คำพิพากษาฎีกา ที่ ๑๒๘๒๑ - ๑๒๘๒๔ / ๕๓
เปลี่ยนแปลงเวลาการทำงานให้ทำงานเพิ่มขึ้น แต่รวมแล้วไม่เกินจำนวนชั่วโมงต่อสัปดาห์ ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิม ไม่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง
คดีทั้งสี่สำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมการพิจารณาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสี่สำนวนว่าโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๔ ตามลำดับ และให้เรียกจำเลยทั้งสี่สำนวนว่า จำเลย
โจทก์ทั้งสี่สำนวนฟ้องจำเลยเป็นใจความทำนองเดียวกันว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นลูกจ้างจำเลย ทำงานในตำแหน่งหัวหน้าช่าง นักวิเคราะห์ระบบงานคอมพิวเตอร์ หัวหน้าช่างเขียน และหัวหน้าฝ่ายโสตทัศนศึกษา ตามลำดับ จำเลยกำหนดเวลาทำงานปกติของลูกจ้างในแต่ละวัน ระหว่างเวลา ๗.๓๐ ถึง ๑๕.๓๐ นาฬิกา แต่เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๔๙ จำเลยออกประกาศเปลี่ยนแปลงเวลาทำงานจากเดิม เป็นเวลา ๗.๓๐ ถึง ๑๖.๓๐ นาฬิกา โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๙ ประกาศเปลี่ยนแปลงเวลาทำงานของจำเลยดังกล่าว เป็นเหตุให้ลูกจ้างมีเวลาทำงานเพิ่มขึ้นวันละ ๑ ชั่วโมง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง ซึ่งโจทก์ทั้งสี่ผู้เป็นลูกจ้างมิได้ยินยอม ขอให้พิพากษาว่าประกาศเปลี่ยนแปลงเวลาทำงานของจำเลยเป็นโทษแก่ลูกจ้าง และให้เพิกถอนประกาศ คำสั่งดังกล่าว และให้ใช้เวลาทำงานของลูกจ้างเดิมก่อนมีประกาศและคำสั่งเปลี่ยนแปลงการทำงานของจำเลย
จำเลยให้การว่าจำเลยเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย พ.ศ. ๒๕๑๐ มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีหลักสูตรนานาชาติ ระดังชั้นปริญญาโทและปริญญาเอก ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเกี่ยวกับการศึกษาและวิจัยส่วนใหญ่มาจากเงินอุดหนุนและทุนของรัฐบาลไทย และองค์การระหว่างประเทศ กิจการของจำเลยมุ่งเน้นการศึกษาและวิจัยที่ส่งเสริมการพัฒนาทางวิชาการ ไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจ จึงไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ จำเลยมิได้เปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างตามที่โจทก์ฟ้องแต่อย่างใด กล่าวคือ ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่จำเลยทำไว้กับสหภาพแรงงานสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย พ.ศ. ๒๕๒๔ กำหนดชั่วโมงการทำงานไว้ในระเบียบข้อบังคับสำหรับพนักงานจ้างประจำภายในประเทศ ข้อ ๑๑.๑ ว่า ชั่วโมงการทำงานนั้นอาจเป็น ๔๐ ชั่วโมง หรือ ๔๘ ชั่วโมง ต่อหนึ่งสัปดาห์ก็ได้ แล้วแต่ข้อตกลงในการจ้าง ส่วนเวลาการทำงานที่แท้จริงนั้นแล้วแต่ผู้บังคับบัญชากำหนดให้ การกำหนดชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ดังกล่าวจึงขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชาของแต่ละแผนกจะเป็นผู้กำหนดเพื่อให้เหมาะสมแก่ลักษณะงานของแผนกนั้น เดิมผู้บังคับบัญชาแต่ละแผนกได้ยืดหยุ่นเวลาทำงานให้กับพนักงานตามปริมาณงาน ชั่วโมงการทำงาน และความจำเป็นของพนักงานแต่ละแผนก แต่ต้องอยู่ในกรอบของข้อบังคับเกี่ยวกับสภาพการจ้าง คือ สัปดาห์ละ ๔๐ ชั่วโมง หรือ ๔๘ ชั่วโมง ซึ่งในทางปฏิบัติอาจมีการผ่อนปรนให้ทำงานไม่ถึง ๔๐ ชั่วโมง หรือ ๔๘ ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่เนื่องจากในปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการทางการศึกษาและวิจัยของจำเลยนับแต่ พ.ศ. ๒๕๔๖ ถึง ๒๕๔๘ มีรายรับไม่พอกับรายจ่าย ทำให้จำเลยประสบวิกฤตทางการเงิน จำต้องยุบหน่วยงาน และลดพนักงานบางส่วนเพื่อความอยู่รอด และขณะเดียวกันต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานที่เหลืออยู่ จำเลยจึงมีหนังสือให้ผู้บังคับบัญชาของแต่ละแผนกยืดหยุ่นชั่วโมงการทำงาน โดยให้พนักงานปฏิบัติให้ครบชั่วโมงการทำงานตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเป็นสัปดาห์ละ ๔๐ ชั่วโมง หรือ ๔๘ ชั่วโมง เพื่อทดแทนพนักงานที่ขาดหายไปการเปลี่ยนชั่วโมงการทำงานดังกล่าว เป็นอำนาจบริหารงานที่จำเลยสามารถดำเนินการได้ทั้งจำเลยไม่เคยทำสัญญาจ้างกับโจทก์ทั้งสี่ว่าให้เข้าทำงานเวลา ๗.๓๐ ถึง ๑๕.๓๐ นาฬิกา อันเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างอันเป็นโทษแก่ลูกจ้าง หนังสือบันทึกลงวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๔๙ เป็นหนังสือแจ้งให้อาจารย์และพนักงานปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง มิใช่คำสั่งประกาศเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง คำขอของโจทก์ที่ให้เพิกถอนหนังสือดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย พ.ศ. ๒๕๑๐ มีวัตถุประสงค์ดำเนินการทางด้านการศึกษาในหลักสูตรนานาชาติระดับมหาบัณฑิตขึ้นไปและทำการวิจัยทางด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ตามสำเนากฎบัตรของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียเอกสารหมาย ล.๒ จำเลยมีลูกจ้าง ๔ ประเภท คือ ลูกจ้างประจำในประเทศไทย ลูกจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างที่แน่นอน ลูกจ้างนานาชาติและอาจารย์ โจทก์ทั้งสี่เป็นลูกจ้างของจำเลยประเภทลูกจ้างประจำในประเทศไทย จำเลยเปิดทำการปกติวันจันทร์ถึงวันศุกร์ วันเสาร์และวันอาทิตย์เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๔ จำเลยกับสหภาพแรงงานสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียตกลงทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไว้ ตามสำเนาข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จล.๑ ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวมีผลผูกพันโจทก์ทั้งสี่ด้วย โจทก์ทั้งสี่มีข้อตกลงในการจ้างกับจำเลยโดยตกลงทำงานให้แก่จำเลย ๔๐ ชั่วโมงต่อหนึ่งสัปดาห์ จำเลยโดยหัวหน้างานของโจทก์ทั้งสี่มีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสี่ทำงานในวันทำงานปกติระหว่างเวลา ๗.๓๐ ถึง ๑๕.๓๐ นาฬิกา ตามเอกสารหมาย จล. ๕ , จล. ๖ และ จ. ๗ ลูกจ้างของจำเลยที่ทำงานหลังเวลา ๑๕.๓๐ นาฬิกา จะได้รับค่าล่วงเวลาตามเอกสารหมาย ล.๒ ต่อมาวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๔๙ จำเลยได้เปลี่ยนแปลงเวลาการทำงานจากเดิมเป็น ๗.๓๐ ถึง ๑๖.๓๐ นาฬิกา โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๙ ตามบันทึกช่วยจำเอกสารหมาย ล. ๗ คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่ว่า การที่จำเลยประกาศเปลี่ยนแปลงเวลาทำงานจาก ๗.๓๐ ถึง ๑๕.๓๐ นาฬิกา มาเป็น ๗.๓๐ ถึง ๑๖.๓๐ นาฬิกา เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จล. ๑ หรือไม่ และมีเหตุเพิกถอนประกาศคำสั่งที่ให้เปลี่ยนแปลงเวลาทำงานของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จล.๑ ข้อ ๑๑ ชั่วโมงการทำงาน ๑๑.๑ กำหนดว่า “ชั่วโมงการทำงานนั้นอาจเป็น ๔๐ ชั่วโมง หรือ ๔๘ ชั่วโมงต่อหนึ่งสัปดาห์ ก็ได้แล้วแต่ข้อตกลงในการจ้าง ส่วนการทำงานที่แท้จริงนั้นแล้วแต่ผู้บังคับบัญชาจะกำหนดให้” จากข้อตกลงดังกล่าวเห็นได้ว่าจำเลยกับสหภาพแรงงานสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ตกลงชั่วโมงการทำงานต่อหนึ่งสัปดาห์ไว้แน่นอนแล้วคือ ๔๐ ชั่วโมง หรือ ๔๘ ชั่วโมง แม้ผู้บังคับบัญชาของโจทก์ทั้งสี่กำหนดให้โจทก์ทั้งสี่ทำงานในวันทำงานปกติระหว่างเวลา ๗.๓๐ ถึง ๑๕.๓๐ นาฬิกา หรือทำงาน ๓๕ ชั่วโมงต่อหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งน้อยกว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จล.๑ สัปดาห์ละ ๕ ชั่วโมงก็ตาม แต่จำเลยก็มิได้ให้โจทก์ทั้งสี่ทำข้อตกลงใหม่แต่อย่างใด การที่จำเลยให้อำนาจผู้บังคับบัญชากำหนดเวลาทำงานที่แท้จริงต่ำกว่าชั่วโมงการทำงานที่จำเลยกับสหภาพแรงงานสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียทำข้อตกลงกันไว้และแม้ลูกจ้างของจำเลยรวมทั้งโจทก์ทั้งสี่จะเคยได้รับค่าล่วงเวลา หากทำงานหลังเวลา ๑๕.๓๐ นาฬิกา ก็ถือเป็นกรณีที่จำเลยให้ประโยชน์แก่ลูกจ้างของจำเลยและโจทก์ทั้งสี่ จึงไม่เป็นการจ้างอันมีผลผูกพันจำเลยให้ต้องปฏิบัติตามตลอดไป จำเลยย่อมยกเลิกการให้ประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสี่ได้ การที่จำเลยประกาศเปลี่ยนแปลงเวลาการทำงานจาก ๗.๓๐ ถึง ๑๕.๓๐ นาฬิกา มาเป็น ๗.๓๐ ถึง ๑๖.๓๐ นาฬิกา เมื่อคำนวณระยะเวลาทำงานที่เปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว โจทก์ทั้งสี่จะทำงาน ๔๐ ชั่วโมงต่อสัปดาห์ตรงตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จล. ๑ ข้อ ๑๑ ดังนั้น การที่จำเลยประกาศเปลี่ยนแปลงเวลาทำงานจากเวลา ๗.๓๐ ถึง ๑๕.๓๐ นาฬิกา มาเป็น ๗.๓๐ ถึง ๑๖.๓๐ นาฬิกา จึงไม่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จล. ๑ และไม่มีเหตุเพิกถอนประกาศคำสั่งของจำเลยที่ให้เปลี่ยนเวลาทำงานใหม่เป็น ๗.๓๐ ถึง ๑๖.๓๐ นาฬิกา ตามเอกสารหมาย ล. ๗ อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.