นวัตกรรมTIBเพื่อขยายพันธุ์พืชเชิงการค้า
ปัจจุบันเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมีความก้าวหน้ามากในการขยายพันธุ์พืชในเชิงการค้า ซึ่งเดิมมีทั้งเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในอาหารแข็งและอาหารเหลว โดยทั้งสองระบบต้องเปลี่ยนถ่ายอาหารบ่อยประมาณ 10 วัน/ครั้ง ทำให้สิ้นเปลืองแรงงานและมีต้นทุนในการผลิตสูง การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแบบ TIB (Temporary Immersion Bioreactor) ซึ่งพัฒนามาจากเครื่อง Bioreactor สำหรับเพาะเลี้ยงเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ เป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถช่วยเพิ่มปริมาณส่วนขยายพันธุ์พืชได้อย่างรวดเร็วและลดต้นทุนเพื่อการค้าได้
นางชยานิจ ดิษฐบรรจง นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ สำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ทางสำนักวิจัยฯ ได้พัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแบบ TIB เพื่อศึกษาปัจจัยที่เหมาะสมในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช อาทิ สับปะรด อ้อยและกล้วยไม้ พร้อมพัฒนาระบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในปริมาณมาก และเป็นแนวทางขยายพันธุ์เพื่อการค้าสำหรับผู้ประกอบการในอนาคต ซึ่งระบบดังกล่าวมีข้อดีคือ สามารถเพิ่มปริมาณส่วนขยายพันธุ์พืชในสภาพปลอดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว และมากกว่าการเพาะเลี้ยงด้วยอาหารแข็งและอาหารเหลว 10-20 เท่า
ระบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแบบ TIB ประกอบด้วย ขวดใส่ชิ้นส่วนพืช ขวดใส่อาหาร ซึ่งจะใช้อาหารเหลวเท่านั้น โดยทั้งสองขวดจะเชื่อมต่อกันด้วยสายยางซิลิโคน ให้ขวดที่ใส่อาหารเหลวอยู่ในระดับต่ำกว่าขวดที่ใส่ชิ้นส่วนพืช และมีท่อพร้อมกรองอากาศชนิดละเอียดเชื่อมต่อไปยังปั๊มลม เพื่อปล่อยลมให้ดันอาหารเหลวจากขวดอาหารขึ้นไปหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนพืช ตามจำนวนครั้งและเวลาที่กำหนด เมื่อปิดปั๊มลม อาหารเหลวที่อยู่ในขวดชิ้นส่วนพืชจะไหลกลับลงมาใส่ขวดใส่อาหารตามแรงโน้มถ่วงของโลก โดยอาหารเหลวจะเคลือบอยู่ที่ผิวของชิ้นส่วนพืช และถูกนำไปใช้เพื่อการเจริญเติบโต ซึ่งชิ้นส่วนพืชจะไม่แช่อยู่ในอาหารตลอดเวลาจึงไม่เกิดอาการฉ่ำน้ำ
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแบบ TIB ต้องเป็นห้องระบบปิดที่มีการป้องกันปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์จากภายนอกได้ ซึ่งปริมาตรของขวดที่ใช้บรรจุชิ้นส่วนพืช รวมถึงระยะเวลาการให้อาหารเหลวสัมผัสชิ้นส่วนพืช และจำนวนครั้งหรือความถี่ในการให้อาหาร จะมีผลต่อประสิทธิภาพการเพิ่มปริมาณต้นพืช โดยต้นอ่อนที่ได้จากการเลี้ยงในระบบนี้จะมีความแข็งแรงสูง จะส่งผลให้อัตราการเลี้ยงรอดในโรงเรือนสูง
นางชยานิจกล่าวว่า ปัจจุบันสำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพได้คิดค้นสูตรอาหารและสภาวะที่เหมาะสมในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสับปะรดปลอดโรคด้วยระบบ TIB โดยจำนวนครั้งของการให้อาหารชิ้นส่วนสับปะรด 8 ครั้ง/วัน หรือทุก 3 ชั่วโมง นานครั้งละ 2-3 นาที พบว่าได้ผลดี สามารถขยายพันธุ์สับปะรดได้ปริมาณมาก เจริญเติบโตเร็วและต้นอ่อนแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีอาการฉ่ำน้ำ ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างวิจัยและคิดค้นสูตรอาหารที่เหมาะสมสำหรับการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออ้อยปลอดโรคในระบบ TIB เพื่อเป็นแนวทางขยายและเพิ่มปริมาณอ้อยปลอดโรคมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย ผู้ใดสนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ กรมวิชาการเกษตร โทร.0-2904-6885-95.
‘เครื่องปูพลาสติก’พ่วงท้ายรถแทรกเตอร์ ช่วยเสริมประสิทธิภาพการผลิต
ปัจจุบันเกษตรกรผู้ปลูกพืชผักอายุสั้นที่มีศักยภาพและมีราคาสูง?เช่น แตงโม แตงกวา พริก แคนตาลูป และสตรอเบอร์รี่ นิยมปูพลาสติกคลุมดินในระบบปลูกเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดค่าแรงงานในการกำจัดวัชพืช รวมทั้งลดปริมาณการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชที่สำคัญยังช่วยลดปริมาณการให้น้ำ ทำให้ได้ผลผลิตที่สะอาดและมีคุณภาพด้วย การใช้เทคโนโลยีการปลูกพืชแบบคลุมดินด้วยพลาสติกจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร เห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าว จึงได้คิดค้นและพัฒนา “เครื่องปูพลาสติกติดพ่วงท้ายรถแทรกเตอร์”เพื่อเพิ่มความสะดวกและช่วยลดขั้นตอนในการทำงาน และช่วยเสริมประสิทธิภาพการผลิตให้กับเกษตรกรผู้ปลูกพืชผักด้วย
นางสาวขนิษฐ์ หว่านณรงค์ วิศวกรการเกษตรชำนาญการพิเศษ สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า เครื่องปูพลาสติกติดพ่วงท้ายรถแทรกเตอร์ที่สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรมได้คิดค้นขึ้นนี้ถูกออกแบบเพื่อลดขั้นตอนในการยกร่อง โรยสายน้ำหยด และปูพลาสติกของเกษตรกรผู้ปลูกพืชผักแบบคลุมดิน ซึ่งทั้งสามขั้นตอนจะทำงานพร้อมกันในคราวเดียว
เหมาะสมกับการใช้งานของเกษตรกร สามารถทำงานได้รวดเร็วและช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในการปูพลาสติกและกำจัดวัชพืชได้โดยเครื่องปูพลาสติกดังกล่าวใช้ติดตั้งกับรถแทรกเตอร์ขนาด 35-50 แรงม้า สามารถปรับใช้กับพลาสติกหน้ากว้างตั้งแต่ 80-150 เซนติเมตร
เครื่องปูพลาสติกติดพ่วงท้ายรถแทรกเตอร์ต้นแบบ ประกอบด้วย ผาลจานยกร่องขนาด 16 นิ้ว และ 18 นิ้ว ซึ่งถอดเข้าออกได้ จำนวน 2 คู่ อุปกรณ์โรยสายน้ำหยด 1 ชุด สามารถวางสายน้ำหยดได้ 2 สาย ชุดลูกกลิ้งรีดพลาสติกให้ตึงสามารถปรับระยะสูงต่ำได้ ชุดล้อยางกดทับพลาสติกติดสปริงเพื่อให้กดทับพลาสติกอย่างต่อเนื่อง และชุดผาลจานขนาด 16 นิ้ว สำหรับกลบชายพลาสติกซึ่งสามารถปรับมุมจานและหน้าจานได้
จากการใช้เครื่องปูพลาสติกติดพ่วงท้ายรถแทรกเตอร์ทดสอบในแปลงปลูกแตงโม และพริกของเกษตรกร โดยใช้พลาสติกหน้ากว้าง 1 เมตร ใช้ความเร็วการเคลื่อนที่ของรถแทรกเตอร์เฉลี่ย 0.5 เมตร/วินาที พบว่า การทำงานในแปลงปลูกแตงโมระยะระหว่างแถวปลูก 6 เมตร สามารถทำงานได้ 3.36 ไร่/ชั่วโมง หรือประมาณ 20 ไร่/วัน อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง 0.53 ลิตร/ไร่ และมีประสิทธิภาพการกลบชายพลาสติก 86.53%
ส่วนผลการทดสอบในแปลงปลูกพริก พบว่า ระยะระหว่างแถวปลูก 1.5 เมตร เครื่องนี้มีความสามารถในการทำงาน 0.74 ไร่/ชั่วโมง อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง 1.86 ลิตร/ไร่ และประสิทธิภาพการกลบชายพลาสติก 91.48% ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีเครื่องปูพลาสติกติดพ่วงท้ายรถแทรกเตอร์ของกรมวิชาการเกษตรไปพัฒนาต่อยอด เพื่อการผลิตในเชิงพาณิชย์แล้ว ขณะเดียวกัน ยังมีกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพริกในพื้นที่จังหวัดเชียงรายนำแบบไปประยุกต์และผลิตเครื่องปูพลาสติกใช้เองแล้ว ซึ่งประสิทธิภาพการทำงานอยู่ในระดับน่าพอใจ
นางสาวขนิษฐ์ กล่าวอีกว่า หากเกษตรกรกลุ่มเกษตรกรสหกรณ์การเกษตร หรือผู้ประกอบการสนใจจะใช้เครื่องปูพลาสติกติดพ่วงท้ายรถแทรกเตอร์ สามารถขอแบบได้ที่สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม ซึ่งนำไปประยุกต์ใช้ได้ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่จะปลูกพืชผักหลังนา ทั้งพริก แตงโม แตงกวา และแคนตาลูป สามารถเข้ามาเรียนรู้และขอดูเครื่องต้นแบบนำไปดัดแปลงใช้งานได้ หรืออาจดำเนินการในรูปแบบกลุ่มผู้รับจ้างปูพลาสติกคลุมดิน เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้โดยเฉพาะค่าสารเคมีกำจัดวัชพืช นอกจากนั้น การปูพลาสติกคลุมดินปลูกพืชยังสามารถช่วยกักเก็บความชื้นในดิน ช่วยประหยัดการใช้น้ำ ทำให้เกษตรกรได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นและได้ผลผลิตที่สะอาด ตรงตามความต้องการของตลาดและผู้บริโภคด้วย
หากสนใจข้อมูลเกี่ยวกับ “เครื่องปูพลาสติกติดพ่วงท้ายรถแทรกเตอร์” สามารถติดต่อได้ที่ กลุ่มวิจัยวิศวกรรมผลิตพืช สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร โทร. 0-2579-2725