คำพิพากษาฎีกา ที่ 10972 - / 2555
สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน เพื่อความเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาจ้าง มีอายุความ 10 ปี
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2525 จำเลยที่ 1 ทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันการทำงาน ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2535 โจทก์มีคำสั่งปลดจำเลยที่ 1 ออกจากการเป็นพนักงาน เนื่องจากขณะดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการธนาคารโจทก์สาขาพะเยาและสาขาพิจิตร จำเลยที่ 1 กระทำผิดโดยจงใจฝ่าฝืนระเบียบการให้สินเชื่อโดยทุจริตและแสวงหาประโยชน์ให้ตนเองหรือผู้อื่นทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง จำเลยที่ 1 ได้ใช้ตำแหน่งอนุมัติสินเชื่อให้แก่ลูกค้าอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบว่าด้วยการอนุมัติสินเชื่อของโจทก์ หากจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและดำเนินการตามระเบียบการให้สินเชื่อโดยถูกต้องตามขั้นตอนของโจทก์แล้วก็จะไม่มีการอนุมัติให้สินเชื่อแก่ลูกค้า โจทก์ก็จะไม่ได้รับความเสียหายในการเสียเงินกู้ไปเป็นจำนวนมาก การที่จำเลยที่ 1 สั่งให้เจ้าหน้าที่สินเชื่อรวมถึงเจ้าหน้าที่อื่นในสาขาพะเยาและสาพิจิตรปฏิบัติหน้าที่โดยฝ่าฝืนต่อระเบียบการให้สินเชื่อ โจทก์ทราบภายหลังว่าลูกค้าดังกล่าวที่จำเลยที่ 1 อนุมัติให้สินเชื่อไปจะถูกระบุอาชีพ ฐานะ รายได้อันเป็นเท็จ หรือบางรายที่เป็นลูกค้าจริง จำเลยที่ 1 ก็จะช่วยเหลือโดยระบุอาชีพ ฐานะ รายได้อันเป็นเท็จหรือสูงกว่าความเป็นจริงเพื่อให้อยู่ในข่ายที่จะได้รับอนุมัติเงินกู้หรือให้กู้เงินได้มากกว่าปกติ และราคาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันมีราคาต่ำกว่าความเป็นจริงมากทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะหลักประกันไม่คุ้มหนี้ ถือว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการแสวงหาประโยชน์จากเงินกู้เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 เอง หรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลที่ 3 ต่อมาเมื่อต้นปี 2535 โจทก์ทราบความจริงจากการตรวจสอบของผู้จัดการเขตภาคเหนือของโจทก์ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 พบว่าลูกค้ารายนายเฉลิม วราสินธุ์ และนางจุไร วราสินธุ์ นายนางจุไร วราสินธุ์ รายนางสาววนิดา ก้องเกียรติกูล รายนางสาวมธุกรหรือมนันยา จบดี และรายนางกัลณีย์ ปะนะมณฑา เป็นลูกค้าที่จำเลยที่ 1 อนุมัติสินเชื่อไปโดยผิดระเบียบ โจทก์จึงตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงในการให้สินเชื่อของธนาคารโจทก์สาขาพะเยาและสาขาพิจิตรของจำเลยที่ 1 ทั้งหมด และพบว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดจงใจฝ่าฝืนระเบียบโดยให้สินเชื่อโดยทุจริตแสวงหาประโยชน์ให้ตนเองหรือผู้อื่นทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง โจทก์จึงมีคำสั่งปลดจำเลยที่ 1 ออกจากการเป็นพนักงาน หลังจากโจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 1 แล้ว ปรากฏว่าหนี้ของลูกค้าจำนวน 5 ราย ดังกล่าวเป็นหนี้เสียทั้งหมด โจทก์จึงมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ลูกหนี้ดังกล่าวชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง แต่ไม่มีลูกค้ารายใดมาชำระหนี้และไถ่ถอนตำนอง โจทก์จึงได้ดำเนินคดีกับลูกค้าทั้งห้ารายโดยได้ยื่นฟ้องต่อศาลรวม 6 คดี ต่อมาทุกคดีศาลพิพากษาให้ลูกค้าชำระหนี้โจทก์รวมเป็นต้นเงินจำนวน 14,284,140.35 บาท และดอกเบี้ยคำนวณถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2545 จำนวน 26,278,402.09 บาท ค่าขึ้นศาลและค่าฤชาธรรมเนียมจำนวน 389,813 บาท และค่าทนายความที่ศาลสั่งให้จำเลยชำระแทนโจทก์จำนวน 79,600 บาท เมื่อหักด้วยราคาประเมินของทรัพย์จำนองที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์และราคาที่โจทก์เข้าซื้อจำนองทุกแปลงแล้วจำนวน 6,837,800 บาท คงเหลือภาระหนี้ทั้งสิ้นจำนวน 34,194,155.44 บาท ความเสียหายจากการทุจริตของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดด้วย โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินคืนทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกหนี้ตามฟ้องไม่ได้จำนวน 33,724,742.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.50 ต่อปี จากต้นเงิน 14,284,140.35 บาท นับแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2545 เป็นต้นไป ชำระค่าขึ้นศาลค่าฤชาธรรมเนียมศาลจำนวน 389,813 บาท และค่าทนายความที่ศาลสั่งให้ชำระแก่โจทก์จำนวน 79,600 บาท แก่โจทก์ ในกรณีที่โจทก์ได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้รายใดหรือทรัพย์จำนองของลูกหนี้รายใดเป็นจำนวนเงินเท่าใดแล้วขอให้โจทก์นำเงินดังกล่าวมาหักหนี้ตามคำขอท้ายฟ้องข้างต้น หนี้คงเหลือเป็นจำนวนเท่าใดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้คืนแก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ให้การว่า นายสมชาย สกุลสุรรัตน์ ไม่ใช่กรรมการผู้มีอำนาจของธนาคารโจทก์ และไม่ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจ ประกอบกับตราประทับหนังสือมอบอำนาจ ประกอบกับตราประทับหนังสือมอบอำนาจก็ไม่ใช่ตราสำคัญของโจทก์ นายสมชาย ลิขิตสุทธิกุล จึงไม่มีอำนาจนำคดีนี้มาฟ้องจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เนื่องจากไม่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับ โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีนี้มาฟ้องต่อศาลแรงงาน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากการอนุมัติสินเชื่อของจำเลยที่ 1 อย่างไร เพราะเป็นการกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ ไม่ได้กล่าวหาว่ากระทำผิดสัญญาจ้างแรงงานจำเลยที่ 1 ไม่เคยกระทำละเมิดหรือปฏิบัติงานในหน้าที่จนเป็นเหตุให้ธนาคารโจทก์ได้รับความเสียหาย คดีของโจทก์ขาดอายุความ เนื่องจากโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อพ้น 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์มีคำสั่งให้ปลดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับและไม่เคยทราบข้อความหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลแรงงานกลางการมอบอำนาจให้ยื่นฟ้องคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้โจทก์นำไปยื่นฟ้องบุคคลอื่นเป็นจำเลยต่อศาลแล้วจึงใช้หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวมายื่นฟ้องจำเลยที่ 2 อีกไม่ได้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม คดีของโจทก์ขาดอายุความ เนื่องจากสิทธิเรียกร้องของโจทก์เกิดขึ้นนับแต่ต้นปี 2535 แต่โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดเมื่อกลางปี 2545 จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ในตำแหน่งพนักงานธุรการทั่วไป การที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งผู้จัดการเป็นการสร้างภาระหรือเพิ่มภาระความเสี่ยงภัยหรือความรับผิดในการทำงานของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 มากขึ้นโดยที่จำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับแจ้งหรือตกลงยินยอม จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายจำเลยที่ 1 มิได้ทุจริตหรือกระทำผิดข้อบังคับหรือระเบียบปฏิบัติของโจทก์ โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตจึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 2 ไม่เคยตกลงยินยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดจึงเป็นโมฆะ จำเลยที่ 2 ไม่ได้ผิดนัด จึงคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 2 ไม่ได้ และจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดชำระเงินค่าขึ้นศาลและค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดในการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้าไม่ได้จำนวน 26,170,282.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.50 ต่อปี จากต้นเงิน 10,590,449.14 บาท นับแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าขึ้นศาลค่าฤชาธรรมเนียมจำนวน 355,890 บาท และค่านายความที่ศาลสั่งให้จำเลยชำระแก่โจทก์อีกจำนวน 62,000 บาท แต่ทั้งนี้หากโจทก์ได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้หรือทรัพย์จำนองรายใดเป็นจำนวนเงินเท่าใดแล้ว ให้โจทก์นำเงินจำนวนดังกล่าวมาหักออกจากจำนวนเงินตามคำพิพากษาข้างต้น และให้จำเลยทั้งสองรับผิดเฉพาะในส่วนที่เหลือจนครบถ้วน ส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า นายสมชาย สกุลสุรรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ของโจทก์เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์โดยลงนามและประทับตราของโจทก์ ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 จำเลยที่ 1 เข้าทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2525 ตามเอกสารหมาย จ.5 ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2532 - วันที่ 15 พฤศจิกายน 2534 เป็นผู้จัดการธนาคารโจทก์สาขาพะเยา และวันที่ 16 พฤศจิกายน 2534 – วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2535 เป็นผู้จัดการธนาคารโจทก์สาขาพิจิตร ตามประวัติการทำงานเอกสารหมาย จ.4 จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2525 ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.8 โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นผู้จัดการมีอำนาจให้สินเชื่อตามเอกสารหมาย จ.9 เมื่อต้นปี 2535 นายสมพล ไชยเชาว์ ผู้จัดการฝ่ายอำนวยการสาขาภาคเหนือสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตในระหว่างเป็นผู้จัดการสาขาพะเยาและสาขาพิจิตร จึงรายงานให้สำนักงานใหญ่ทราบและมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นโดยมีนายเกื้อศักดิ์ ลออสุวรรณ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการสอบสวน เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2535 จำเลยที่ 1 ได้ให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสอบสวนและยอมรับว่าปฏิบัติหน้าที่ผิดระเบียบโดยอนุมัติสินเชื่อไปโดยไม่มีอำนาจและรับปากว่าจะไปติดตามหนี้ที่ให้สินเชื่อไปโดยผิดระเบียบให้เสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2535 ตามเอกสารหมาย จ.11 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองประการแรกว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า คดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลแรงงานกลางเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงาน หาใช่คดีละเมิดอย่างเดียวไม่ เพราะโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างลูกจ้างมีข้อผูกพันตามสัญญาจ้างแรงงานต่อกัน นอกจากจำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์แล้วยังฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอันเป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงานด้วย และตามหนังสือรับรองและสัญญาค้ำประกันการทำงาน ตามเอกสารหมาย จ.8 ข้อ 3 ระบุว่า “หากจำเลยที่ 1 ได้เข้าทำงานในธนาคารโจทก์แล้ว ภายหลังหลบหนีหายไปหรือฉ้อโกง ยักยอก หรือทุจริตต่อหน้าที่ หรือทำความเสียหายให้แก่โจทก์ไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม ตลอดจนบรรดาหนี้สินที่จำเลยที่ 1 ได้มีอยู่กับโจทก์ จำเลยที่ 2 ยินดีรับเป็นผู้ใช้แทนให้แก่โจทก์โดยสิ้นเชิงตามจำนวนที่โจทก์เสียหาย” ข้อผูกพันของจำเลยที่ 2 ที่มีต่อโจทก์จึงหมายถึงจำเลยที่ 2 ค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1 ตามสัญญาจ้างแรงงานด้วย สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาจ้างแรงงานไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 โดยให้เริ่มนับแต่วันที่อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา 193/12 เมื่อพิจารณาหนังสือที่จำเลยที่ 1 มีถึงโจทก์ว่าจะดำเนินการติดตามลูกหนี้ทั้งหมดมาชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนพฤษภk8, 2535 ตามเอกสารหมาย จ.11 แต่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถปฏิบัติได้ โจทก์จึงเป็นเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายที่เกิดจากจำเลยที่ 1 ทำละเมิดและผิดสัญญาจ้างแรงงานต่อโจทก์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2535 การที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2545 ซึ่งเมื่อนับถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2535 เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 จึงขาดอายุความส่วนจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว เมื่อคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ขาดอายุความ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันย่อมยกข้อต่อสู้ดังกล่าวขึ้นต่อสู้ได้ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 394 คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 จึงขาดอายุความด้วยเช่นกัน อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้ออื่นไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์.
มาตรา 394 คดีโจทก์สำหรับ1 ดังกล่าว เมื่อคดีโจทก์_____