คำพิพากษาฎีกา ที่ ๑๗๕๔ - ๑๗๖๖ / ๒๕๕๓
ค่าเที่ยวที่ได้จากการทำงานในเวลาทำงานปกติถือเป็นค่าจ้าง กรณีมีข้อโต้แย้งกันอยู่ว่า ค่าเที่ยวไม่ถือเป็นค่าจ้างหรือไม่ จึงถือไม่ได้ว่าจงใจหรือเจตนาไม่จ่ายค่าจ้าง
คดีทั้งสิบสามสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๑๓ และเรียกจำเลยทั้งสิบสามสำนวนว่า จำเลย
โจทก์ทั้งสิบสามสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องมีใจความอย่างเดียวกันว่า โจทก์ทั้งสิบสามยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นพนักงานตรวจแรงงาน กลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ ๘ ว่าโจทก์ทั้งสิบสามเป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ ตำแหน่งพนักงานขับรถขนส่งสินค้า ได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน และค่าเที่ยวซึ่งโจทก์ทั้งสิบสามไม่ต้องการให้นำค่าเที่ยวมาคำนวณรวมเป็นค้าจ้าง ขอให้จำเลยที่ ๒ จ่ายค่าจ้างที่ขาดพร้อมเงินเพิ่ม จำเลยที่ ๑ สอบสวนและมีคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานกลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ ๘ ที่ ๘/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๑ วินิจฉัยว่า ค่าเที่ยวที่จำเลยที่ ๒ จ่ายให้แก่โจทก์ทั้งสิบสามถือเป็นค่าจ้าง โจทก์ทั้งสิบสามไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างและเงินเพิ่มจากจำเลยที่ ๒ ตามที่ขอ โจทก์ทั้งสิบสามไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าวเพราะค่าเที่ยวมิได้มีเจตนาที่จะจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติ จึงไม่ใช่ค่าจ้างขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ที่ ๘/๒๕๕๑ และขอให้บังคับจำเลยที่ ๒ จ่ายค่าจ้างค้างจ่ายและเงินเพิ่ม
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การและแก้ไขคำให้การทำนองเดียวกันว่า ค่าเที่ยวที่จำเลยที่ ๒ จ่ายให้แก่โจทก์ทั้งสิบสามเป็นเงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติและเป็นค่าจ้างและจำเลยที่ ๒ จ่ายค่าตอบแทนเพิ่มพิเศษอีกวันละ ๑๐๐ บาท ในวันที่ไม่มีการส่งสินค้าและจ่ายค่าโทรศัพท์อีกเดือนละ ๔๐๐ บาท เมื่อรวมแล้วจึงไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขึ้นต่ำตามกฎหมาย จำเลยที่ ๒ จึงมิได้ค้างจ่ายค่าจ้างหรือเงินเพิ่ม คำสั่งของจำเลยที่ ๑ ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาคดีของศาลแรงงานกลาง โจทก์ที่ ๔ ขอถอนฟ้องศาลแรงงานกลางอนุญาตและสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะโจทก์ที่ ๔
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ที่ ๘/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๑ เฉพาะบางส่วนเป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ จ่ายค่าจ้างที่ยังขาดอยู่ให้แก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๔๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๒๗๐บาท โจทก์ที่ ๓ เป็นเงิน ๑,๔๐๕ บาท โจทก์ที่ ๕ เป็นเงิน ๖๓๐ บาท โจทก์ที่ ๗ เป็นเงิน ๗๑๐ บาท โจทก์ที่ ๘ เป็นเงิน ๑,๑๔๐ บาท โจทก์ที่ ๙ เป็นเงิน ๑,๒๒๘ บาท โจทก์ที่ ๑๐ เป็นเงิน ๗๐ บาท โจทก์ที่ ๑๒ เป็นเงิน ๗๘๐ บาท โจทก์ที่ ๑๓ เป็นเงิน ๔,๔๘๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ในต้นเงินค่าจ้างค้างจ่ายให้แก่โจทก์แต่ละคนนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากนี้ให้เป็นไปตามคำสั่งของจำเลยที่ ๑ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย และให้ยกฟ้องโจทก์ที่ ๖ และโจทก์ที่ ๑๑
โจทก์ทั้งสิบสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งสิบสามเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ตำแหน่งพนักงานขับรถขนส่งสินค้า จำเลยที่ ๒ จ่ายค่าจ้างเป็นรายเดือน และค่าเที่ยวซึ่งกำหนดเป็นอัตราแน่นอนตามระยะทาง โจทก์ทั้งสิบสามเห็นว่าการที่จำเลยที่ ๒ นำค่าเที่ยวมารวมคำนวณเป็นค่าจ้าง โดยถือว่าค่าเที่ยวเป็นค่าจ้างนั้นไม่ถูกต้อง และได้รับค่าจ้างต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ จึงยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ ๑ เพื่อเรียกค่าจ้างค้างจ่ายและเงินเพิ่ม จำเลยที่ ๑ สอบสวนและมีคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน กลุ่มสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ ๘ ที่ ๘/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๑ วินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๒ จ่ายค่าเที่ยวให้แก่โจทก์ทั้งสิบสามโดยกำหนดอัตราไว้แน่นอนว่าเที่ยวหนึ่งจะจ่ายให้เท่าใด ซึ่งดำเนินการโดยคำนวณได้ตามจำนวนเที่ยวในเวลาทำงานปกติ จึงเป็นเงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนในการทำงานและเป็นค่าจ้าง เมื่อรวมกับค่าจ้างรายเดือนแล้ว ไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด จำเลยที่ ๒ ไม่มีค่าจ้างค้างจ่ายหรือต้องจ่ายเงินเพิ่ม โจทก์ทั้งสิบสามได้รับค่าจ้างและค่าเที่ยวเป็นจำนวนเงินตามที่ปรากฏในช่องเงินเดือนและรายได้รวมในเอกสารสรุปรายรับและจำแนกค่าเที่ยว แล้ววินิจฉัยว่า ในการทำงานของโจทก์ในตำแหน่งพนักงานขับรถขนส่งสินค้า นอกจากได้รับค่าจ้างเป็นเงินเดือนจากจำเลยที่ ๒ แล้ว ยังได้รับค่าเที่ยวโดยกำหนดเป็นอัตราแน่นอนตามระยะทาง ค่าเที่ยวจึงเป็นเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเพื่อตอบแทนการปฏิบัติงานตามปกติของลูกจ้าง อย่างไรก็ดีเงินค่าเที่ยวนี้มีทั้งส่วนที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน ทั้งในเวลาทำงานปกติและนอกเวลาทำงานปกติในอัตราส่วนร้อยละ ๓๐ ต่อ ๗๐ ค่าเที่ยวที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณค่าจ้างจึงมีเพียงร้อยละ ๓๐ ของค่าเที่ยวทั้งหมดที่โจทก์ทั้งสิบสามได้รับ เมื่อพิจารณาเงินเดือนและค่าเที่ยวร้อยละ ๓๐ ของค่าเที่ยวของโจทก์ทั้งสิบสามระหว่างเดือนกันยายน ๒๕๔๘ ถึงเดือนตุลาคม ๒๕๕๐ แล้ว จำเลยที่ ๒ ยังค้างจ่ายค่าจ้างส่วนที่ไม่ครบถ้วนตามตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับโจทก์บางราย สำหรับอุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๔ นั้น ข้อเท็จจริงปรากฏอยู่แล้วว่า ศาลแรงงานกลางสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะโจทก์ที่ ๔ ไปแล้ว ตั้งแต่ก่อนพิพากษาคดีนี้ และโจทก์ที่ ๔ ไม่ได้อุทธรณ์คัดค้าน คดีสำหรับโจทก์ที่ ๔ จึงถึงที่สุดโดยไม่มีคดีอยู่ในศาลที่จะพิจารณาพิพากษา โจทก์ที่ ๔ จึงไม่มีสิทธิที่จะอุทธรณ์ต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๗ และมาตรา ๒๒๓ ประกอบ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ ดังนั้น เมื่อโจทก์ที่ ๔ ยื่นอุทธรณ์และศาลแรงงานกลางสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๔ มาด้วยนั้นจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ ข้อ ๒.๑ และ ๒.๒ ว่า ค่าเที่ยวที่จำเลยที่ ๒ จ่ายให้กับโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ นั้นเป็นค่าจ้างหรือไม่ และโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ มีสิทธิได้รับค่าจ้างค้างจ่ายเพียงใด โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ อุทธรณ์ว่าเงินค่าเที่ยวมีทั้งส่วนที่ตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติและนอกเวลาทำงานปกติ ที่ศาลแรงงานกลางนำอัตราค่าเที่ยวร้อยละ ๓๐ และ ๗๐ มาคำนวณเป็นเพียงการประมาณการนั้น ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๕ นิยามคำว่า “ค่าจ้าง” หมายความว่า “เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือระยะเวลาอื่น หรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงานแต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัตินี้” ดังนั้น ค่าจ้างจึงต้องเป็นค่าตอบแทนในการทำงานสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติ เมื่อศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ และจำเลยทั้งสองแถลงรับข้อเท็จจริงร่วมกันตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๒ ว่าค่าเที่ยวนั้นได้จากการทำงานในเวลาทำงานปกติและนอกเวลาทำงานปกติในอัตราส่วน ๓๐ ต่อ ๗๐ ค่าเที่ยวดังกล่าวจึงเป็นเงินที่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ และจำเลยที่ ๒ ตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างและส่วนที่ตอบแทนการทำงานสำหรับระยะเวลาทำงานปกติร้อยละ ๓๐ ตามที่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ และจำเลยทั้งสองแถลงรับข้อเท็จจริงร่วมกัน จึงเป็นค่าจ้าง แต่ส่วนที่ตอบแทนการทำงานนอกเวลาทำงานปกติร้อยละ ๗๐ ไม่เป็นค่าจ้าง และเมื่อศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ซึ่งโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ แถลงไม่ติดใจเรียกร้องค่าจ้างที่ขาดระหว่างเดือนมกราคม ๒๕๔๘ ถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๔๘ และโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ กับจำเลยทั้งสองได้แถลงรับกันตามเอกสารหมาย ล. ๑ ขอให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาตามเอกสารดังกล่าวแล้ว ศาลแรงงานกลางพิจารณาเงินเดือนและค่าเที่ยวที่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ ได้รับตามที่ปรากฏในช่วงเงินเดือนและรายได้รวมในสรุปรายรับและจำแนกค่าเที่ยวตามเอกสารหมาย ล.๑ โดยพิจารณาจากเงินเดือนรวมกับค่าเที่ยวในอัตราร้อยละ ๓๐ ระหว่างเดือนกันยายน ๒๕๔๘ ถึงเดือนตุลาคม ๒๕๕๐ แล้ว จึงพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ บางส่วน โดยให้จำเลยที่ ๒ จ่ายค่าจ้างส่วนที่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้โจทก์แต่ละคนจึงถูกต้องตามเอกสารหมาย ล.๑ และตามที่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ และจำเลยทั้งสองรับข้อเท็จจริงร่วมกันแล้วหาใช่เป็นการประมาณการโดยไม่อาจแยกแยะค่าเที่ยวได้ตามที่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ อุทธรณ์ไม่และเมื่อค่าเที่ยวส่วนร้อยละ ๓๐ เป็นค่าจ้าง ซึ่งศาลแรงงานกลางได้รวมกับเงินเดือนแล้วให้จำเลยที่ ๒ จ่ายส่วนที่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้โจทก์แต่ละคนดังกล่าว จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องจ่ายเงินตามจำนวนที่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ อุทธรณ์ข้อ ๒.๒ อีก อุทธรณ์โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ ข้อที่ ๒.๑ และ ๒.๒ จึงฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยของโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ ข้อ ๒.๓ เป็นข้อสุดท้ายว่าโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มหรือไม่นั้น ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๙ วรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่นายจ้างจงใจไม่คืนหรือไม่จ่ายเงินตามวรรคหนึ่งโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร เมื่อพ้นกำหนดเวลาเจ็ดวันนับแต่วันที่ถึงกำหนดคืนหรือจ่ายให้นายจ้างเสียเงินเพิ่มให้แก่ลูกจ้างร้อยละสิบห้าของเงินที่ค้างจ่ายทุกระยะเวลาเจ็ดวัน” ดังนั้นโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ จะมีสิทธิเรียกร้องเงินเพิ่มจากจำเลยที่ ๒ ได้จะต้องปรากฏว่าจำเลยจงใจไม่จ่ายค่าจ้างในส่วนที่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้แก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ โดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ซึ่งต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีว่าจำเลยที่ ๒ ทราบดีถึงหน้าที่ในการจ่ายค่าจ้างดังกล่าว จำนวนเงินแน่นอนที่จะต้องจ่ายเป็นค่าจ้าง กำหนดรายการมาในการจ่ายค่าจ้าง บุคคลที่จะได้รับค่าจ้าง ทั้งจำเลยที่ ๒ มีความพร้อมที่จะจ่ายค่าจ้างนั้นได้แต่ไม่ยอมจ่ายโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร คดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๒ จัดให้มีประกันรายได้ลูกจ้างไม่ให้ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ส่วนพฤติการณ์แห่งคดีนี้ที่จำเลยที่ ๒ จ่ายเงินเดือนและค่าเที่ยวให้แก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ ซึ่งหากรวมค่าเที่ยวทั้งหมดกับเงินเดือนแล้วจะไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ แต่เมื่อแยกค่าเที่ยวเพียงส่วนร้อยละ ๓๐ รวมกับเงินเดือนแล้วจึงทำให้มีค่าจ้างบางส่วนต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งจำเลยที่ ๒ ยังคงโต้แย้งกับโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ อยู่ ว่าเงินค่าเที่ยวดังกล่าวทั้งหมดเป็นค่าจ้างหรือไม่ ดังนั้น ที่จำเลยที่ ๒ ยังไม่ได้จ่ายค่าจ้างส่วนที่ศาลแรงงานกลางนำค่าเที่ยวร้อยละ ๓๐ รวมกับเงินเดือนแล้วมีบางส่วนที่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้แก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ จงใจไม่จ่ายค่าจ้างส่วนที่ต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำให้แก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ โดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มร้อยละ ๑๕ ทุกระยะเวลาเจ็ดวันให้แก่โจทก์ทั้งสิบสามนั้นจึงชอบแล้ว อุทธรณ์โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ และโจทก์ที่ ๕ ถึงที่ ๑๓ ข้อสุดท้ายนี้จึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน และให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๔.