แรงงานไทยเผชิญหน้าระบบคุ้มครองไร้มั่นคง
ผอ.วิจัยทีดีอาร์ไอเผย ภาพรวมแรงงานไทยในช่วงที่ผ่านมา เผชิญการเปลี่ยนผ่านหลายเรื่องที่ยังไม่มีการดูแลที่ดีพอ ตั้งแต่ช่วงผลกระทบน้ำท่วมใหญ่ และการปรับค่าจ้าง 300 บาทต่อวันทั่วประเทศ พบว่าแรงงานที่ไหลกลับไปสู่ภาคเกษตรกลับเข้ามาสู่แรงงานในระบบน้อยเกินคาด กลายเป็นการไปเพิ่มจำนวนแรงงานที่ขาดความมั่นคงในภาคเกษตร เป็นทั้งนายจ้างและแรงงานนอกระบบ จึงเรียกร้องให้เพิ่มความคุ้มครองให้ครอบคลุมกลุ่มของคนทำงาน
ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาในภาพรวมดูเหมือนแรงงานได้รับการดูแลมากขึ้นในเรื่องค่าจ้างพื้นฐาน 300 บาท แต่ในด้านการคุ้มครองแรงงานยังเป็นไปอย่างเชื่องช้าและมีความเหลื่อมล้ำลักลั่นกันตั้งแต่การเข้าสู่ระบบ การได้รับบริการจากระบบ และสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากระบบทั้งกองทุนประกันสังคมที่ดูแลเฉพาะแรงงานในระบบหลัก
ส่วนกองทุนเงินทดแทนซึ่งลูกจ้างจะได้รับเมื่อเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุจากการทำงานของลูกจ้างที่ทำงานเต็มเวลา ขณะที่มีนายจ้างที่มีการจ้างแรงงานจำนวนมากเป็นบางช่วงเวลาหรือช่วงฤดูกาล ไม่ใช่ลูกจ้างประจำ ซึ่งแรงงานกลุ่มนี้ไม่ได้รับการสิทธิประโยชน์จากกองทุนเงินทดแทน ถึงเวลาที่เราควรสร้างระบบที่ครอบคลุมไม่เหลื่อมล้ำและเป็นธรรม
"ปัญหาตอนนี้ถ้าดูในรายละเอียดจะเห็นว่า ในรูปแบบการคุ้มครองแรงงานระหว่างแรงงานในระบบกับแรงงานนอกระบบนั้น ยังมีความเหลื่อมล้ำหรือเขย่งกันอยู่ค่อนข้างชัดเจน แรงงานในระบบได้รับการดูแลค่อนข้างดีมาตลอด แต่ในส่วนของแรงงานนอกระบบยังไม่ได้รับการเอาใจใส่ที่จริงจังนัก
จะเห็นได้จากการให้ความคุ้มครองทั้งหลาย ซึ่งก็จะมีข้อยกเว้นอยู่หลายเรื่อง และหากดูสิทธิประโยชน์ระยะยาวที่จะได้รับจากประกันชราภาพ และกองทุนเงินออมแห่งชาติ ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะเริ่มอย่างจริงจังเมื่อไร ข้อตกลงในการเก็บอัตราสมทบก็ยังไม่มีข้อยุติและดำเนินไปอย่างล่าช้า แม้แต่แรงงานในระบบเมื่อถึงวัยได้รับสิทธิประโยชน์ชราภาพ ถึงจะรวมกับเบี้ยยังชีพชราภาพแล้วก็จะมีรายได้เพื่อการยังชีพเพียง 3,000-4,000 บาทต่อเดือน ซึ่งนับว่าไม่เพียงพอกับค่าครองชีพที่เปลี่ยนแปลงไป"
ผอ.วิจัยทีดีอาร์ไอกล่าวว่า คนกลุ่มนี้ได้แก่ คนทำงานบ้าน แรงงานประมง แรงงานภาคเกษตรที่ไม่ได้ทำงานต่อเนื่องตลอดปี หรือทำงานตามฤดูกาล รวมถึงแรงงานพาร์ตไทม์ คนกลุ่มนี้มีสัดส่วนค่อนข้างสูง ล้วนแต่จะมีปัญหาความมั่นคงในระยะยาว ตรงนี้เป็นจุดอ่อนซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องหารูปแบบที่เหมาะสม เพื่อการคุ้มครองแรงงานให้ครอบคลุม เพราะโดยหลักการตามกฎหมายคนทำงานทุกคนมีสิทธิ์ได้รับการคุ้มครอง
โดยกองทุนประกันสังคมควรปรับปรุงการบริหารจัดการกองทุนให้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม สามารถนำสัดส่วนของผลประโยชน์มาสมทบ เพื่อทำให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์มากขึ้น ขณะที่กองทุนเงินทดแทนยังมีช่องว่าง ไม่ครอบคลุมการคุ้มครองของกลุ่มแรงงานพาร์ตไทม์ซึ่งมีจำนวนหลายล้านคน ขณะนี้สำนักงานประกันสังคมกำลังพิจารณาให้ทีดีอาร์ไอศึกษาแนวทางการขยายความคุ้มครองกลุ่มเหล่านี้ ดร.ยงยุทธกล่าวด้วยว่า ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับแรงงานคือ มีการเปลี่ยนผ่านหลายอย่างที่ยังไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอ คือตั้งแต่น้ำท่วมเรื่อยมาจนถึงการขึ้นค่าจ้างรอบแรกและรอบที่ 2 (300 บาททั่วไทย) ซึ่งมีผลกระทบค่อนข้างกว้างขวางต่อภาคอุตสาหกรรมต่างๆ การประเมินผลกระทบรอบแรกพบข้อมูลสำคัญ ภาคเกษตรที่ควรได้รับผล กระทบน้อยกลับกลายเป็นภาคที่ถูกผลกระทบมาก เพราะภาคเกษตรไทยซึ่งยังใช้เทคโนโลยีที่ช่วยผ่อนแรงน้อย ยังคงใช้แรงงานเป็นหลักค่าแรงจึงเป็นต้นทุนสำคัญที่เพิ่มภาระ ในขณะที่ผู้ประกอบการในภาคเกษตรซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายเล็กรายย่อย ไม่มีศักยภาพในการจ่ายค่าจ้างพื้นฐานที่ปรับขึ้นเป็น 300 บาทต่อวัน ประกอบกับสภาพการทำงานที่หนัก เหนื่อย ไม่จูงใจ ไม่มีสวัสดิการในการทำงาน
ดังนั้น ปัญหาของภาคเกษตรเผชิญปัญหาต้นทุนสูง พร้อมๆ กับการยังขาดแคลนแรงงาน และในด้านการคุ้มครอง แรงงานภาคเกษตรส่วนใหญ่คือแรงงานอายุมาก อมโรค ในระยะยาวจึงมีปัญหาความมั่นคงในชีวิตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการดูแลสุขภาพ มีเกษตรกรเพียงไม่ถึง 10% ที่จะมีเงินออมเพียงพอจะช่วยเหลือตัวเองได้เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ จึงอยากให้ใส่ใจแรงงานหรือคนทำงานภาคเกษตร ที่สิทธิสวัสดิการยังเหลื่อมล้ำกับแรงงานในระบบและถูกละเลยมาตลอด.
นิด้าโพลล์เผยผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่ยังมีความเป็นอยู่เท่าเดิม หลังขึ้นค่าแรง
ศูนย์สำรวจความคิดเห็นสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์หรือนิด้าโพลล์ เผยผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่ร้อยละ 70.86 ระบุว่าหลังรัฐบาลปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วันตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.56 นายจ้างของตนไม่ได้ปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจเพราะไม่ได้รับกระทบเท่าใดนัก และมีการขึ้นค่าแรง 300 บาท/วันตามนโยบายของรัฐบาล ขณะที่ร้อยละ 9.25 ระบุว่านายจ้างสั่งลดการทำงานล่วงเวลา(Over Time) อีกร้อยละ 8.10 ระบุว่านายจ้างเพิ่มปริมาณงานที่ทำอยู่ต่อวันมากขึ้น ร้อยละ 7.79 ลดจำนวนลูกจ้างลง ร้อยละ 3.78 เพิ่มชั่วโมงการทำงานต่อวันมากขึ้น และร้อยละ 0.23 อื่นๆ เช่น คัดสรรบุคลากรที่มีคุณภาพ ลดสวัสดิการบางอย่าง ปรับการบริหารงานภายใน
สำหรับผลกระทบที่มีต่อการดำเนินชีวิตประจำวันนั้น ผู้ใช้แรงงานร้อยละ 55.16 ระบุว่ายังใช้ชีวิตและความเป็นอยู่เหมือนเดิมเพราะ ปกติก็ได้ค่าแรงขั้นต่ำมากกว่า 300 บาท/วันอยู่แล้ว ส่วนที่ได้มาก็ใช้จ่ายไปวันๆ ไม่มีผลกระทบอะไร ขณะที่ร้อยละ 29.49 ระบุว่า ดีขึ้น เพราะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจึงมีเงินเพียงพอสำหรับในการใช้จ่ายมากขึ้น และบางส่วนก็เหลือเก็บเป็นเงินออม แต่อีกร้อยละ 15.35 ระบุว่า แย่ลงเพราะข้าวของก็มีราคาแพงขึ้นตามไปด้วย และสินค้าบางอย่างก็มีราคาที่แพงมากกว่าปกติ
ส่วนความเห็นกรณีที่รัฐบาลอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ใช้แรงงานร้อยละ 46.79 ระบุว่าไม่เห็นด้วยเพราะทำให้คนไทยตกงานและกังวลในเรื่องความปลอดภัยและความมั่นคงของชาติ มีการอพยพเข้ามาอยู่กันเยอะ ขณะที่ร้อยละ 42.73 เห็นด้วยเพราะคนไทยเลือกงาน งานบางอย่างคนไทยไม่ค่อยชอบทำ เหมาะกับแรงงานต่างด้าวมากกว่า และเป็นการเปิดโอกาสให้กับแรงงานต่างด้าว และเมื่อจำแนกตามระดับระดับการศึกษา พบว่า ผู้ที่จบระดับการศึกษาอนุปริญญาขึ้นไปมีสัดส่วนของผู้ที่เห็นด้วยมากกว่าผู้ที่จบระดับการศึกษาต่ำกว่าอนุปริญญา
เมื่อถามถึงความเห็นเกี่ยวกับการจัดตั้งพรรคแรงงาน และส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมัยหน้า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 64.83 ระบุว่า เห็นด้วย เพราะจะเป็นกระบอกเสียงให้กับผู้ใช้แรงงานในประเทศ มีผู้ใช้แรงงานเยอะ เป็นกระบอกเสียงให้กับผู้ใช้แรงงาน น่าจะเป็นผลดี แต่รองลงมาร้อยละ 13.48 ไม่เห็นด้วย เพราะไม่น่าจะเป็นประโยชน์ เพราะถึงอย่างไรก็สู้สองพรรคการเมืองใหญ่ไม่ได้ และอีกร้อยละ 21.69 ไม่แน่ใจ
ทั้งนี้ นิด้าโพลล์ ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง "แรงงานไทยในยุคข้าวของแพง" ระหว่างวันที่ 25-26 เม.ย.ที่ผ่านมา จากประชาชนทั่วประเทศจำนวน 1,231 ตัวอย่าง เนื่องในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติ 1 พ.ค.ที่กำลังจะมาถึง