล่อยให้มี ต้นไม้ขึ้นสูงเพราะคนร้ายอาจใช้กำบังตัว
อยู่บ้านอย่างไรให้อุ่นใจ
1. ก่อนเปิดประตูบ้านรับใคร ควรดูให้แน่ใจเสียก่อนว่ามีคนแปลกหน้าหรือไม่
2. เมื่อมีคนโทรศัพท์มาถามว่ามีใครอยู่บ้านหรือไม่ อาจเป็นการหาโอกาสของคนร้าย ให้ตอบว่า อยู่กันหลายคน
3.ควรอธิบายแก่คนใช้หรือผู้อื่นให้ทราบถึงกลอุบายต่างๆของคนร้ายเพื่อเป็นการป้องกันอย่าให้ หลงเชื่อคนร้าย
4. ก่อนออกจากบ้านควรปิดประตู หน้าต่าง ใส่กุญแจให้เรียบร้อย
5. หยุดบอกรับหนังสือพิมพ์ขณะไม่อยู่
6. กลางคืน ควรรูดม่านปิดไม่ให้คนภายนอกมองเห็นด้านใน
7.ให้ความร่วมมือกับเพื่อนบ้านในการสอดส่องดูแลชุมชน จัดเวรยามหมู่บ้าน คอยดูแลเหตุร้าย
การป้องกันการถูกล่อลวงสำหรับสุภาพสตรี
จากสภาพสังคมและเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน มิจฉาชีพเริ่มแฝงมาในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะภัยของผู้หญิงและเด็กนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น เป้าหมายส่วนใหญ่เป็นหญิงสาว โดยแก๊งมิจฉาชีพเหล่านี้จะใช้เด็กเล็กเป็นตัวล่อ ลวงหญิงที่เดินทางเพียงลำพัง ด้วยวิธีการให้เด็กร่วมแก๊งทำทีเป็นร้องไห้หลงทาง และขอให้เหยื่อพาไปส่งบ้านตามหมู่บ้านต่าง ๆ หากเหยื่อรายใดหลงเชื่อ นำเด็กไปส่งตามแผนการของแก๊งมิจฉาชีพเหล่านี้ ซึ่งมักจะอยู่ไม่เป็นที่ มีการเปลี่ยนแหล่งกบดานไปทั่ว เมื่อเหยื่อกดกริ่งหน้าบ้านหรือจับประตูลูกบิดที่แก๊งคนร้ายได้ต่อกระแสไฟไว้ จะทำให้ถูกไฟช๊อตหรือดูดจนสลบหมดสติ จากนั้นกลุ่มแก๊งชั่วจะลงมือสร้างตราบาปด้วยการข่มขืน ถ่ายวิดีโอ รวมทั้งลักทรัพย์ และจะนำเหยื่อไปทิ้งไว้ตามสถานที่เปลี่ยว ยากที่เหยื่อจะจดจำสถานที่เกิดเหตุ บางรายก็อายเกินกว่าที่จะไปแจ้งความเอาผิดกับคนร้าย
วิธีป้องกันการถูกข่มขืน
1.ไม่ควรเดินทางคนเดียวโดยลำพังตามตรอกซอกซอยที่เปลี่ยวมืด หากจำเป็น ควรมีเพื่อนร่วมทาง หรือไปเป็นกลุ่ม
2. คนไม่น่าไว้วางใจ อย่าให้เข้าบ้าน
3. ถ้าต้องไปในที่เปลี่ยว อย่าใจลอย มีสติกับเหตุการณ์ตรงหน้า และเดินอย่างมาดมั่น เพื่อไม่ให้ ตกเป็นเป้าได้ง่าย
4. ถ้ารู้สึกมีอะไรไม่ชอบมาพากล ให้เชื่อในสัญชาตญาณตัวเอง และรีบเดินให้ทันคนข้างหน้า หรือ เปลี่ยนเส้นทางเดินไปเลย
5. พกสิ่งของถ่วงเวลา เช่น สเปรย์พริกไทย หรือถ้าจะพกอาวุธ เช่น คัตเตอร์ มีด กรรไกร ต้องมั่นใจว่า มันจะไม่กลายเป็นอาวุธของคนร้ายในที่สุด
6. เมื่อมีความจำเป็นต้องออกนอกบ้านในตอนกลางคืน ควรบอกให้ทางบ้านทราบว่าจะไปที่ไหน จะไป พบใคร อย่างไร และกลับเมื่อไหร่ ที่สำคัญควรพกบัตรประจำตัวประชาชนทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน
7. อย่าแต่งตัวโป๊ หรือโชว์สัดส่วนมากเกินไป วิธีนี้อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่อย่างน้อยก็ช่วยลดความเสี่ยง เกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับ คุณผู้หญิงได้ไม่มากก็น้อย เพราะอย่างที่เรากล่าวไว้ข้างต้น ภัยใกล้ตัว “คุณผู้หญิง ใกล้กว่าที่คุณคิด”.