คำพิพากษาฎีกา ที่ 3585 - / 2554
ขัดคำสั่งไม่เข้าสอบสวน มิใช่ความผิด กรณีร้ายแรงและค่าชดเชยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2535 จำเลยที่ 1 จ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นพนักงานลูกจ้าง ครั้งสุดท้ายโจทก์ทำงานที่สาขาถนนปู่เจ้าสมิงพราย ตำแหน่งพนักงานรับฝากถอนเงิน ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 15,595 บาท และได้รับค่าครองชีพเดือนละ 2,000 บาท รวมเป็นเงิน 17,595 บาท ครั้นวันที่ 22 พฤศจิกายน 2545 จำเลยที่ 1 มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่โดยมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการทุจริตโอนเงินจากบัญชีเงินฝากของลูกค้าผ่านบริการ เอสซีบี อีซี่ เน็ตและโอนเงินจากบัญชีเงินฝากของลูกค้าผ่านบริการ เอสซีบี อีซี่โฟน ทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายต้องชดใช้เงินคืนให้แก่ลูกค้าดังกล่าว และโจทก์เพิกเฉยไม่ยอมไปให้ถ้อยคำในการสอบสวนต่อคณะกรรมการสอบสวนของจำเลยที่ 1 ตามที่จำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งให้ไป เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ว่าด้วยวินัยและการรักษาวินัย การลงโทษและการอุทธรณ์การลงโทษของพนักงานและลูกจ้าง พ.ศ. 2545 ข้อ 6 (1) (2) และ (3) ถือว่าเป็นการผิดวินัยพนักงานอย่างร้ายแรง จำเลยที่ 1 จึงเลิกจ้างโจทก์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2545 ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นความเท็จโดยโจทก์ไม่ได้กระทำการทุจริตตามข้อกล่าวหาส่วนเรื่องที่โจทก์ไม่ยอมไปพบคณะกรรมการสอบสวนของจำเลยที่ 1 นั้นไม่เป็นความจริงกล่าวคือ โจทก์พร้อมจะเข้าพบคณะกรรมการสอบสวนแต่คณะกรรมการดังกล่าวของจำเลยที่ 1 ไม่ยอมให้โจทก์มีทนายความหรือบุคคลที่โจทก์ไว้วางใจเข้าร่วมในการสอบสวนตามที่โจทก์ขอ โจทก์จึงไม่ไปให้ถ้อยคำในการสอบสวน ก่อนฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2546 โจทก์เคยยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานตรวจแรงงานประจำสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อให้สอบสวนข้อเท็จจริงและมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ผู้เป็นนายจ้างจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยตามกฎหมาย แต่จำเลยที่ 2 สอบสวนข้อเท็จจริงแล้วมีคำสั่งที่ 043/2547 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2547 ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชย โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 2 การกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยจำเลยที่ 1 มีหน้าที่จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 17,595 บาท ค่าชดเชยตามระยะเวลาที่โจทก์ทำงานให้จำเลยที่ 1 รวม 10 ปี 6 เดือน เป็นเงิน 181,815 บาท และจ่ายเงินสะสมที่จำเลยที่ 1 หักจากค่าจ้างรายเดือนของโจทก์ทุกเดือนเพื่อเป็นเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเงิน 216,580 บาท รวมเป็นเงิน 415,990.62 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2545 อันเป็นวันเลิกจ้างถึงวันฟ้องเป็นเงิน 62,398.59 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 478,389.21 บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินจำนวน 478,389.21 บาท และชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 17,595 บาท จากค่าชดเชย 181,815 บาท และจากเงินสะสมเพื่อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 216,580.65 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ขณะที่โจทก์เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 สาขาถนนปู่เจ้าสมิงพราย มีลูกค้าของจำเลยที่ 1 มาร้องเรียนว่าเงินในบัญชีออมทรัพย์ที่เปิดบัญชีไว้ที่สาขาบางนา - ตราด (กม. 3.5) ได้ถูกเบิกถอนออกไปจำเลยที่ 1 จึงทำการตรวจสอบปรากฏว่าได้มีการโอนเงินออกไปโดยผ่านระบบ เอสซีบี อีซี่ โฟน ซึ่งลูกค้าแจ้งว่าไม่เคยขอใช้บริการในระบบดังกล่าว จากการตรวจสอบปรากฏว่าได้มีการปลอมลายมือชื่อของลูกค้ารายนี้ และตรวจสอบเทปบันทึกภาพ ซี.ซี.ที.วี (CCTV) ปรากฏว่าโจทก์ได้เข้าไปดูตัวอย่างลายมือชื่อของลูกค้าจำนวน 10 ครั้ง โดยดูทาง Terminal web จำนวน 4 ครั้ง และดูจาก Internet จำนวน 6 ครั้ง เพื่อทำการปลอมลายมือชื่อของลูกค้าและถอนเงินจากบัญชีลูกค้าไปเข้าบัญชีที่สาขาเอกมัย จำนวน 2,000,000 บาท และได้มีการเบิกถอนเงินไป อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่และกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่จำเลยที่ 1 ทำให้จำเลยที่ 1 เสียหาย จำเลยที่ 1 ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปราม และมีการจับกุมโจทก์ แล้วจำเลยที่ 1 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยเพื่อทำการสอบสวนการกระทำความผิดของโจทก์และนัดหมายให้โจทก์ไปให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย แต่โจทก์ไม่ไปตามที่จำเลยที่ 1 นัดหมายจำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อไปให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยรวม 3 ครั้ง แต่โจทก์ไม่ไป การกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ว่าด้วยวินัยและการรักษาวินัย การลงโทษและการอุทธรณ์การลงโทษของพนักงานและลูกจ้าง พ.ศ.2545 ข้อ 6 ( 1 ) ( 2 ) และ ( 3 ) ถือเป็นการกระทำผิดวินัยของพนักงานอย่างร้ายแรง การที่จำเลยที่ 1 ทำการสอบสวนพนักงานเกี่ยวกับการปฏิบัติงานนั้นเป็นเรื่องภายในของจำเลยที่ 1 มิใช่ความผิดทางอาญา จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิที่จะไม่ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเข้าไปในสถานที่ทำงานของจำเลยที่ 1 ได้ การที่จำเลยที่ 1 ไม่ยินยอมให้ทนายความและนักข่าวเข้าไปในสถานที่ดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย และการที่โจทก์ไม่ไปให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยเป็นการจงใจขัดคำสั่งของผู้บังคับบัญชา จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิไล่โจทก์ออกจากการเป็นพนักงานลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 จึงไม่จำต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ให้แก่โจทก์ ส่วนเงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของโจทก์นั้น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแยกต่างหากไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดเงินทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า คำสั่งของจำเลยที่ 2 ที่ 043/2547 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2547 ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้วเนื่องจากการกระทำของโจทก์เป็นการทุจริตต่อหน้าที่และประกอบกับเมื่อจำเลยที่ 1 มีหนังสือเชิญโจทก์เพื่อสอบสวนถึง 3 ครั้ง แต่โจทก์ไม่ไปให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสอบสวนของจำเลยที่ 1 เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ว่าด้วยวินัยและการรักษาวินัยการลงโทษ และการอุทธรณ์การลงโทษของพนักงานและลูกจ้าง พ.ศ.2545 ข้อ 6 ( 1 ) ( 2 ) และ ( 3 ) ถือเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่จ่ายค่าชดเชย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 043/2547 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2547 ให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชย 155,949 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2545 อันเป็นวันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2547 (ที่ถูก วันที่ 30 มีนาคม 2547) อันเป็นวันฟ้องต้องไม่เกินจำนวน 62,398.59 บาท ตามที่ขอ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นพนักงานลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2535 ครั้งสุดท้ายเป็นพนักงานธนกิจสัมพันธ์มีหน้าที่ให้รับฝากถอนเงินที่บริเวณหน้าเคาน์เตอร์ประจำสาขาถนนปู่เจ้าสมิงพราย จังหวัดสมุทรปราการ ได้รับค่าจ้างเดือนละ 15,595 บาท กับค่าครองชีพเดือนละ 2,000 บาท โดยรับทุกวันที่ 25 ของเดือน เมื่อประมาณปี 2545 นายศุภชัย ศิลปวิทยาดิลก ลูกค้าของจำเลยที่ 1 สาขาบางนา - ตราด กม. 3.5 ร้องเรียนว่าเงินฝากในบัญชีออมทรัพย์ของตนสูญหายไปจำนวน 2,000,000 บาท จำเลยที่ 1 ดำเนินการตรวจสอบแล้วปรากฏว่ามีผู้ทำรายการเข้าดูตัวอย่างลายมือชื่อขอนายศุภชัยทางระบบคอมพิวเตอร์เมื่อวันที่ 10 ,11 และวันที่ 13 มิถุนายน 2545 พนักงานธนกิจสัมพันธ์อาวุโสของสาขาถนนปู่เจ้าสมิงพรายและจากเทปบันทึกภาพวีดีโอปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้เดินเข้าไปดูที่หน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์ตามวันเวลาดังกล่าว ต่อมาวันที่ 1 สิงหาคม 2545 จำเลยที่ 1 แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่โจทก์กับพวกในข้อหาร่วมกันทุจริตปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมขณะนี้คดีอยู่ระหว่างพนักงานอัยการมีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม ต่อมาจำเลยที่ 1 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแก่โจทก์ แล้วมีหนังสือเชิญโจทก์ไปให้ปากคำรวม 3 ครั้ง แต่โจทก์ไม่ไปเนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่ยินยอมให้โจทก์นำทนายความหรือบุคคลภายนอกเข้าร่วมการฟังสอบสวน เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2545 จำเลย ที่ 1 มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์อ้างเหตุว่า โจทก์มีพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของลูกค้า จงใจขัดคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยไม่ไปให้ถ้อยคำกับคณะกรรมการสอบสวนเกี่ยวกับกรณีทุจริตดังกล่าว เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายและขาดความไว้วางใจ เป็นการปฏิบัติฝ่าฝืนข้อบังคับ ระเบียบวินัยการลงโทษการอุทธรณ์ของพนักงานและลูกจ้าง พ.ศ.2545 ข้อ 6 ( 1 ) ( 2 ) และ ( 3 ) ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยให้ลงโทษไล่ออกโดยไม่ได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เงินสมทบและผลประโยชน์จากเงินสมทบทั้งนี้ให้มีผลเป็นการเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2545 ต่อมาวันที่ 26 ธันวาคม 2546 โจทก์ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 2 พนักงานตรวจแรงงานประจำสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ จำเลยที่ 2 พิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่าการกระทำของโจทก์เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ประกอบกับจำเลยที่ 1 มีหนังสือเชิญโจทก์เพื่อสอบสวนถึง 3 ครั้ง แต่โจทก์ไม่ไปให้ถ้อยคำกับคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับจำเลยที่ 1 ถือเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง จึงมีคำสั่งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ตามคำสั่งที่ 043/2547 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2547 แล้วศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการทุจริตถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของลูกค้า และคดีนี้มีพฤติการณ์พิเศษที่ทำให้โจทก์มีข้ออ้างที่จะขอให้ทนายความหรือบุคคลภายนอกเข้าร่วมฟังการสอบสวนด้วย เพราะจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์นำเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมตัวโจทก์ก่อนเริ่มกระบวนการสอบสวนภายใน โจทก์จึงมีเหตุผลที่จะกล่าวอ้างในการไปตามหนังสือเชิญหรือคำสั่งเรียกได้ กรณียังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง หรือฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างในกรณีที่ร้ายแรง โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน จากค่าจ้างเดือนละ 15,595 บาท โดยค่าครองชีพเดือนละ 2,000 บาท นั้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้เพียงว่าจ่ายให้เป็นเงินสวัสดิการเป็นค่าครองชีพให้กับลูกจ้างเท่านั้นจึงเป็นค่าชดเชย 155,949 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแต่ดอกเบี้ยกำหนดให้อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามขอ แต่โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานธนาคารมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเกี่ยวกับการเงินของลูกค้าซึ่งต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจและความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติงาน พฤติการณ์ดังกล่าวของโจทก์จึงเป็นการกระทำประการอื่นอันไม่เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิที่จะเลิกจ้างโจทก์โดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าได้และเนื่องจากโจทก์มิได้ฟ้องกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน) ซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลต่างหากจากจำเลยที่ 1 เข้ามาด้วย จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 1 จ่ายเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดังกล่าวได้
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากค่าชดเชยจำนวน 155,949 บาท นับแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2545 ซึ่งเป็นวันเลิกจ้างจนถึงวันที่ 30 มีนาคม 2547 ซึ่งเป็นวันฟ้องหรือไม่ กับโจทก์ก็มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมด้วยดอกเบี้ยหรือไม่ และตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 จะต้องจ่ายเงินค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์หรือไม่ สำหรับปัญหาเรื่องค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยนั้นเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยที่ 1 ไปพร้อมกัน โดยในปัญหานี้ศาลแรงงานกลางพิจารณาวินิจฉัยไว้ 2 เหตุซึ่งเหตุประการแรกคือ ข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการทุจริตถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของลูกค้า ที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์อ้างว่า การที่โจทก์เข้าไปนั่งที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ที่ดูลายมือชื่อของลูกค้าซึ่งมิใช่โต๊ะนั่งทำงานประจำของโจทก์ โดยมีกิริยาอาการตื่นเต้นตกใจอันเป็นพฤติการณ์ที่มีข้อพิรุธและผิดปกติ จึงน่าเชื่อว่าโจทก์ได้กระทำความผิดจริง เห็นว่า อุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อให้รับฟังว่า โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง จึงเป็นอุทธรณ์ที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานกลางและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับ วินิจฉัย ส่วนเหตุที่สองคือ คดีมีพฤติการณ์พิเศษที่ทำให้โจทก์มีข้ออ้างที่จะขอให้ทนายความหรือบุคคลภายนอกเข้าร่วมฟังการสอบสวนด้วย โจทก์จึงมีเหตุผลที่จะกล่าวอ้างในการไม่ไปตามหนังสือเชิญหรือคำสั่งเรียกได้ ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างในกรณีที่ร้ายแรง ซึ่งจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า การสอบสวนทางวินัยนั้นจำเลยที่ 1 กับโจทก์มิได้อยู่ในฐานะพนักงานสอบสวนกับผู้ต้องหาอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอีกทั้งสำนักงานของจำเลยที่ 1 เป็นที่รโหฐาน การที่โจทก์ ไม่มาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย จึงเป็นการขัดคำสั่งผู้บังคับว่าด้วยระเบียบการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอันเป็นความผิดอย่างร้ายแรง เห็นว่า การฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบ หรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย และเป็นธรรมที่นายจ้างสามารถเลิกจ้างลูกจ้างได้โดยไม่จำต้องตักเตือนเป็นหนังสือและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยนั้น ต้องเป็นกรณีที่ร้ายแรงกล่าวคือผลสุดท้ายที่เกิดขึ้นนั้นต้องเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงโดยสืบเนื่องมาจากการฝ่าฝืนของลูกจ้าง แต่คดีนี้จำเลยที่ 1 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยขึ้นก็เพื่อสอบสวนดำเนินคดีที่กล่าวหาว่าโจทก์ทุจริตต่อเจ้าหน้าที่และกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาให้มีการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของลูกค้า ซึ่งแม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่าโจทก์ฝ่าฝืนไม่ยอมให้ปากคำต่อคณะกรรมการดังกล่าวถึง 3 ครั้ง ก็หาเป็นเหตุให้ดำเนินการของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยของจำเลยที่ 1 ต้องสะดุดหยุดลงหรือสิ้นสุดยุติไป แต่อย่างใดไม่ โดยเฉพาะผลสรุปของการสอบสวนก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ โดยอ้างเหตุว่าโจทก์มีพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของลูกค้า ดังนั้น การฝ่าฝืนดังกล่าวของโจทก์หาใช่กรณีที่เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง อันจะเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์แต่อย่างใดไม่ ที่ศาลแรงงานกลางพิจารณาวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น สำหรับอัตราดอกเบี้ยของค่าชดเชยก่อนฟ้องนับแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2545 ซึ่งเป็นวันเลิกจ้างจนถึงวันที่ 30 มีนาคม 2547 ซึ่งเป็นวันฟ้องนั้น โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์มีสิทธิได้รับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ตามฟ้อง เห็นว่า โจทก์ฟ้องและมีคำขอบังคับเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของค่าชดเชยไว้อย่างชัดแจ้งแล้วว่า โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันฟ้อง และอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จที่ศาลแรงงานกลางพิจารณาวินิจฉัยแล้วพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยของค่าชดเชยนับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอนั้น ย่อมไม่ถูกต้องเป็นไปตามคำขอของโจทก์เฉพาะในส่วนของอัตราดอกเบี้ยก่อนฟ้องซึ่งโจทก์ขอคิดมาในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหาเรื่องสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้นแม้ข้อเท็จจริงปรากฏตามที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนกลางที่ใช้เรียกดูลายมือชื่อของลูกค้าด้วย ก็เพื่อตรวจสอบเอกสารการทำธุรกรรมเกี่ยวกับสินเชื่อของลูกค้า มิได้เข้าไปกระทำการเกี่ยวกับลายมือชื่อและบัญชีของลูกค้าแต่อย่างใด แต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่ามีเหตุทุจริตปลอมเอกสารแล้วโอนเงินในบัญชีของลูกค้าไปโดยมีเหตุสืบเนื่องมาจากการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนกลางดังกล่าว ทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายต้องคืนเงินให้แก่ลูกค้า ดังนั้นพฤติกรรมการกระทำของโจทก์ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวทั้งที่มิใช่หน้าที่โดยตรงของโจทก์เอง แม้จะยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ แต่ก็เป็นการกระทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ขาดความเชื่อถือในการปฏิบัติงานของโจทก์ที่ต้องรับผิดชอบดูแลเกี่ยวกับการเงินของลูกค้าอีกต่อไป จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิเลิกจ้างโดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ที่ศาลแรงงานกลางพิจารณาวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับดอกเบี้ยของค่าชดเชยเฉพาะส่วนก่อนฟ้องนับแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2545 ซึ่งเป็นวันเลิกจ้างจนถึงวันที่ 30 มีนาคม 2547 ซึ่งเป็นวันฟ้อง ให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.