2 อนุสัญญาฯ ไม้เด็ด'แรงงานไทย'
การยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาล เป็นเสมือนประเพณีปฏิบัติทุกปีในวันแรงงาน วันที่ 1 พฤษภาคม 2556 คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย, สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย และเครือข่ายแรงงาน ร่วมกันจัดกิจกรรมหน้าทำเนียบรัฐบาล พร้อมยื่นข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี 12 ข้อ ได้แก่ สิทธิในการรวมตัว ค่าจ้าง ระบบประกันสังคม สวัสดิการ ฯลฯ แต่ประเด็นสำคัญที่เรียกร้องต่อเนื่องมานานหลายสิบปี นั่นคือขอให้รัฐบาลไทยรับรอง "อนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) ฉบับที่ 87 และ 98" เพื่อให้ได้รับสิทธิในการรวมตัวและเจรจาต่อรองกับนายจ้าง
จากสถิติประจำปี 2555 ผู้มีงานทำในประเทศไทยมีจำนวนประมาณ 38 ล้านคน เป็นแรงงานในภาคอุตสาหกรรมการผลิต การค้า การบริการ 12 ล้านคน งานก่อสร้าง 2.4 ล้านคน ภาคเกษตร 15 ล้านคน ข้าราชการ 1.5 ล้าน รัฐวิสาหกิจ 2.5 แสนคน ที่เหลือเป็นแรงงานนอกระบบ เช่น แม่ค้าข้าวแกง มอเตอร์ไซค์รับจ้าง หาบเร่ แผงลอย ฯลฯ โดยกลุ่มผู้ทำงานที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมมีมากถึง 25 ล้านคน
รายงานล่าสุดของ "ธนาคารแห่งประเทศไทย" วันที่ 4 มีนาคม ที่ผ่านมา ระบุว่า ค่าจ้างแรงงานภาคเกษตร 4,990 บาทต่อเดือน และคาดว่าจะสูงขึ้นอีก 10 บาทเป็น 5,000 บาทต่อเดือนในปี 2556 ส่วนลูกจ้างในภาคอุตสาหกรรม 11,951 บาทต่อเดือน ด้วยรายได้ที่น้อยนิดทำให้พวกเขาต้องดิ้นรนเรียกร้องสิทธิในการเจรจาสวัสดิการต่างๆ จากนายจ้าง เพื่อเป็นหลักประกันสำหรับบั้นปลายชีวิต
ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่คนงานก่อหวอดประท้วง จะเจอ "ขู่ไล่ออก" ไม้เด็ดของเถ้าแก่ หรือกลั่นแกล้งแกนนำให้หยุดงานแบบไม่มีกำหนด ส่วนกลไกรัฐหรือกฎหมายก็ไม่เอื้ออำนวยให้ลูกจ้างไปยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งสหภาพแรงงานได้ง่าย มีระเบียบเงื่อนไขมากมาย และไม่ครอบคลุมถึงแรงงานนอกระบบ ข้าราชการ กลุ่มวิชาชีพ ฯลฯ ส่วนศาลแรงงานเน้นไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมากกว่าคุ้มครองผลประโยชน์คนงานอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น นายจ้างสมองใสเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวจะหันไปใช้ บริษัทรับเหมาช่วงหรือรับจ้างเป็นจ๊อบๆ เฉพาะกิจ แทนการจ้างลูกจ้างประจำ เพื่อประหยัดค่าสวัสดิการต่างๆ มีตัวเลขคำนวณไว้ว่า คนงานไทยเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานในภาคเอกชนเพียง 2.9 แสนคน และภาครัฐวิสาหกิจ 2.3 แสน คน รวมกันได้แค่ 5.2 แสนคน หรือร้อยละ 1.3 ของแรงงานทั้งประเทศ !?!
แต่ถ้ารัฐบาลไทยให้สัตยาบันรับรอง "อนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 และ 98" ทั้งนายจ้างและแรงงานทุกคนไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือเอกชน ในระบบหรือนอกระบบ จะมีสิทธิรวมตัวจัดตั้งหรือเป็นสมาชิกองค์กรที่ปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาได้อย่างอิสระ ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตล่วงหน้าจากหน่วยงานใดๆ โดยประเทศต่างๆ ทั่วโลกให้การรับรองอนุสัญญาฯ นี้แล้ว 152 ประเทศจากสมาชิกทั้งหมด 183 ประเทศ เหลือเพียงไม่กี่ประเทศที่ไม่เข้าร่วม เช่น ไทย เวียดนาม ลาว อินเดีย ฯลฯ
อนุสัญญาฉบับที่ 87 ว่าด้วย "เสรีภาพในการจัดตั้งสมาคม" มีสาระสำคัญ 4 ข้อคือ 1.นายจ้างและคนทำงานทุกคน ทั้งในระบบและนอกระบบมีสิทธิรวมตัวจัดตั้งหรือเข้าเป็นสมาชิกองค์กรของตนอย่างอิสระ ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตล่วงหน้าจากหน่วยงานใดๆ 2.การรวมตัวเป็นไปอย่างเสรี ไม่มีการเลือกปฏิบัติทั้งเชื้อชาติ อาชีพ ศาสนา เพศ อายุ ความคิดเห็นทางการเมือง ฯลฯ 3.เสรีภาพในการยกร่างข้อบังคับและคัดเลือกผู้แทนบริหารองค์กร โดยรัฐต้องไม่ก้าวก่ายแทรกแซง และ 4.สามารถเข้าเป็นสมาชิกองค์กรระดับสหพันธ์ระหว่างประเทศได้
อนุสัญญาฉบับที่ 98 ว่าด้วย "สิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง" มีสาระสำคัญ 3 ข้อ
1.รัฐต้องคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวของลูกจ้าง ไม่ให้นายจ้างแทรกแซง การเจรจาต่อรองต้องได้รับการคุ้มครองจากการถูกเลิกจ้างและการปิดงาน 2.รัฐต้องคุ้มครองแก่องค์กรนายจ้างและองค์กรแรงงานไม่ให้แทรกแซงซึ่งกันและกัน และ 3.ส่งเสริมการใช้กลไกเจรจาให้เป็นประโยชน์ และมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาอย่างจริงจัง
"ป้าวิ" หรือ วิไลวรรณ แซ่เตีย ตัวแทนคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ผู้ต่อสู้เรียกร้องอนุสัญญาฯ ข้างต้น มานานกว่า 10 ปี กล่าวตัดพ้อว่า ทั้งรัฐบาลและนายจ้างมักกีดกันไม่อยากให้คนงานตั้งสหภาพแรงงานสำเร็จ เขากลัวว่าพวกเราจะมีอำนาจต่อรองมากไป ทั้งที่ในต่างประเทศถ้ามีสหภาพจะดีกว่า เพราะมีตัวแทนทั้ง 2 ฝ่ายไปเจรจากัน คนงานทำงานมีความสุขมีสวัสดิการ โรงงานก็ประสบความสำเร็จก้าวหน้า ไม่ต้องหยุดงาน ไม่ต้องประท้วง ไม่ต้องหวาดระแวงซึ่งกันและกัน
"พวกเราต่อสู้เพื่ออนุสัญญานี้มานาน แต่ไม่สำเร็จเพราะขบวนการต่อสู้ของคนงานเราอ่อนแอ ถูกสกัดจากทุกฝ่าย มีการข่มขู่จะไล่ออก จะให้หยุดงาน ป้ายื่นข้อเรียกร้องนี้ให้นายกรัฐมนตรีมาหลายรัฐบาลแล้ว ทุกคนรับปากว่าจะดูแล จะดูแล แรงงานเป็นหัวใจสำคัญช่วยพัฒนาชาติ แต่สุดท้ายก็เงียบไป..." วิไลวรรณ กล่าว
12 ข้อเรียกร้องจากเครือข่ายแรงงาน
1.ให้รัฐบาลรับรองอนุสัญญาฯ ฉบับที่ 87 และ 98 สิทธิรวมตัวและเจรจาต่อรอง
2.ตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงให้ลูกจ้างกรณีปิดกิจการ-เลิกจ้าง-ไม่จ่ายค่าชดเชย
3.ผลักดันกฎหมายพัฒนารัฐวิสาหกิจ
4.แก้ไขพ.ร.บ.ประกันสังคมให้ยืดหยุ่นมากขึ้น
5.การออกกฎหมายรองรับสถาบันความปลอดภัยฯและยกเลิกนำเข้าแร่ใยหิน
6.จัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กและศูนย์เก็บน้ำนมแม่ในสถานประกอบการ
7.ยกเว้นภาษีเงินรายได้ก้อนสุดท้ายของผู้ใช้แรงงาน
8.ยุตินโยบายและกฎหมายละเมิดสิทธิแรงงาน
9.กำหนดค่าจ้างแรงงานที่เป็นธรรม ทบทวนอัตราค่าจ้าง 300 บาทถึงปี 2558
10.คุ้มครองสิทธิแรงงานทั้งแรงงานนอกระบบ และแรงงานข้ามชาติ
11.การแก้กฎหมายเลือกตั้งให้แรงงานมีสิทธิ์เลือกผู้แทนในพื้นที่ที่อาศัยอยู่ ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป
12.สร้างระบบสวัสดิการที่ดีเข้าถึงคนทุกกลุ่มและควบคุมราคาสินค้า