ภูมิแพ้ เราเอาชนะมันได้ ถ้าเราอยากชนะ..
เป็นปัญหาใหญ่มากในสังคมไทยยุคปัจจุบันรัฐต้องเสียเงินมากมายในการรักษา และดูแลผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ หรือบางครอบครัวต้องใช้จ่ายเงินก้อนโต เพื่อดูแลสมาชิกในครอบครัว ที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคนี้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นการรักษา ที่ปลายเหตุ เมื่อเกิดอาการคัดจมูก หายใจไม่ออก ก็ใช้ยาพ่นจมูกเพื่อ ช่วยหายใจ เกิดอาการคันก็ใช้ยาแก้คัน ปวดศีรษะก็กินยาแก้ปวด แก้อาการไปวันๆ เป็นที่น่าเบื่อหน่าย และก่อให้เกิด ความเครียด วิตกกังวล โรคก็ยิ่งกำเริบหนักขึ้นไปอีก
การที่มีสารแปลกปลอมเข้าสู่กระแสเลือด แต่ได้รับการจัดการที่ไม่ถูกวิธีโดยร่างกายของเราเอง จึงเกิดภูมิแพ้ขึ้น สารต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย มีทั้งไร ฝุ่น ละอองเรณู ยา อาหาร สารเคมีต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกายทางปาก จมูก ผิวหนัง บาดแผล หรือถูกฉีดเข้าสู่ร่างกาย เมื่อร่างกาย รู้ว่าเป็นของเสียร่างกายก็จะระดมสรรพอาวุธ มาจัดการกับของเสียเหล่านี้ โดยมาในรูปแบบของ “ฮอร์โมน” หลายชนิดที่ไปกระตุ้นร่างกาย ปล่อยสารต่อต้านหรือแอนตี้บอดี้ออกมา ซึ่งฮอร์โมนส่วนใหญ่มาจากต่อมหมวกไต
ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้กัน ก็จะเกิดสารเสียชนิดหนึ่งที่รู้จักกันในนามของ “ฮีสตามีน” ซึ่งเป็นสารเสียจากเนื้อเยื่อที่ก่อให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือด เป็นผลให้ผิวหนังบริเวณนี้แดง และรู้สึกร้อนผ่าว ทำให้ผนังหลอดเลือดเกิดการซึมผ่านของน้ำได้มากขึ้น น้ำเหลืองซึมออกมาจากเลือดเข้าสู่เนื้อเยื่อรอบๆ จึงเกิดอาการบวม อักเสบเยื่อบุจมูก เกิดอาการคัน คัดจมูก ลมพิษ คัน หอบหืด คลื่นไส้อาเจียน
คนเป็นภูมิแพ้ต้องรู้จักคำว่า “สารต้านฮีสตามีน” สารที่มีหน้าที่ไปฆ่าฤทธิ์ของฮีสตามีน เพื่อลดอาการของภูมิแพ้ สารนี้อยู่ในรูปของยาเม็ด แคปซูลหรือสเปรย์ฉีดพ่นเมื่อมีอาการ ซึ่งความจริงแล้วร่างกายเราสามารถสร้างสารนี้ขึ้นมาใช้เองโดยตลอด เพื่อเราจะได้ไม่มีอาการภูมิแพ้จากฮีสตามีนโดยตับเป็นผู้สร้าง
ดังนั้นถ้าตับของเราเจ็บป่วย ไม่อาจทำงานได้ตามปกติ ไม่ว่าโดยไขมันที่จับพอกตับ เหล้าเบียร์ สารพิษที่เรากินเข้าไป หรือพฤติกรรมที่ไม่ชอบขับถ่าย สะสมจนของเสียล้นร่างกาย ทำให้ตับต้องทำงานหนัก ตับเสียสมดุล จึงไม่อาจสร้างสารต้านฮีสตามีนมาฆ่าฤทธิ์ของฮีสตามีนได้ อาการภูมิแพ้ก็จะแสดงออกมา
และที่สำคัญ ทุกคนทราบว่า ต่อมหมวกไตมีบทบาทสำคัญที่เกี่ยวกับขบวนการภูมิแพ้ และก็ได้ข้อสรุปว่า คนที่เป็นภูมิแพ้มีภาวะการทำงานของต่อมหมวกไตบกพร่อง
ดังนั้น การที่เราจะกู้สภาวะร่างกายของเราให้มีภูมิคุ้มกันดีขึ้น จึงต้องดูแลตับ ไตของเราให้ดี อย่าทำร้ายตับ ไต จนอ่อนแรงทำงานไม่ไหว อาหารการกิน และพฤติกรรมในการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้อวัยวะภายในของเราเจ็บป่วย หรือเสียภาวะสมดุล โดยการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วยวิธีธรรมชาติ มีวิธีปฏิบัติดังนี้
วิธีรักษา โรคภูมิแพ้ด้วยวิธีทางธรรมชาติบำบัด (ไม่ใช้สารเคมี)
1. เอาของเสียออกจากร่างกาย โดยวิธีการ ขับถ่าย หรือล้างพิษด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การอบสมุนไพร ,ดื่มน้ำผัก ผลไม้ ,การสวนล้างลำไส้ หรือดีท๊อกซ์ (เป็นวิธีที่เร็วที่สุด เห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ) หรือใช้สมุนไพรยาระบาย เช่น มะรุม ,มะขามแขก ,ส้มแขก ล้วนเป็นวิธีการที่เอาของเสียออกจากร่างกายได้ทั้งสิ้น (ขับถ่ายให้ได้ทุกเช้าโดยการดื่มน้ำ 2-4 แก้วหลังจากตื่นนอน เพื่อให้น้ำจำนวนมากพัดพาของเสียออกจากร่างกายผ่านปัสสาวะ และอุจจาระ)
2. การออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้อวัยวะภายนอก และ ภายในของเราได้ขยับเขยื้อน ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่ายก็จะทำงานได้ดีขึ้น ขบวนการเผาผลาญของเราก็จะดี ระบบขจัดของเสียก็จะดี ทำให้ไม่เหลือของเสีย สะสมอยู่ในร่างกาย
3. อาหารการกิน จะต้องดูแลระมัดระวัง อย่ากินอะไรที่จะไปก่อโรคขึ้น โดยหลีกเลี่ยง อาหารที่ย่อยยาก เช่น เนื้อสัตว์ นม เนย เพราะจะสร้างเมือกมัน ไปอุดตันทางเดินหายใจ(หอบหืด) และเลือดลม
อาการภูมิแพ้ที่พบในเด็กมักมีสาเหตุมาจาก การดื่มนมวัว เพราะนมวัวมีน้ำตาลแลคโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลที่ย่อยยากในลำไส้มนุษย์ โดยหลังจากย่อยเสร็จ ก็จะทำให้เกิดเมือกเกิดลิ่ม อุดตันขวางทางเดินหายใจกลายเป็นโรคหอบหืด หายใจไม่สะดวก ดังนั้น เด็กที่แพ้นมวัว ควรเปลี่ยนไปดื่มนมเปรี้ยวแทน ก็จะได้แคลเซียมและ สารอาหารที่เหมือนกับนมวัว แถมยังได้กรดแลคติกช่วยย่อย และ Probiotic (จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์) ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย
4. หลีกเลี่ยงน้ำเย็น ,ก่อนและหลังอาหาร 20 นาทีหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำในปริมาณมาก (ไม่ควรเกินครึ่งแก้ว) เพื่อส่งเสริมให้น้ำย่อยในกระเพาะมีความเข้มข้นในการย่อยสลายอาหารในแต่ละมื้อ
5. หลีกเลี่ยงน้ำอัดลม ,ขนมหวาน เพราะทำให้ร่างกายเย็น และมีแต่สารแต่งสี แต่งรส แต่งกลิ่น สารกันบูด ไม่มีประโยชน์แก่ร่างกายเลย แถมน้ำตาลยังเป็น อาหารสนับสนุนให้เชื้อโรคที่ไม่ดีเติบโตอีกด้วย
6. ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้อวัยวะภายในของเราได้พักฟื้น และซ่อมแซมร่างกายในส่วนที่สึกหรอ โดยคนที่มีปัญหาสุขภาพ ไม่ควรนอนเกิน 5 ทุ่ม เพราะเป็นเวลาที่พลังชีวิตเคลื่อนสู่เส้นลมปราณของถุงน้ำดีและตับ(นาฬิกาชีวิต) หากพักผ่อนในเวลานี้ ตับก็จะแข็งแรง สุขภาพก็จะฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว
7. ปรับทัศนติ ในการดูแลรักษาสุขภาพด้วยวิธีธรรมชาติ โดยต้องทำความเข้าใจใหม่ว่า การเกิดอาการแพ้ต่างๆ เช่น จาม ผื่นคันตามผิวหนัง ตา หรือเพดานเหงือก คือกระบวนการขับของเสียออกจากร่างกาย และฟื้นตัวเอง ด้วยวิธีธรรมชาติของร่างกาย ***อย่าเพิ่งตกอกตกใจรีบหายาแก้แพ้ ยาฆ่าเชื้อมากิน เพราะยาปฏิชีวนะไม่เพียงแต่ฆ่าเชื้อโรคที่ไม่ดีเท่านั้น จุลินทรีย์ที่ดี(Probiotic) ก็ถูกฆ่าด้วยเหมือนกัน เมื่อร่างกายใสสะอาด ประดุจบ้านที่ไร้คนดูแล โจรผู้ร้าย (เชื้อโรคที่ไม่ดี) ก็เข้าสู่ร่างกายได้ง่าย เป็นปัญหาที่วนเวียนทำให้ต้องกินยาไปเรื่อยๆไม่มีวันจบสิ้น อีกทั้งผลลัพย์สุดท้ายที่ได้ ก็คือตับและไตพัง เพราะต้องทำงานหนัก เกิดเป็นโรคไตวาย และ มะเร็งตับอีกด้วย
***Probiotic (จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์) คือ ทางออกของรักษาโรคภูมิแพ้ในยุคปัจจุบัน เป็นที่ยอมรับของวงการแพทย์สากลโดย มีการค้นพบว่า คนที่มีสุขภาพแข็งแรง มักพบ Probiotic ในลำไส้มากกว่า คนที่มีปัญหาสุขภาพโดยเฉพาะโรคภูมิแพ้ ดังนั้นการเติม Probiotic แบบซื้อกิน จึงเป็นทางลัดของผู้ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้อีกวิธีนึงที่รวดเร็ว ซึ่งในท้องตลาดก็สามารถ หาซื้อได้ตามร้านขายยา อาหารเสริมทั่วไป หรือ ถ้าจะให้สะดวกกว่านั้นก็ นมเปรี้ยวยังไงล่ะ…
เพิ่มเติม : การทานสาหร่ายเกลียวทอง ช่วยเพิ่มจำนวนของ Probiotic ในลำไส้ได้มากกว่าคนที่ไม่ได้ทานถึง 200% และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ แอดมิน Herbale แนะนำให้ทานสาหร่ายเกลียวทองคู่กับนมเปรี้ยวทุกครั้ง