คำพิพากษาฎีกา ที่ 9755 / 2554
คดีแรงงานเป็นคดีที่มีลักษณะพิเศษ ต่างจากคดีแพ่งทั่วไป คำให้การจำเลยจะยื่นเป็นหนังสือจะไม่ให้การก็ได้
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2549 จำเลยมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกับโจทก์ทั้งสอง กล่าวคือ เมื่อเดือนธันวาคม 2548 โจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยและเป็นสมาชิกของโจทก์ที่ 1 ได้ถูกผู้อื่นทำร้ายร่างกายด้วยของมีคนจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงเทพพระประแดง เมื่อโจทก์ที่ 2 หายป่วยแล้ว และจำเลยได้เรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลกับโจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 45,000 บาท ซึ่งจำเลยได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับโรงพยาบาลกรุงเทพพระประแดงไปก่อนแล้ว จำเลยเป็นคู่สัญญากับโรงพยาบาลกรุงเทพพระประแดง โดยตกลงให้ลูกจ้างทุกคนเข้ารักษาพยาบาลได้ไม่จำกัดอัตราค่ารักษาพยาบาล และจำเลยจะเป็นผู้จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ลูกจ้างทั้งหมด ไม่มีการเรียกเก็บเงินค่ารักษาพยาบาลจากลูกจ้างในภายหลัง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการขัดต่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่มีไว้กับโจทก์ทั้งสองซึ่งเคยปฏิบัติเรื่อยมา โดยจำเลยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อตกลงนั้นได้ ต่อมาวันที่ 26 ธันวาคม 2549 โจทก์ที่ 2 ได้ลาออกจากการเป็นลูกจ้างจำเลยได้หักเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของโจทก์ที่ 2 เพื่อใช้หนี้ค่ารักษาพยาบาลที่จำเลยจ่ายให้โรงพยาบาลกรุงเทพพระประแดง เป็นเงิน 39,592 บาท การกระทำของจำเลยขัดต่อกฎหมาย โจทก์ที่ 2 ได้บอกกล่าวให้จำเลยคืนเงินดังกล่าวหลายครั้งแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยคืนเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่จำเลยหักไปจากโจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 39,592 บาท และเงินค่าจ้างที่จำเลยหักไปจากโจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 1,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 40,592 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 2
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ผิดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกับโจทก์ทั้งสองทั้งไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง กล่าวคือ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2548 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา โจทก์ที่ 2 ได้ถูกบุคคลภายนอกทำร้ายด้วยของมีคมจนได้รับบาดเจ็บเหตุเกิดนอกที่ตั้งของโรงงานจำเลยประมาณ 2.5 กิโลเมตร และได้มีการประสานนำส่งโรงพยาบาลกรุงเทพพระประแดง ต่อมาหลังจากตรวจสอบแล้วปรากฏว่าโรงพยาบาลตามสิทธิประกันตนของโจทก์ที่ 2 คือ โรงพยาบาลเมืองสมุทรปากน้ำ ซึ่งได้มีการประสานเพื่อนำโจทก์ที่ 2 ส่งโรงพยาบาลตามสิทธิ แต่ปรากฏว่าโรงพยาบาลกรุงเทพพระประแดงไม่ส่งตัวให้โรงพยาบาลตามสิทธิ เนื่องจากจะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลก่อนจำนวน 68,603 บาท โดยแบ่งเรียกเก็บจากสำนักงานประกันสังคม จำนวน 20,500 บาท สำหรับส่วนที่เกินโจทก์ที่ 2 และภรรยาไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลดังกล่าว จำเลยจึงต้องทดรองจ่ายเงินแทนโจทก์ที่ 2 ไปก่อน จำนวน 48,103 บาท เกี่ยวกับเงินทดรองจ่ายดังกล่าว จำเลยไม่เคยมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือมีแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุส่วนตัวภายนอกที่ทำงานและไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน นอกจากนี้หลังจากโจทก์ที่ 2 หายเป็นปกติแล้วได้ตกลงกับจำเลยให้หักเงินที่จำเลยทดรองจ่าย จำนวน 44,792 บาท คืนไปจากค่าจ้าง ต่อมาโจทก์ที่ 1 ได้ทำหนังสือคัดค้าน จำเลยจึงได้จ่ายเงินที่เรียกเก็บค่าเงินทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลคืนแก่โจทก์ที่ 2 แล้ว ต่อมาโจทก์ที่ 2 ได้ลาออกจากการเป็นลูกจ้างของจำเลย โจทก์ที่ 2 ได้ตกลงจ่ายเงินที่ได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จำนวน 39,592 บาท แก่จำเลย เงินดังกล่าวเป็นการใช้หนี้ค่ารักษาพยาบาลที่จำเลยได้ทดรองจ่ายแทนโจทก์ที่ 2 ไป มิใช่การหักเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2548 โจทก์ที่ 2 ลูกจ้างของจำเลยถูกทำร้ายร่างกายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน และเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงเทพพระประแดงเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 44,792 บาท ซึ่งจำเลยได้ทดรองจ่ายให้ไปก่อน ต่อมาโจทก์ที่ 2 ย้ายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเมืองสมุทรปากน้ำ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลตามสิทธิประกันตน ต่อมาโจทก์ที่ 2 ทำหนังสือรับรองผ่อนชำระเงินคืนแก่จำเลย จากนั้นจำเลยได้ทำหนังสือหักเงินค่าจ้างโจทก์ที่ 2 เป็นรายเดือน โจทก์ที่ 1 ได้คัดค้านการที่จำเลยหักค่าจ้างของโจทก์ที่ 2 จำเลยจึงได้คืนเงินค่าจ้างที่หักไปพร้อมดอกเบี้ยคืนโจทก์ที่ 2 แล้ว ต่อมาโจทก์ที่ 2 ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นพนักงานของจำเลย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2549 โจทก์ที่ 2 มีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเงิน 131,478.99 บาท ซึ่งมีการออกเช็คสั่งจ่ายให้โจทก์ ที่ 2 จำนวน 2 ฉบับ จำนวนเงิน 91,886,99 บาท และ 39,592 บาท ตามลำดับโดยโจทก์ที่ 2 ได้รับเงินตามเช็คเพียงฉบับเดียวเป็นเงิน 91,886.99 บาท ส่วนเช็คอีกฉบับเป็นเงิน 39,592 บาท จำเลยนำไปชำระค่ารักษาพยาบาลที่ได้ทดรองจ่ายให้แก่โจทก์ที่ 2 แล้ว วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ที่ 2 ได้จ่ายเช็คจำนวนเงิน 39,592 บาท แก่จำเลยเป็นการหักเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของโจทก์ที่ 2 หรือไม่ โดยเห็นควรพิจารณาก่อนว่าจำเลยมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเรื่องค่ารักษาพยาบาลว่าให้ลูกจ้างจำเลยเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงเทพพระประแดง โดยจำเลยจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมด หรือไม่เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยไม่เคยมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างให้ลูกจ้างเข้ารักษาพยาบาล โดยจำเลยจะจ่ายให้ทั้งหมดโดยไม่จำกัดอัตราค่ารักษาพยาบาล ดังนั้นการที่จำเลยจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้โจทก์ที่ 2 จึงเป็นการทดรองจ่ายแทน ซึ่งโจทก์ที่ 2 มีหน้าที่จะต้องจ่ายเงินดังกล่าวแก่จำเลย ส่วนปัญหาที่ว่า โจทก์ที่ 2 ให้เช็คจำนวนเงิน 39,592 บาท แก่จำเลยเป็นการหักเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของโจทก์ที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บังคับ ขู่เข็ญ หรือกระทำการใดเพื่อขืนใจให้ได้เช็คมา จึงฟังได้ว่าโจทก์ที่ 2 ได้โอนเช็คให้จำเลยเอง เพื่อชำระหนี้ที่จำเลยทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลแทนโจทก์ที่ 2 จึงมิใช่การหักเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้าง
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่า จำเลยมิได้อ้างส่งหนังสือมอบอำนาจของผู้เรียงและพิมพ์คำให้การในขณะที่ยื่นคำให้การและในขณะพิจารณาคดี คำให้การของจำเลยจึงมิชอบด้วยกฎหมายในเรื่องตัวการตัวแทน จึงถือว่าเป็นโมฆะและจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การเห็นว่า คดีแรงงานเป็นคดีที่มีลักษณะพิเศษและต่างไปจากคดีแพ่งโดยทั่วไป ทั้งการดำเนินคดีควรเป็นไปโดยสะดวก ประหยัด รวดเร็ว เสมอภาค และเป็นธรรม สำหรับคำให้การนั้นจำเลยจะยื่นเป็นหนังสือหรือจะไม่ให้การก็ได้ ซึ่งคำให้การในคดีนี้ก็มีการลงลายมือชื่อของกรรมการร่วมกันและประทับตราสำคัญของจำเลย ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งรับคำให้การของจำเลยไว้พิจารณาดำเนินการจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางจะต้องกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติมว่า จำเลยได้เปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างของโจทก์ทั้งสองหรือไม่ จึงจะเป็นไปตามคำฟ้องเห็นว่า คดีนี้ก่อนที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่กำหนดไว้ในเรื่องการหักเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของโจทก์ที่ 2 ก็ได้พิจารณาวินิจฉัยก่อนแล้วว่า จำเลยมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเรื่องค่ารักษาพยาบาลหรือไม่ ดังนั้น แม้ว่าศาลแรงงานจะมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง แต่ก็ได้พิจารณาวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าวไว้แล้วในคำพิพากษาจึงหาจำต้องกำหนดเป็นประเด็นดังที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ไม่ อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
สำหรับอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองที่ว่า คำเบิกความของนางปราณี พึ่งบุญ ณ อยุธยา ผู้รับมอบอำนาจของจำเลยที่ระบุว่า จำเลยไม่มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเรื่องการจ่ายค่ารักษาพยาบาลนั้น รับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ ทั้งโจทก์ที่ 1 กับจำเลยมีข้อตกลงที่ได้ปฏิบัติกันมาตั้งแต่แรกใช้บังคับได้เรื่อยมาอันเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเรื่องค่ารักษาพยาบาล แม้ว่าจะไม่มีบันทึกไว้โดยแจ้งขัดก็ตาม กับที่ว่าการที่จำเลยให้โจทก์ที่ 2 ลงชื่อมอบอำนาจให้ตัวแทนจำเลยไปรับเช็คจำนวนเงิน 39,592 บาท นั้น เป็นการฉ้อฉลเพื่อที่จะหักเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของโจทก์ที่ 2 เห็นว่า ข้ออุทธรณ์ดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองเป็นการโต้แย้งคัดค้านดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่วินิจฉัยว่าจำเลยไม่เคยมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างให้ลูกจ้างเข้ารักษาพยาบาล โดยจำเลยจะจ่ายให้ทั้งหมดโดยไม่จำกัดอัตราค่ารักษาพยาบาล กับโจทก์ที่ 2 ได้โอนเช็คให้จำเลยเอง โดยไม่ปรากฏว่ามีการบังคับ ขู่เข็ญ หรือการกระทำการใดเพื่อขืนใจให้ได้เช็คมาเพื่อชำระหนี้ จึงมิใช่การหักเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของโจทก์ที่ 2 จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน