แร่ใยหิน...บทพิสูจน์ความจริงใจของรัฐบาล.. เลือกที่จะแคร์สุขภาพคนไทย...หรือ..สุขภาพกระเป๋าพ่อค้า...
มาตรการผลักดันให้ “สังคมไทยไร้แร่ใยหิน” ตามมติครม.เมื่อปี 2554 ที่เห็นชอบแนวทาง ของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ 3 เสนอให้ ยกเลิกการนำเข้าแร่ใยหิน เนื่องจากมีผลการศึกษาของไทยและต่างประเทศชัดเจนว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค ชุมชน และผู้ใช้แรงงาน และแม้ว่าครม.จะมีมติออกมาเช่นนั้น แต่เพื่อให้เอกชนได้ปรับตัว ก็เลยมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมไปศึกษาผลกระทบให้รอบด้าน หลังจากที่มีการห้ามใช้ “แร่ใยหิน”...
แร่ใยหินเป็นส่วนประกอบของวัสดุก่อสร้างหลายอย่าง อาทิ กระเบื้องทนไฟ, กระเบื้องมุงหลังคา, ท่อซีเมนต์, เบรก, คลัตช์, ฉนวนกันความร้อน, กระเบื้องยางปูพื้น, ภาชนะพลาสติก, กระดาษลูกฟูก ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันผู้ผลิตไทยรายใหญ่ เช่น กลุ่มเอสซีจี ฯลฯ ล้วนมีนวัตกรรมล้ำหน้าที่ใช้สารทดแทนแร่ใยหิน ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภคได้หมดแล้ว เหลือเพียงกลุ่มบริษัทเดียวที่ยังคงผลิตกระเบื้องหลังคาที่ยังมีแร่ใยหิน
ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 5 ของผู้นำเข้าแร่ใยหินของโลกทั่วโลก โดยตัวเลขการนำเข้าแร่ใยหินช่วงปี 2553-2554 สูงถึงปีละ 8 หมื่นตัน และหากย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ปรากฏว่า มีการนำเข้าถึงกว่า 1 แสนตัน
“แม้มติครม.จะรักษาประโยชน์ผู้บริโภคอย่างไร แต่ยังผู้ที่มีความพยายามขัดขวางด้วยวิธีต่างๆ นานา เพื่อให้ยืดระยะเวลาการแบนออกไปอีกอย่างน้อย 5 ปี กดดันผ่านหน่วยงานรัฐทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมเปิดสงครามข้อมูลข่าวสารเต็มรูปแบบกลายเป็นเกมผลประโยชน์ทางอุตสาหกรรม ที่ใช้ผู้บริโภคเป็นเดิมพัน”
ปัจจุบันมีเพียง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.)เท่านั้น ที่ทำหน้าที่ในการดูแลผลประโยชน์ ของผู้บริโภค ด้วยการออกประกาศให้สินค้าที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินเป็น “สินค้าที่ควบคุมฉลาก” จำนวน 2 ฉบับ โดยเฉพาะประกาศสคบ.ฉบับที่ 2 เมื่อปี 2553 กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหิน ต้องระบุในฉลากว่า “ระวังอันตรายสินค้านี้มีแร่ใยหิน เป็นส่วนประกอบการได้รับสารนี้เข้าสู่ร่างกายอาจทำให้เกิดมะเร็งและโรคปอด”
ประกาศสคบ.ดังกล่าวได้ถูกกลุ่มผู้ผลิตที่ยังคงมีการใช้แร่ใยหิน ยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขแดง ที่ 1299/2555 เพื่อขอให้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2555 ให้ “ยกฟ้อง” เนื่องจาก 1.การออกประกาศดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 ไม่เป็นการกระทำที่ซ้ำหรือขัดกับพ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 เนื่องจากได้มีการหารือประเด็นข้อกฎหมายกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว 2.การออกประกาศมีการรับฟังข้อมูลทางวิชาการ ตลอดจนข้อเท็จจริงจากนักวิชาการ องค์การอนามัยโลก (WHO) และจากรายงานทางการแพทย์ที่พบผู้ป่วยเสียชีวิตจากการเป็นมะเร็งเยื่อหุ้มปอดนั้น เมื่อดูประวัติย้อนหลังพบว่าเคยทำงานในโรงงานผลิตกระเบื้องมาเป็นระยะเวลานาน และมีหลักฐานว่าผู้ป่วยได้รับสารก่อมะเร็ง 3.ข้อความและคำเตือนนั้น เพื่อมุ่งคุ้มครองผู้บริโภคที่ใช้สินค้าหรือมีความเกี่ยวข้องกับตัวสินค้า ไม่ได้มีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสินค้า จึงถือว่าทำให้ผู้ประกอบการสูญเสียโอกาสในการแข่งขัน