คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๘๒๐/๒๕๕๓
ใช้เวลางาน อุปกรณ์เครื่องมือ และพนักงานทำธุรกิจส่วนตัว ถือเป็นการเบียดบังเวลาและทรัพย์สินของนายจ้าง เพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว ถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เป็นบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ ๔ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน โดยจำเลยที่ ๓ ยังมีจำเลยที่ ๕ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนอีกคนหนึ่งด้วย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ จำเลยทั้งห้าได้ว่าจ้างโจทก์ให้ทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสด้านการจ้างงานและเจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโสเพื่อหาลูกค้าตลอดจนบริหารและจัดการทั่วไปให้แก่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ตกลงค่าจ้างเดือนละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ค่าจ้างดังกล่าวจะถูกหักออกจากค่าคอมมิชชั่นที่โจทก์จะได้รับจากจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งโจทก์จะได้รับค่าคอมมิชชั่นในอัตราร้อยละดังนี้ อัตราร้อยละ ๓๐ จากการจัดเก็บรายได้ที่เกินกว่า ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท อัตราร้อยละ ๓๕ จากการจัดเก็บรายได้ที่เกินกว่า ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท และอัตราร้อยละ ๔๐ จากการจัดเก็บรายได้ที่เกินกว่า ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยทั้งห้าจะร่วมกันจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้แก่โจทก์ทุกไตรมาส ต่อมาวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๔๖ จำเลยทั้งห้าเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิดและเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จึงต้องรับผิดชำระค่าจ้างของเดือนกันยายน ๒๕๔๖ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีถึงวันฟ้องเป็นค่าดอกเบี้ย ๓,๒๔๗ บาท รวมเป็นค่าจ้าง ๑๐๓,๒๔๗ บาท ค่าชดเชย ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีถึงวันฟ้องเป็นค่าดอกเบี้ย ๙,๗๔๐ บาท รวมเป็นค่าชดเชย ๓๐๙,๗๔๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีถึงวันฟ้องเป็นค่าดอกเบี้ย ๔,๘๗๐ บาท รวมเป็นสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๓๐๔,๘๗๐ บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๑๐ วัน จำนวน ๓๓,๓๓๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ถึงวันฟ้องเป็นค่าดอกเบี้ย ๕๔๒ บาท รวมเป็นค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๓๓,๘๗๖ บาท นอกจากนี้ยังค้างชำระค่าคอมมิชชั่นของไตรมาสเดือนเมษายน ๒๕๔๕ จำนวน ๑,๕๒๔,๘๒๗.๐๙ บาท ไตรมาสของเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๕ จำนวน ๒,๘๓๘,๒๐๔.๗๕ บาท ไตรมาสของเดือนตุลาคม ๒๕๔๕ จำนวน ๒,๕๔๕,๒๗๘ บาท ไตรมาสของเดือนมกราคม ๒๕๔๖ จำนวน ๒,๑๓๘,๓๕๑.๒๐ บาท ไตรมาสของเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖ จำนวน ๑,๓๑๔,๑๓๒.๙๗ บาท และไตรมาสของเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖ ที่โจทก์ขอคิดในขั้นต่ำเป็นเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นค่าคอมมิชชั่น ๑๒,๓๖๐,๘๐๔.๐๑ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระค่าคอมมิชชั่น ๑๒,๕๖๑,๔๕๕.๔๑ บาท ค่าจ้างค้างชำระ ๑๐๓,๒๔๗ บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๓๓,๘๗๖ บาท ค่าชดเชย ๓๐๙.๗๔๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๓๐๔,๘๗๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ ที่ ๔ และที่ ๕ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล จำเลยที่ ๒ และที่ ๔ เป็นเพียงผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ ๓ จึงไม่ได้เป็นนายจ้างของโจทก์ จำเลยที่ ๕ เป็นเพียงกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๓ ที่กระทำการในขอบอำนาจจึงไม่ใช่นายจ้างและไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ความจริงแล้ว จำเลยที่ ๓ เพียงผู้เดียวที่ว่าจ้างโจทก์ ขณะที่จำเลยที่ ๓ เลิกจ้าง โจทก์มีสิทธิได้รับค่าคอมมิชชั่น ๗,๗๒๗,๐๕๘.๗๒ บาท แต่โจทก์กลับเบิกค่าคอมมิชชั่นไปจากจำเลยที่ ๓ แล้ว ๑๐,๑๒๕,๕๘๙.๙๐ บาท จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในส่วนนี้อีก การเลิกจ้างก็เนื่องจากโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานโดยใช้เวลาในการทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๓ ไปทำธุรกิจส่วนตัว โดยจัดตั้งบริษัทและได้เข้าไปเป็นกรรมการบริษัทที่จัดตั้งใหม่รวมทั้งใช้อำนาจบังคับบัญชาพนักงานของจำเลยที่ ๓ ให้ทำงานส่วนตัวให้แก่โจทก์และใช้อุปกรณ์เครื่องมือของจำเลยที่ ๓ ด้วย เป็นการกระทำการอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตและเป็นความเสียหายที่ร้ายแรง จำเลยที่ ๓ จึงมีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยกับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยที่ ๓ ได้ชำระค่าจ้างค้างชำระให้แก่โจทก์แล้ว ส่วนวันหยุดพักผ่อนประจำปีโจทก์ก็ใช้สิทธิครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ ๒ ที่ ๔ และที่ ๕ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๓ ว่าจ้างโจทก์จริง โดยตกลงจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้แก่โจทก์สำหรับลูกค้าในประเทศไทยเพียงอัตราร้อยละ ๒๕ ของกำไรขั้นต้น ส่วนอัตราค่าคอมมิชชั่นในประเทศสาธารณรัฐอินโดนิเซียมีการตกลงในอัตราร้อยละ ๑๐ ของกำไร ส่วนที่ไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ อัตราร้อยละ ๑๕ ของกำไรขั้นต้นระหว่าง ๒๐๐,๐๐๐ ถึง ๓๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ อัตราร้อยละ ๒๕ ของกำไรขั้นต้นที่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ อัตราค่าคอมมิชชั่นจึงไม่ถูกต้อง ในการทำงานให้แก่จำเลยที่ ๓ โจทก์เป็นกรรมการผู้มีอำนาจด้วย โจทก์เบิกค่าคอมมิชชั่นล่วงหน้าตลอดมาถึงวันเลิกจ้าง โจทก์มีสิทธิจะได้รับค่าคอมมิชชั่น ๗,๗๒๗,๐๕๘.๗๒ บาท แต่โจทก์กลับเบิกไปแล้วเป็น ๑๐,๑๒๕,๕๘๙.๙๐ บาท เกินไปกว่าที่มีสิทธิจะได้รับ การที่จำเลยเลิกจ้างก็เพราะโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบ และคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ ๓ เนื่องจากโจทก์ใช้เวลางานไปทำธุรกิจส่วนตัวโดยจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่และใช้อำนาจบังคับบัญชาให้พนักงานของจำเลยที่ ๓ ไปทำงานให้แก่โจทก์โดยใช้เครื่องมืออุปกรณ์ในการทำงานของจำเลยที่ ๓ เป็นเหตุให้งานในหน้าที่ของโจทก์บกพร่องและกิจการของจำเลยที่ ๓ มีผลประกอบการลดลง จำเลยที่ ๓ ได้ตักเตือนแล้วแต่โจทก์เพิกเฉย จึงมีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ส่วนสิทธิลาพักผ่อนประจำปีโจทก์ใช้สิทธิไปครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดใดๆ ต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์คืนเงินค่าคอมมิชชั่นที่เบิกไปเกินเป็นเงิน ๒,๓๙๘,๕๒๙.๑๘ บาท ให้แก่จำเลยที่ ๓ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องแย้งไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยทุจริตต่อหน้าที่เพราะได้ทำงานให้แก่จำเลยที่ ๓ ตามที่จำเลยที่ ๔ สั่งการ การเบิกเงินทุกครั้งและค่าคอมมิชชั่นที่ได้รับก็เป็นไปตามที่จำเลยที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๔ เป็นผู้อนุมัติ ไม่ได้เบิกเงินไปเกินตามที่ฟ้องแย้ง จึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณาโจทก์แถลงขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๑ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาต
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๓ ชำระค่าชดเชย ๓๐๙,๗๔๐ บาท ค่าคอมมิชชั่นค้างชำระ ๓๗,๗๐๖.๐๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๙ กันยายน ถึงวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๔๖ คำขออื่นให้ยก ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๔ และที่ ๕ และยกฟ้องแย้งจำเลยที่ ๓
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๓ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ ตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสและเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ ๓ อีกตำแหน่งหนึ่ง มีหน้าที่ในการระดมหารายได้ให้แก่จำเลยที่ ๓ ระหว่างทำงานกับจำเลยที่ ๓ โจทก์เปิดบริษัทนำเข้าและส่งออกเสื้อผ้ากีฬา และศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า แม้จำเลยจะมีนายเดวิท แอนโทนี่ จัดส์ มาเบิกความว่า โจทก์ได้ใช้อุปกรณ์ เครื่องมือและพนักงานของจำเลยบางส่วนทำงานในบริษัทของตนเอง แต่ก็ได้ความจากพยานปากดังกล่าวว่า การที่โจทก์ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ประมาณ ๕๐๐ ฉบับ ภายใน ๓ เดือน มีผลกระทบต่อเซิฟเวอร์ของคอมพิวเตอร์เพียงเล็กน้อยไม่มีผลกระทบรุนแรง การที่โจทก์ไปทำงานส่วนตัวจึงไม่มีเวลาทำประโยชน์ให้แก่จำเลยที่ ๓ ได้เต็มที่และยังได้ใช้เครื่องมืออุปกรณ์ของจำเลยที่ ๓ บางส่วนด้วย แต่ลักษณะงานของโจทก์ไม่เหมือนกับงานของจำเลยจึงไม่มีลักษณะเป็นการประกอบการแข่งขันกับงานของจำเลยซึ่งโจทก์ทำงานอยู่เป็นประจำ จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่หรือฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓ ว่า การที่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๓ เปิดบริษัทนำเข้าและส่งออกเสื้อผ้ากีฬา และโจทก์ได้ใช้อุปกรณ์ เครื่องมือ และพนักงานของจำเลยที่ ๓ บางส่วนทำงานส่วนตัวของโจทก์เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๓ ตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสและเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ ๓ อีกตำแหน่งหนึ่ง มีหน้าที่ในการระดมหารายได้ให้แก่จำเลยที่ ๓ จึงต้องปฏิบัติงานให้แก่นายจ้างในระหว่างทำงานให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตเพื่อหวังจะให้เกิดผลคุ้มค่าจ้างที่นายจ้างให้เป็นการตอบแทน การที่โจทก์ไปเปิดบริษัทนำเข้าและส่งออกเสื้อผ้ากีฬา แม้ลักษณะกิจการของโจทก์จะไม่เหมือนกับกิจการของจำเลยที่ ๓ และไม่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับงานของจำเลยที่ ๓ ที่โจทก์ทำงานอยู่เป็นประจำก็ตาม แต่การที่โจทก์เปิดบริษัทประกอบกิจการดังกล่าวก็ย่อมทำให้โจทก์ไม่สามารถทำงานให้แก่จำเลยที่ ๓ ได้เต็มที่ดังเดิม นอกจากนี้การที่โจทก์ใช้อุปกรณ์ เครื่องมือ และพนักงานของจำเลยที่ ๓ บางส่วนทำงานส่วนตัวของโจทก์โดยปราศจากสิทธิอันชอบ การกระทำของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการเบียดบังเวลาและทรัพย์สินของนายจ้างโดยมิชอบด้วยหน้าที่ เพื่อมุ่งแสวงหาประโยชน์สำหรับตนเองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นนายจ้างย่อมได้รับความเสียหาย การกระทำของโจทก์ดังกล่าวถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ เมื่อจำเลยที่ ๓ เลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๔) อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓ ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๓ ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ๓๐๙,๗๔๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.