คำพิพากษาฎีกา ที่ 6779 / 2554
ศาลฎีกาให้ย้อนสำนวน อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลฎีกาที่ถึงที่สุดแล้ว เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 2523 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งสุดท้ายเป็นกรรมการบริหารและผู้จัดการทั่วไป ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 102,506 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ต่อมาวันที่ 30 มีนาคม 2543 จำเลยเลิกจ้างโจทก์อ้างว่า ในการตรวจนับสินค้าคงคลังเมื่อสิ้นปี 2540 กลางปีและสิ้นปี 2541 ปรากฏว่าสินค้าขาดหายไป 52,609 กิโลกรัม เป็นเงิน 6,261,222.15 บาท และเอกสารในการตรวจนับสินค้าได้สูญหายไปขณะที่อยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาควบคุมและกำกับดูแลแผนกคลังสินค้าและจัดส่ง นอกจากนี้โจทก์ได้อนุมัติให้ออกใบส่งของชั่วคราวและส่งสินค้าลวดทองแดงอาบน้ำยาแก่ลูกค้าปีละ 1,000 ใบ โดยมิได้ส่งสำเนาใบส่งของชั่วคราวให้แก่แผนกบัญชี เป็นสาเหตุให้จำเลยไม่สามารถตรวจสอบสินค้าได้ เป็นการผิดระเบียบ โจทก์ออกใบกำกับภาษีย้อนหลังการส่งสินค้าเป็นเวลานาน ทำให้จำเลยเรียกเก็บเงินจากลูกค้าล่าช้าและไม่ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร และโจทก์ขายสินค้าแก่บริษัทเอส.ซี.สยามซัพพลาย จำกัด โดยรับชำระราคาเป็นเช็ค แต่เมื่อเช็คถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์มิได้เรียกเก็บดอกเบี้ยจากลูกค้า ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเป็นเงิน 1,000,000 บาทเศษ ซึ่งไม่เป็นความจริงจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำความผิด และมิได้บอกกล่าวล่วงหน้า เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน เป็นเงิน 1,025,060 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เป็นเงิน 105,923 บาท การเลิกจ้างดังกล่าวทำให้โจทก์เสียหาย คิดเป็นเงิน 30,000,000 บาท และจำเลยต้องรับผิดจ่ายเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในส่วนของจำเลยแก่โจทก์เป็นเงิน 561,192 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 105,923 บาท เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 561,192 บาท และค่าเสียหาย 30,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้าง และให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 1,025,060 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กับเงินเพิ่มร้อยละ 15 ทุก ๆ 7 วันนับแต่วันเลิกจ้างถึงวันฟ้องเป็นเงิน 9,686,817 บาท และนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ แก้ไขคำให้การ ฟ้องแย้งและแก้ไขฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายลวดทองแดงอาบน้ำยา จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2524 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการทั่วไป ส่วนการขายและการตลาด ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 102,306 บาท มีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลและบริหารงานฝ่ายขายและการตลาด รวมทั้งบริหารงาน กำกับดูแลแผนกคลังสินค้าและจัดส่ง แผนกบรรจุหีบห่อ อนุมัติการขายสินค้า การนำสินค้าออกจากบริษัท การออกใบกำกับภาษีและเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากในการตรวจนับสินค้าคงคลังเมื่อสิ้นปี 2540 และกลางปี 2541 ปรากฏว่าสินค้าขาดหายไป 52,609.54 กิโลกรัม เป็นเงิน 6,261,222.15 บาท และในการตรวจนับสินค้าคงคลังเมื่อสิ้นปี 2541 ปรากฏว่าสินค้าขาดหายไปอีก 2,681.51 กิโลกรัม เป็นเงิน 294,966.10 บาท นอกจากนี้ยังปรากฏว่าเอกสารการตรวจนับสินค้าหรือแท็ก ซึ่งระบุชนิดของสินค้าและสถานที่เก็บสินค้าอยู่ในความครอบครอบของแผนกคลังสินค้าสูญหายไป 40 ใบ จำเลยตรวจสอบแล้วพบว่ามีสินค้าบางรายการขาดหายไป หรือสินค้าในคลังสินค้าไม่ตรงกับเอกสารการตรวจนับ แผนกคลังสินค้าและจัดส่งได้ทำลายเอกสารการตรวจนับสินค้า 40 ใบ ซึ่งอยู่ในความควบคุมดูแลและรับผิดชอบของโจทก์ โจทก์ได้ออกใบส่งของชั่วคราว ซึ่งเป็นเอกสารในการนำสินค้าออกจากบริษัทปีละประมาณ 1,000 ใบ โดยไม่ส่งสำเนาใบส่งของชั่วคราวให้แก่แผนกบัญชี เป็นการผิดระเบียบและไม่ถูกต้องตามหลักบัญชี ส่งผลต่อการตรวจสอบควบคุมสินค้าและทำให้การลงบัญชีคลาดเคลื่อนเสียหายแก่จำเลย หลังจากโจทก์อนุมัติออกใบส่งของชั่วคราวแล้ว ได้ออกใบกำกับภาษีเพื่อเรียกเก็บเงินจากลูกค้าล่าช้า เป็นเหตุให้จำเลยเรียกเก็บเงินจากลูกค้าล่าช้าและขาดประโยชน์ที่จะได้รับดอกเบี้ยในกรณีที่ลูกค้าไม่ชำระหนี้ตามกำหนด ทั้งฝ่าฝืนประมวลรัษฎากร โจทก์ขายสินค้าให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเอส.ซี.สยามซัพพลาย แอนด์ซาว หรือบริษัทเอส.ซี.สยามซัพพลาย จำกัด หลายครั้งและรับชำระหนี้เป็นเช็ค แต่เมื่อเช็คถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ก็ละเว้นไม่เรียกเก็บดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อปี จากลูกค้ารายนี้ ทำให้จำเลยไม่ได้รับดอกเบี้ยเป็นเงิน 1,016,891.23 บาท โจทก์อนุมัติสั่งขายสินค้าเดดสต็อกไปในราคาต่ำกว่าราคาขายปกติ ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเป็นเงิน 1,672,739.87 บาท และโจทก์อนุมัติให้ขายสินค้าเป็นเงิน 2,285,102.11 บาท แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดรุ่งทิพย์การไฟฟ้า ซึ่งเป็นบุคคลล้มละลาย จำเลยจึงไม่สามารถติดตามให้ลูกค้ารายนี้ชำระหนี้ได้ ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย การกระทำดังกล่าวของโจทก์เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง หรือจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย หรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม กรณีที่ร้ายแรง จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพิ่มขวัญมั่นคงจดทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพิ่มขวัญมั่นคงจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากจำเลย โจทก์จะต้องไปขอรับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในส่วนของจำเลยจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพิ่มขวัญมั่นคง ข้อ 9.4.2 จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในส่วนของจำเลยแก่โจทก์ การกระทำของโจทก์ดังกล่าวทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้น 11,530,921.46 บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 11,530,921.46 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เดิมจำเลยจัดเก็บข้อมูลคลังสินค้าโดยบุคคลเป็นผู้ดำเนินการอันเป็นระบบที่ใช้มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท ต่อมาจำเลยนำระบบบาร์โค้ดและโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาใช้จัดเก็บข้อมูลคลังสินค้า ด้วยความคลาดเคลื่อนของระบบข้อมูลคลังสินค้าที่นำมาใช้ใหม่ทำให้ข้อมูลคลังสินค้าของแผนกบัญชีและแผนกคลังสินค้าของจำเลยมีความคลาดเคลื่อนไม่ตรงกัน การตรวจนับสินค้าระหว่างปี 2540 ถึงปี 2541 จึงมีความคลาดเคลื่อนโจทก์มิได้ทำให้จำเลยเสียหายแต่อย่างใด เมื่อปี 2540 บริษัทเอส.ซี.สยามซัพพลาย จำกัด ขาดสภาพคล่อง แต่บริษัทดังกล่าวติดต่อค้าขายกับจำเลยเป็นเวลานานกว่า 13 ปี มียอดสั่งซื้อสินค้าสูงสุด ไม่มีปัญหาด้านบัญชีหรือหนี้สูญ บริษัทดังกล่าวขอผ่อนปรนการชำระหนี้มาโดยตลอด โจทก์จำเป็นต้องผ่อนปรนการเก็บหนี้สินที่ค้างชำระ โดยลดจำนวนเงินจำหน่ายสินค้าและเวลาการชำระหนี้เพื่อให้บริษัทดังกล่าวเป็นลูกค้าที่ดีของจำเลยต่อไป โดยยังคงมีหนี้ค้างชำระเพียง 5,000,000 บาท ถึง 6,000,000 บาท นับเป็นจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับยอดหนี้ซึ่งมีอยู่เดิม จำเลยไม่มีระเบียบให้เรียกเก็บดอกเบี้ยจากยอดหนี้ที่ค้างของลูกหนี้อัตราร้อยละ 10 ต่อปี ซึ่งบริษัทดังกล่าวรับว่าจะชำระดอกเบี้ยให้เมื่อชำระต้นเงินแล้ว สินค้าซึ่งผลิตจากโรงงานโดยปกติจะมีสินค้าบางส่วนไม่ได้มาตรฐาน ทำให้การขายสินค้าด้วยคุณภาพหรือเดดสต็อกไม่อาจขายได้อย่างสินค้าทั่วไป จำเลยติดต่อทางธุรกิจกับห้างหุ้นส่วนจำกัดรุ่งทิพย์การไฟฟ้า มาเป็นเวลานานกว่า 13 ปี โดยห้างดังกล่าวสั่งซื้อสินค้าและชำระหนี้ค่าสินค้าแก่จำเลยสม่ำเสมอ ไม่มีปัญหาทางการเงิน แต่เมื่อโจทก์ทราบว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดรุ่งทิพย์การไฟฟ้า มีปัญหาทางการเงิน ก็ได้มอบหมายให้ทนายความดำเนินคดี การปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 1,025,060 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก และยกฟ้องแย้ง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิจารณาแล้ว พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์แล้วให้ศาลแรงงานกลางพิจารณากำหนดค่าเสียที่โจทก์ต้องรับผิดแก่จำเลยตามฟ้องแย้งแล้ว พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้โจทก์ชำระค่าเสียหายแก่จำเลย 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้ง (วันที่ 23 สิงหาคม 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่โจทก์อุทธรณ์ทำนองว่า การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์ชำระค่าเสียหายแก่จำเลย 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้ง (วันที่ 23 สิงหาคม 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาสืบเนื่องมาจากการที่ศาลฎีกาพิพากษาให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางกำหนดค่าเสียหายซึ่งคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวได้พิจารณาพิพากษาในข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังยุติไปแล้ว แต่ศาลฎีกากลับมิได้ถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยมา คำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวจึงขัดต่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานกลางและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 และมาตรา 56 วรรคสอง ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย จึงมีผลทำให้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางที่พิพากษาให้โจทก์ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ย ไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วยเช่นกันและที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยในคดีว่า พฤติการณ์ของโจทก์มีเหตุสมควรและเพียงพอที่จำเลยจะไม่ไว้วางใจโจทก์ให้ทำงานต่อไปและถือว่าเป็นการกระทำอื่นอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต การที่จำเลยเลิกจ้างจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้น โจทก์ไม่อาจเห็นพ้องด้วยเพราะเมื่อข้อเท็จจริงยุติแล้วว่าโจทก์มิได้กระทำผิดการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และที่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าการที่โจทก์งดเว้นไม่เรียกดอกเบี้ยจากบริษัทเอส.ซี.สยามซัพพลาย จำกัด เป็นเหตุให้จำเลยเกิดความคลางแคลงใจในการทำงานของโจทก์นั้น เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวน นอกจากนี้โจทก์อุทธรณ์ทำนองว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจากจำเลย และโจทก์เรียกเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 15 ของค่าชดเชยทุกระยะเจ็ดวันด้วย เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ล้วนแต่โต้แย้งคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งถึงที่สุดไปแล้วและคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางฉบับเดิม และไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดที่อนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์หรือฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลฎีกาได้อีก อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฉะนั้นที่โจทก์อุทธรณ์ว่าคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางที่พิพากษาให้โจทก์ชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยการอุทธรณ์โตแย้งคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งถึงที่สุดไปแล้วนั้น จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์