คำพิพากษาฎีกา ที่ ๑๕๙๐๔/๒๕๕๓
สัญญาค้ำประกันการทำงาน ระบุตำแหน่งที่ค้ำประกันไว้ ภายหลังเปลี่ยนแปลงโยกย้ายตำแหน่งใหม่ ผู้ค้ำประกันไม่ต้องร่วมรับผิด จากการกระทำผิดของลูกจ้างในตำแหน่งงานใหม่
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด ได้มอบอำนาจและมอบอำนาจช่วงให้นางทัศนีย์ เอื้อทวีสกุล ดำเนินคดีแทนตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑ ถึง ๓ จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๑๙ ถึงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๓๗ ตำแหน่งสุดท้ายเป็นเลขานุการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสฝ่ายการพาณิชย์ จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ ๑ กับโจทก์โดยตกลงว่า หากจำเลยที่ ๑ กระทำความเสียหายแก่โจทก์ไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ จำเลยที่ ๒ จะรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นปรากฏตามสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๔ ในการปฏิบัติหน้าที่จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่จัดทำคำสั่งออกบัตรโดยสารลดราคาพิเศษตามที่มีคำขอผ่านผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสฝ่ายการพาณิชย์ ส่งให้แผนกขายบัตรโดยสารออกบัตรโดยสารให้ ผู้โดยสารจะรับบัตรโดยสารที่แผนกขายบัตรหรือที่จำเลยที่ ๑ ก็ได้ ในกรณีที่ผู้โดยสารรับบัตรโดยสารจากจำเลยที่ ๑ พร้อมชำระเงินค่าบัตรโดยสาร จำเลยที่ ๑ จะนำเงินดังกล่าวส่งให้ฝ่ายบัญชีโจทก์ต่อไป ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ ถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๓๗ จำเลยที่ ๑ ได้จัดทำคำสั่งออกบัตรโดยสารลดราคาพิเศษให้แผนกออกบัตรโดยสารเพื่อออกบัตรโดยสารแก่ผู้โดยสารรวม ๘๗ ครั้ง ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๕ โดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับเงินค่าบัตรโดยสารทั้งหมดไว้ในนามโจทก์ และจำเลยที่ ๑ ได้เบียดบังค่าบัตรโดยสารจำนวน ๙,๗๙๔,๐๓๐ บาท ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้รับชำระค่าบัตรโดยสาร จำเลยที่ ๑ ทำละเมิดและผิดสัญญาจ้าง ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน โจทก์ทราบการกระทำผิดของจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๗ ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญากับจำเลยที่ ๑ จากการสอบสวนข้อเท็จจริงและพิจารณาโทษทางวินัย จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพว่าได้เบียดบังค่าบัตรโดยสารจำนวนเงิน ๙,๗๙๔,๐๓๐ บาท ไปใช้ประโยชน์ส่วนตนจริง โจทก์จึงมีคำสั่งลงโทษไล่จำเลยที่ ๑ ออกจากงานและให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินโจทก์ได้ติดต่อทวงถามจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๖ ถึง ๙ จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๙,๗๙๔,๐๓๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การและแก้ไขคำให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะผู้มอบอำนาจไม่มีอำนาจ จำเลยที่ ๑ เข้าทำงานเป็นเลขานุการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสฝ่ายการพาณิชย์ ไม่มีหน้าที่จัดทำคำสั่งออกบัตรโดยสานลดราคาพิเศษ ไม่มีหน้าที่รับเงินค่าบัตรโดยสารจากผู้ซื้อบัตรโดยสาร แม้ผู้โดยสารฝากเงินไว้กับจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๑ ยังไม่ได้นำไปจ่ายโจทก์ เงินดังกล่าวยังไม่ใช่เงินของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เบียดบังเอาเงินของโจทก์ไป โจทก์จึงไม่ได้เสียหาย จำเลยที่ ๑ ไม่เคยรับหนังสือทวงถาม โจทก์ออกบัตรโดยสารแก่ลูกค้า โจทก์ต้องติดต่อทวงถามเอาจากลูกค้า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีที่ศาลนี้ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจและผู้มอบอำนาจช่วงให้ฟ้องคดีเป็นลายมือปลอม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันการเข้าทำงานของจำเลยที่ ๑ ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริการภาคพื้น (PASSENGER SERVICE) ไม่ได้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ เข้าทำงานในตำแหน่งเลขานุการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสฝ่ายการพาณิชย์ไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงิน หากจำเลยที่ ๑ รับเงินค่าบัตรโดยสารและเบียดบังเอาเป็นประโยชน์ส่วนตน เป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามตำแหน่ง จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิด หากจำเลยที่ ๑ ทุจริตต้องถือว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อ ทั้งที่รู้ว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงิน แต่ปล่อยปละละเลยจึงเกิดความเสียหายขึ้น จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณา จำเลยที่ ๒ ถึงแก่ความตาย โจทก์ยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกนายวีรวัฒน์ โชติรส ทายาทของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ ๒ เข้าเป็นคู่ความแทน ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งตั้งผู้ถูกเรียกเป็นคู่ความแทน
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทหมาชน จำกัด กรรมการผู้มีอำนาจได้มอบอำนาจให้นายธรรมนูญ หวั่งหลี ดำเนินคดีแทนโจทก์ และนายธรรมนูญได้มอบอำนาจช่วงให้นางทัศนีย์ เอื้อทวีกุล ฟ้องและดำเนินคดีนี้แทนโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๑ เข้าทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ตั้งแต่ปี ๒๕๑๙ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริการภาคพื้น (PASSENGER SERVICE) โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ได้ทำหนังสือค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริการภาคพื้น โดยสัญญาว่าหากจำเลยที่ ๑ ทำความเสียหายแก่โจทก์ไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ จำเลยที่ ๒ จะรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหาย เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๓๐ ผู้อำนวยการฝ่ายการพนักงานได้มีคำสั่งย้ายจำเลยที่ ๑ จากเลขานุการสังกัดสำนักงานภาคพื้นประเทศไทยไปเป็นเลขานุการรองผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการตลาด ต่อมารองผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการตลาดได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสฝ่ายการพาณิชย์ จำเลยที่ ๑ จึงเป็นเลขนุการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสฝ่ายการพาณิชย์ จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่ตามเอกสารหมาย จ.๑๐ ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสฝ่ายการพาณิชย์เป็นผู้มีอำนาจอนุมัติบัตรโดยสารเครื่องบินราคาพิเศษ มีทั้งลดราคา ๕๐ เปอร์เซ็นต์ หรือลด ๗๕ เปอร์เซ็นต์ หรือบัตรโดยสารฟรี ผู้ขอบัตรโดยสารพิเศษจะทำหนังสือขออนุมัติ อำนวยการใหญ่อาวุโสฝ่ายการพาณิชย์อนุมัติแล้ว จำเลยที่ ๑ ในฐานะเลขานุการจะส่งคำสั่งอนุมัติไปยังเจ้าหน้าที่เพื่อพิมพ์คำสั่งออกบัตรโดยสารราคาพิเศษไปยังแผนกออกบัตร หลังจากออกบัตรโดยสารแล้ว โดยหลักผู้โดยสารจะไปรับบัตรโดยสารและชำระราคาที่แผนกออกบัตรโดยสาร แต่ในทางปฏิบัติผู้โดยสารที่ขอบัตรราคาพิเศษนี้ส่วนมากเป็นผู้มีตำแหน่งสูง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารเหล่านี้ จำเลยที่ ๑ จะรับบัตรโดยสารจากแผนกออกบัตรโดยสารมาก่อน แล้วให้ผู้โดยสารรับบัตรและชำระราคาที่จำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยที่ ๑ จึงนำเงินไปส่งให้แผนกออกบัตรโดยสารเพื่อส่งมอบให้ฝ่ายการเงินต่อไป การปฏิบัติเช่นนี้นับว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบ เพราะเลขานุการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสฝ่ายการพาณิชย์ไม่มีอำนาจหน้าที่รับชำระราค่าบัตรโดยสาร แต่ก็ได้ปฏิบัติเช่นว่านี้เรื่อยมาไม่เคยมีปัญหา ต่อมาปรากฏว่าฝ่ายการเงินและบัญชีตรวจสอบพบว่าฝ่ายการพาณิชย์มีหนี้ค่าโดยสารค้างชำระเป็นจำนวนมาก ได้มีหนังสือสอบถามฝ่ายการพาณิชย์ แต่ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสฝ่ายการพาณิชย์ไม่เคยได้รับหนังสือสอบถาม เพราะจำเลยที่ ๑ เก็บหนังสือไว้ไม่ยอมเสนอผู้บังคับบัญชาในที่สุดโจทก์โดยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงขึ้น คณะกรรมการสอบสวนได้สอบปากคำจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๑ ยอมรับว่าได้รับเงินค่าบัตรโดยสารจากผู้โดยสารที่ขอบัตรโดยสารราคาพิเศษไว้และไม่ได้นำเงินไปชำระให้ฝ่ายบัญชีจนยอดหนี้ค้างชำระเป็นจำนวน ๙,๘๔๘,๑๒๕.๔๑ บาท จำเลยที่ ๑ รับว่าได้นำเงินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว คณะกรรมการสอบสวนได้สอบปากคำผู้เกี่ยวข้องและได้รายงานผลการสอบสวนให้กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ทราบ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ได้มีคำสั่งไล่จำเลยที่ ๑ ออกจากงานและให้จำเลยที่ ๑ คืนเงิน ๙,๘๔๘,๑๒๕.๔๑ บาท โจทก์ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญากับจำเลยที่ ๑ พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องจำเลยที่ ๑ ฐานยักยอกและออกหมายจับจำเลยที่ ๑ หลังเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ได้นำเงินไปชำระหนี้โจทก์บางส่วน คงค้างเป็นเงิน ๙,๗๙๔,๐๓๐ บาท โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยที่ ๒ ให้จำเลยที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายในฐานะผู้ค้ำประกัน หนังสือทวงถามได้ส่งถึงจำเลยที่ ๒ โดยชอบแล้ว แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ได้รับบัตรโดยสารจากแผนกออกบัตรโดยสารมาเพื่อส่งมอบให้แก่ผู้โดยสารที่ขอบัตรโดยสารราคาพิเศษ แล้วจำเลยที่ ๑ รับเงินค่าบัตรโดยสารจากผู้โดยสารแล้วไม่นำไปส่งมอบให้แผนกออกบัตรโดยสาร แต่นำเงินไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว แม้การรับเงินเป็นเรื่องกระทำนอกหน้าที่แต่ก็เป็นการฝ่าฝืนระเบียบและผิดสัญญาจ้างแรงงาน ทั้งเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๑ ต้องคืนเงินที่รับไว้แทนโจทก์รวมเป็นจำนวนเงิน ๙,๗๙๔,๐๓๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จำเลยที่ ๒ ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริการภาคพื้น ไม่ได้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ดำรงตำแหน่งเลขานุการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสฝ่ายการพาณิชย์ มีอำนาจหน้าที่ตามที่ระบุไว้ในเอกสารหมาย จ.๑๐ จำเลยที่ ๑ ก็ไม่มีอำนาจหน้าที่สั่งออกบัตรโดยสารหรือรับชำระเงินค่าบัตรโดยสาร การที่ฝ่ายบริหารของโจทก์มอบหมายให้จำเลยที่ ๑ ดำเนินการรวมตลอดทั้งรับชำระค่าบัตรโดยสารแทนโจทก์และปล่อยให้ติดค้างเป็นจำนวนเงินถึงเกือบสิบล้านบาท ทั้งๆ ที่จำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจหน้าที่เช่นนี้เป็นความละเลยบกพร่องและประมาทเลนเล่อของฝ่ายบริหารจัดการของโจทก์จนเป็นโอกาสให้เกิดความเสียหายขึ้น จำเลยที่ ๒ แม้เป็นผู้ค้ำประกัน แต่ก็เป็นบุคคลภายนอกไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับจำเลยที่ ๑ ผู้ยักยอก และไม่ได้มีส่วนผิดที่ปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ ๑ กระทำการเกินอำนาจและนอกหน้าที่ จนมีโอกาสเบียดบังเอาเงินไปเป็นจำนวนมาก หากฝ่ายบริหารมิได้บกพร่องความเสียหายคงไม่เกิดขึ้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๓ ประกอบมาตรา ๖๘๐ เห็นว่าจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่จำเลยที่ ๑ ก่อขึ้นในฐานะผู้ค้ำประกัน จึงพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๙,๗๙๔,๐๓๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (๑๗ สิงหาคม ๒๕๓๘) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ ๒ ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ประการเดียวว่า จำเลยที่ ๒ ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ หรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะมิได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเงิน และการสั่งออกบัตรโดยสารของจำเลยที่ ๑ จะเป็นการกระทำนอกหน้าที่ แต่เมื่อสัญญาค้ำประกันระบุว่า จำเลยที่ ๒ จะรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยที่ ๑ ตามความเป็นจริงแล้ว จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันการทำงานจึงต้องรับผิดด้วย อีกทั้งตามปกติประเพณีการค้ำประกันบุคคลที่ทำงาน เมื่อมีการเลื่อนตำแหน่งหรือย้ายหน่วยงานลูกจ้าง นายจ้างไม่จำต้องแจ้งผู้ค้ำประกันแต่ประการใดนั้น เห็นว่า ตามหนังสือค้ำประกันเอกสารหมาย จ.๘ ระบุว่า “ตามที่บริษัทการบินไทย จำกัด ได้รับนางสาวจุฑารัตน์ ณ สงขลา ไว้เป็นพนักงานในตำแหน่ง PASSENGER SERVICE หากนางสาวจุฑารัตน์ ณ สงขลา กระทำการอันใดเป็นการเสียหายแก่บริษัท ฯ ไม่ว่าด้วยประการใดๆ ข้าพเจ้าจะขอรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของนางสาวจุฑารัตน์ ณ สงขลา ตามความเป็นจริง” จึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ ๒ ยอมผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้ในเมื่อจำเลยที่ ๑ ก่อให้เกิดความเสียหายสำหรับการทำงานในตำแหน่งที่ระบุไว้ในหนังสือค้ำประกัน ดังนั้น ความรับผิดที่จำเลยที่ ๒ จะต้องร่วมชำระหนี้แก่โจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ ๑ จะต้องเป็นกรณีที่จำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาจ้างแรงงานหรือกระทำละเมิดเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานต่อโจทก์ในขณะทำงานตำแหน่ง PASSENGER SERVICE หรือเจ้าหน้าที่บริการภาคพื้นตามที่จำเลยที่ ๒ ระบุในหนังสือค้ำประกัน เอกสารหมาย จ.๘ ดังกล่าว เมื่อปรากฏว่าผู้อำนวยการฝ่ายการพนักงานได้มีคำสั่งย้ายจำเลยที่ ๑จากเลขานุการสังกัดสำนักงานภาคพื้นประเทศไทยไปเป็นเลขานุการรองผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการตลาด และเป็นเลขานุการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสฝ่ายการพาณิชย์ ซึ่งตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสฝ่ายการพาณิชย์เป็นผู้มีอำนาจอนุมัติบัตรโดยสารเครื่องบินราคาพิเศษหรือบัตรโดยสารไม่คิดราคา จำเลยที่ ๑ ในฐานะเลขานุการจะมีหน้าที่ส่งคำสั่งอนุมัติไปยังเจ้าหน้าที่เพื่อพิมพ์คำสั่งออกบัตรโดยสารราคาพิเศษดังกล่าว หรือรับบัตรโดยสารจากแผนกออกบัตรโดยสารมาก่อน แล้วให้ผู้โดยสารมารับบัตรและชำระราคาที่จำเลยที่ ๑ อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบของโจทก์ แต่จำเลยที่ ๑ ก็ยังคงปฏิบัติเรื่อยมา การที่โจทก์ย้ายตำแหน่งของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวไปทำหน้าที่เลขานุการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสฝ่ายการพาณิชย์ จึงเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ สามารถกระทำการทั้งในหน้าที่ตามระเบียบและฝ่าฝืนระเบียบอันเป็นการเพิ่มความเสี่ยงภัยและความรับผิดให้แก่จำเลยที่ ๒ มากขึ้นเกินกว่าที่ระบุไว้ในหนังสือค้ำประกันเอกสารหมาย จ.๘ การกระทำผิดสัญญาจ้างแรงงานหรือกระทำละเมิดเกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงานของจำเลยที่ ๑ จึงมิได้กระทำในขณะทำงานตำแหน่ง PASSENGER SERVICE หรือ เจ้าหน้าที่บริการภาคพื้น แต่ได้กระทำในขณะทำงานตำแหน่งเลขานุการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสฝ่ายการพาณิชย์ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ นั้นจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.