คำพิพากษาฎีกา ที่ 11986 / 2554
แม้มิได้อ้างเหตุผลในการเลิกจ้างไว้ แต่จำเลยสามารถอ้างเหตุผลในการเลิกจ้างในคำให้การ เพื่อต่อสู้คดีในประเด็นค่าเสียหายหรือค่าชดเชยพิเศษได้ การอ้างเหตุตามมาตรา 17 วรรค 3 เป็นข้อยกเว้นเฉพาะเหตุที่จะไม่จ่ายค่าชดเชยตาม มาตรา 118 เท่านั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทวัด เป็นเจ้าของกิจการโรงเรียนอนุบาลวัดสะแก ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2525 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรือหลักสูตรที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการและจัดรูปแบบการศึกษาในระบบโรงเรียนโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียน และจำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดการโรงเรียน ทำหน้าที่ดูแลจัดการและควบคุมการดำเนินงานของโรงเรียน การทำงานของคณะครูและบุคลากร เมื่อเดือนพฤษภาคม 2538 จำเลยที่ 1 จ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างในตำแหน่งครูโรงเรียนอนุบาลวัดสะแก และได้บรรจุโจทก์เป็นครูตามใบอนุญาตให้บรรจุครูแห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2525 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2538 ตำแหน่งสุดท้ายคือครูผู้สอนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 ได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนอัตราสุดท้ายเดือนละ 9,700 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2548 จำเลยทั้งสามได้มีประกาศและมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ออกจากการเป็นครูและบุคลากรของโรงเรียนอนุบาลวัดสะแก อ้างว่าคณะกรรมการอำนวยการโรงเรียนมีมติลงวันที่ 14 มิถุนายน 2548 ให้เลิกจ้างโจทก์ โดยมิได้แจ้งเหตุในการเลิกจ้างหรือระบุความผิดของโจทก์ และเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2548 ได้มีหนังสือจากรองผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งรักษาการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา แจ้งการจำหน่ายโจทก์จากการเป็นครู จำเลยที่ 1 ได้จ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 97,000 บาท การเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ปฏิบัติงานด้วยดีตลอดมาและไม่เคยกระทำความผิดหรือฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยทั้งสาม เหตุที่จำเลยทั้งสามเลิกจ้างโจทก์สืบเนื่องมาจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความโกรธเคืองโจทก์เป็นการส่วนตัวเพราะโจทก์และคณะครูรวม 12 คน ได้ทำหนังสือร้องเรียนต่อปลัดกระทรวงศึกษาธิการเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2547 เกี่ยวกับเรื่องการแสวงหาประโยชน์ของจำเลยที่ 3 ในโรงเรียนอนุบาลวัดสะแก จนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3 ได้ไปแจ้งความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ยักยอกทรัพย์เป็นการแก้เกี้ยวและเลิกจ้างโจทก์ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2548 โจทก์ไปให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนกรณีที่โจทก์ถูกกล่าวหาว่ายักยอกทรัพย์ของจำเลยที่ 1 และเรื่องอยู่ในชั้นพนักงานอัยการ ดังนั้นเมื่อโจทก์มิได้ถูกเลิกจ้างเนื่องจากกระทำผิดตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2542 ข้อ 34 ข้อ 38 จำเลยที่ 1 จึงต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษเพิ่มขึ้นจากค่าชดเชยตามข้อ 32 อีกไม่น้อยกว่า 1 เท่าของค่าชดเชยตามที่กำหนดในข้อ 32 อีกจำนวน 97,000 บาท และจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต้องตกงานขาดรายได้ประจำ ประกอบกับโจทก์มีอายุมากแล้ว โอกาสที่จะไปสมัครงานใหม่หรือประกอบธุรกิจใดๆ จึงเป็นไปได้ยาก โจทก์มีภาระต้องดูแลมารดาซึ่งมีอายุมากและสุขภาพไม่แข็งแรง โจทก์มีภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวและมีหนี้สินอยู่เป็นจำนวนมาก หากโจทก์ยังทำงานอยู่ โจทก์ยังสามารถทำงานได้อีกไม่น้อยกว่า 25 ปี เพราะโรงเรียนเอกชนไม่มีเกษียณอายุ จึงขอเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 3,000,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันจ่ายค่าชดเชยพิเศษจำนวน 97,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและค่าเสียหายจำนวน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทวัด จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินการจัดตั้งโรงเรียนเอกชนตามตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2525 โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดการโรงเรียนดูแลกิจการของโรงเรียนที่ได้รับอนุญาตแทนจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยทั้งสามไม่ได้กลั่นแกล้งโจทก์หรือเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย กระด้างกระเดื่องและไม่เชื่อฟังจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะนายจ้างและผู้บังคับบัญชา โจทก์ขาดงาน ลากิจ ลาป่วยเป็นประจำ ไม่สนใจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ทั้งโจทก์ไม่มีความพร้อมในด้านสุขภาพร่างกาย มีโรคประจำตัวที่อาจก่อปัญหาให้กับจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 2 ได้เรียกโจทก์มาตักเตือนให้ปฏิบัติหน้าที่ไปในทางที่ได้รับมอบหมายและให้เชื่อฟังจำเลยที่ 3 ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม ต่อมาโจทก์และบุคลากรในโรงเรียนทำเรื่องร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวหาว่าจำเลยที่ 3 มีพฤติการณ์ไปในทางทุจริตประพฤติไม่ชอบซึ่งไม่มีมูลความจริง การกระทำของโจทก์จึงเป็นการสร้างความแตกแยกในการบริหารงานของจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่พอใจจำเลยทั้งสาม เพราะจำเลยที่ 1 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีโจทก์บกพร่องในหน้าที่ คณะกรรมการมีมติเอกฉันท์ให้พักงานโจทก์เป็นเวลา 3 เดือน โดยให้จ่ายเงินเดือนแก่โจทก์ตามปกติ ต่อมาเมื่อประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน 2547 จำเลยทั้งสามได้ตรวจสอบบัญชีการเงินของโรงเรียนอนุบาลวัดสะแก ในช่วงระหว่างที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่มีส่วนรับผิดชอบงานด้านการเงินและบัญชีอยู่นั้น พบความผิดปกติในทางบัญชี จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนแต่โจทก์และบุคลากรได้ทำหนังสือเสนอข้อเรียกร้องต่อจำเลยที่ 1 ผ่านนายสมพงษ์ วิริยะจารุ ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง อันเป็นการไม่เชื่อฟังและกระด้างกระเดื่องต่อจำเลยทั้งสาม ต่อมาประมาณกลางเดือนธันวาคม 2547 คณะกรรมการสอบสวนมีมติให้ดำเนินคดีอาญากับโจทก์ฐานยักยอกทรัพย์ เหตุที่จำเลยที่ 1ไม่ได้ระบุเหตุผลของการเลิกจ้างโจทก์ เพื่อไม่ให้โจทก์ต้องมีประวัติด่างพร้อย การเลิกจ้างโจทก์ได้ดำเนินการตามขั้นตอนระเบียบที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนเอกชนโดยตลอด จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษจำนวน 97,000 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจำนวน 3,000,000 บาท เพราะการที่โจทก์อ้างว่าสามารถทำงานได้ถึง 25 ปี เป็นการคาดคะเน โจทก์มีปัญหาด้านสุขภาพและมีโรคประจำตัว อาจมีผลกระทบต่อกิจการของจำเลยที่ 1 และเป็นอันตรายต่อสังคมได้ทั้งโจทก์มีพฤติการณ์ที่ไม่สนองตอบนโยบายของจำเลยที่ 1 ทำให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติคุณแก่จำเลยทั้งสาม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทวัด จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนอนุบาลวัดสะแกตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2525 จำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดการโรงเรียนอนุบาลวัดสะแก ทำหน้าที่ควบคุมดูแลรับผิดชอบในกิจการทั่วไปของโรงเรียนและควบคุมปกครองครูใหญ่ ครูและนักเรียนโจทก์เป็นครูโรงเรียนอนุบาลวัดสะแกตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2538 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นครูผู้สอนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 9,700 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2548 จำเลยที่ 2 ได้มีประกาศให้โจทก์ออกจากการเป็นครูและบุคลากรของโรงเรียนอนุบาลวัดสะแก โดยให้มีผลบังคับใช้หลังจาก 30 วัน นับแต่วันติดประกาศ และให้พักงานนับแต่วันติดประกาศเป็นต้นไป ต่อมารองผู้ว่าราชการจังหวัดรักษาการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมามีหนังสือแจ้งว่า จังหวัดพิจารณาอนุญาตให้โรงเรียนอนุบาลวัดสะแกจำหน่ายโจทก์ออกจากหน้าที่ครูในโรงเรียนตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2548 ซึ่งโจทก์ได้รับค่าชดเชยจากการเลิกจ้างแล้วเป็นเงิน 97,000 บาท ก่อนถูกเลิกจ้างโจทก์กับพวกรวม 12 คน ทำหนังสือร้องเรียนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมากล่าวหาว่า จำเลยที่ 3 ปฏิบัติมิชอบและส่อเจตนาไปในทางทุจริตเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ และการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนของโรงเรียนอนุบาลวัดสะแก ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงสรุปได้ว่าจำเลยที่ 3 ไม่มีความผิด แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ทำหนังสือร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมามาอ้างว่าจำเลยที่ 3 มีพฤติการณ์ส่อทุจริตในการก่อสร้างอาคารเรียนนั้น ไม่มีน้ำหนักและเหตุผลพอที่จะรับฟังได้ จึงทำให้จำเลยที่ 3 ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการโรงเรียนมีหน้าที่ควบคุมดูแลและรับผิดชอบในกิจการทั่วไปของโรงเรียน และควบคุมปกครองครูใหญ่ ครูและนักเรียนในโรงเรียน ได้รับความเสียหาย โดยโจทก์ซึ่งเป็นครูจะต้องปฏิบัติตนให้อยู่ในวินัยและหน้าที่ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ การที่โจทก์ทำหนังสือร้องเรียนกล่าวหาจำเลยที่ 3 โดยไม่มีพยานหลักฐานที่จะทำให้เชื่อว่าหนังสือร้องเรียนของโจทก์ดังกล่าวมีมูลเป็นความจริง จึงถือได้ว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตนให้อยู่ในวินัยตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ การที่จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์ จึงมีเหตุผลอันสมควรเพียงพอ และถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมโจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหาย เมื่อโจทก์ถูกเลิกจ้างเนื่องจากฝ่าฝืนระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยจรรยา มรรยาท วินัย และหน้าที่ของผู้รับใบอนุญาต ผู้จัดการครูใหญ่ หรือครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2526 จึงเป็นการเลิกจ้างตามข้อ 34 (5) โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษตามข้อ 38 ของระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2542
คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์โจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิได้รับค่าเสียหาจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและค่าชดเชยพิเศษพร้อมด้วยดอกเบี้ยหรือไม่เพียงใด โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า คำสั่งที่ให้โจทก์ออกจากการเป็นครูไม่ได้ระบุถึงสาเหตุ และความเสียหายในการเลิกจ้าง อ้างเพียงว่าเป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการอำนวยการโรงเรียนอนุบาลวัดสะแก และจำเลยได้จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์แล้ว จึงเป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิดตามข้อ 32 ประกอบข้อ 33 มิใช่การเลิกจ้างอันเนื่องมาจากโจทก์กระทำผิดตามข้อ 34 โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษตามข้อ 38 ของระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2542 ทั้งเป็นการเลิกจ้างโดยไม่มีสาเหตุ จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้นเหตุแห่งการเลิกจ้างตามคำให้การของจำเลยทั้งสามและตามคำเบิกความของจำเลยที่ 3 ซึ่งมิได้ระบุไว้ในคำสั่งเลิกจ้างจึงเป็นการยกขึ้นอ้างในภายหลัง ขัดต่อมาตรา 17 (เดิม) แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ศาลจึงไม่อาจรับฟังได้เพราะเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือคำให้การหรือนอกประเด็นเห็นว่า แม้ประกาศเลิกจ้างโจทก์จากการเป็นครูและบุคลากรของโรงเรียนอนุบาลวัดสะแก จะมิได้ระบุเหตุผลของการเลิกจ้างไว้ และตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 17 วรรคสาม (เดิม) ได้ระบุว่า ในกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างถ้ามิได้ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง นายจ้างจะยกเหตุตามมาตรา 119 ขึ้นอ้างภายหลังไม่ได้ก็ตาม แต่บทบัญญัติข้อห้ามดังกล่าวก็ใช้บังคับเฉพาะเพียงแต่ในเรื่องการฟ้องเรียกร้องค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 เท่านั้น หาได้เป็นข้อห้ามรวมถึงการฟ้องเรียกร้องค่าชดเชยพิเศษตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียน เอกชน พ.ศ.2542 และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 ตามที่โจทก์ฟ้องแต่อย่างใดไม่ ดังนั้นจำเลยทั้งสามจึงยกเหตุแห่งการเลิกจ้างโจทก์ขึ้นอ้างในคำให้การของจำเลยทั้งสามเพื่อต่อสู้คดีของโจทก์ได้ ซึ่งเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์ถูกเลิกจ้างเนื่องจากกระทำผิดฝ่าฝืนระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยจรรยา มรรยาท วินัย และหน้าที่ของผู้รับในอนุญาต ผู้จัดการ ครูใหญ่หรือครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2526 โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามข้อ 34 (5) ทั้งไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษตามข้อ 38 ของระเบียบกระทรวงศึกษาธิการดังกล่าวและกรณีการเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวก็มีเหตุอันสมควร จึงมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับค่าชดเชยตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการดังกล่าวในอัตราสุดท้ายสามร้อยวันเป็นเงิน 97,000 บาท ก็นับว่าเป็นคุณแก่โจทก์แล้ว ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน