ก่อนอื่นมาเข้าใจกันก่อนว่า ลดหย่อนภาษีมีสองประเภท
การลดหย่อนที่ไม่เป็นตัวเงิน คือ ค่าลดหย่อนที่กฎหมายกำหนดจากสถานภาพที่ผู้มีเงินได้มี หรือ ได้ช่วยเหลือดูแลบุคคลอื่นๆ เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว, ค่าลดหย่อนจากคู่สมรส (กรณีจดทะเบียนสมรส), ค่าลดหย่อนบุตร, ค่าเลี้ยงดูบุพการี, ค่าเลี้ยงดูบุคคลทุพพลภาพ เป็นต้น
การลดหย่อนที่เป็นตัวเงิน คือ ค่าลดหย่อนที่กฎหมายกำหนดจากการลงทุนหรือได้จ่ายเงินได้ไปเพื่อวัตถุประสงค์ที่รัฐบาลต้องการส่งเสริม เช่น ค่าลดหย่อนจากเงินค่าซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund : LTF), ค่าซื้อกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund : RMF), เบี้ยประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ตามเงื่อนไขที่กำหนด, เบี้ยประกันแบบบำนาญ, ดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดจากหนี้เพื่อซื้อบ้าน เป็นต้น
แต่งงานแล้ว ยื่นภาษียังไง ??? แต่งงานแล้วได้ลดหย่อนภาษียังไง??
แต่งงานแล้วนี้หมายถึงต้องจดทะเบียนสมรสกันตลอดปีภาษีด้วยนะถึงเรียกว่าแต่งงานแล้ว...เมื่อแต่งงานจะทำการจ่ายภาษีอย่างไร ต้องตัดสินใจแบ่งภรรยาออกเป็น3ประเภท ภรรยาเด็ก,ภรรยาสาว,ภรรยาเหมือนแม่ เอ้ย!!! ไม่ใช่ภรรยาแบ่งเป็นสามประเภทตามแบบการยื่นภาษี(สำหรับสามีที่มีรายได้เป็นเงินเดือน) ภรรยามีรายได้เป็นเงินเดือน.. แบบนี้ควรแยกยื่นเพื่อกระจายฐานภาษีจะดีกว่าและใช้การลดหย่อนภาษีได้เต็มที่ของทั้งสองฝ่าย อย่างเช่นบุตรนำมาลดหย่อนได้ทั้งสองคน
ภรรยามีรายได้อื่นๆที่ไม่ใช่เงินเดือน...ก่อนหน้านี้กฎหมายบอกแยกยื่นไม่ได้เนื่องจากจะต้องนำเงินได้(ของภรรยา)มายื่นในนามของสามี ค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนของภรรยาสามารถยกมาให้สามีใช้ได้ แต่ ล่าสุด... มีการแก้กฎหมายเพื่อความเสมอภาค (19กันยายน2555)สามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้สามีและภริยาต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ ยื่นรายการและเสียภาษีเงินได้ในนามตนเอง หรือแปลว่า ยื่นรวมหรือยื่นแยกก็ได้แล้วไม่บังคับ ส่วนกรณีเงินได้พึงประเมินที่เกิดจากการทำกิจการร่วมกัน หรือที่มิได้พิสูจน์ว่าเป็นเงินได้ของฝ่ายใด ให้ยื่นรายการและเสียภาษีในนามคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
ภรรยาไม่มีรายได้...อาชีพในฝัน(ของหลายคน)เลยครับภรรยาที่ไม่มีรายได้แสดงว่าไม่ต้องทำงานรับภาระการดูแลครอบครัวและลูกๆอย่างเต็มที่...แต่คนเหล่านี้มักมีรายจ่ายได้โดยไม่ต้องจ่ายเอง...ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ต้องขออนุญาติจากคนมีรายได้(สามี)ซะด้วย..โดยกรณีนี้สามีสามารถนำภรรยามาลดหย่อนภาษีได้ถึง30,000บาท...
เมื่อแต่งงานสามีสามารถนำภรรยาที่ไม่มีรายได้มาลดหย่อนภาษีได้แล้วยังมีส่วนอื่นที่เป็นผลจากการแต่งงานสามารถนำมาลดหย่อนได้อีกได้แก่
บุตรที่ศึกษาในประเทศ คนละ 17,000 บาท
บุตรที่ไม่ได้ศึกษาหรือศึกษาในต่างประเทศ คนละ 15,000 บาท
เบี้ยประกันชีวิตของภรรยาที่ไม่มีเงินได้ 10,000 บาท
เบี้ยประกันชีวิตของบิดามารดาผู้มีเงินได้และบิดามารดาภรรยา ไม่เกิน15,000บาท
เบี้ยประกันชีวิตช่วยลดหย่อนภาษีได้
ทำประกันชีวิตนอกจากจะเป็นการบรรเทาความเสียหายที่เกิดจากหัวหน้าครอบครัวหรือกำลังสำคัญเสียชีวิตแล้วและกระทบด้านรายได้กับคนข้่างหลังแล้ว...ประกันชีวิตยังมีผลดีช่วยลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย... ตามหลักเกณฑ์ง่ายๆคือประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ลดหย่อนสูงสุดได้ 100,000บาท... ประกันชีวิตแบบบำนาญสามารถลดหย่อนเพิ่มได้อีก200,000บาท แต่ต้องไม่เกิน15%ของรายได้
สามี-ภรรยาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันชีวิตได้อย่างไร
ในการยื่นเสียภาษีเงินได้ของสามีภรรยาที่มีการทำประกันชีวิตนั้น การใช้สิทธิค่าลดหย่อนจากประกันชีวิต จะเป็นดังนี้
กรณีสามีภรรยามีเงินได้ทั้งสองฝ่าย ให้ต่างฝ่ายต่างหักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตส่วนของตนตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท....สำหรับประกันชีวิตทั่วไป และไม่เกิน 200,000 บาทสำหรับประกันชีวิตแบบบำนาญ
กรณีที่สามีหรือภรรยามีเงินได้เพียงฝ่ายเดียว โดยทั้งสองฝ่ายมีการทำประกันชีวิตไว้ทั้งคู่ ถ้าความเป็นสามีภรรยามีอยู่ตลอดปีภาษี ผู้มีเงินได้สามารถหักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตส่วนของตนตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท...สำหรับประกันชีวิตทั่วไป และไม่เกิน 200,000 บาทสำหรับประกันชีวิตแบบบำนาญ รวมทั้งสามารถหักเบี้ยประกันชีวิตส่วนของคู่สมรสซึ่งไม่มีเงินได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10,000 บาท แต่ถ้าความเป็นสามีภรรยามิได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ผู้มีเงินได้จะสามารถหักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตได้เฉพาะส่วนของตนเท่านั้น
ประกันชีวิตแบบไหนใช้ลดหย่อนภาษีได้
รูปแบบประกันชีวิตแบบทั่วไปที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้100,000บาท
ตัวอย่าง เบี้ยประกันภัยของกรมธรรม์ AIA 20 Pay life (Non-Par) (ไม่รวมเบี้ยประกันภัยของสัญญาเพิ่มเติม) สามารถหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ตามข้อกำหนดของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 172)
ต้องเป็นกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีกำหนดระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และการประกันชีวิตนั้นได้เอาประกันไว้กับผู้รับประกันภัยที่ประกอบกิจการประกันชีวิตในราชอาณาจักรไทย
ต้องเป็นกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีเงิน หรือผลประโยชน์ตอบแทนคืนไม่เกินร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันชีวิตสะสม (ไม่รวมเงินปันผลตามกรมธรรม์ หรือผลประโยชน์ตอบแทนที่จ่ายเมื่อสิ้นสุดการชำระเบี้ยประกันชีวิต หรือผลประโยชน์ตอบแทนที่จ่ายเมื่อสิ้นสุดอายุกรมธรรม์)
เบี้ยประกันชีวิตที่นำไปลดหย่อนภาษีเงินได้ ต้องเป็นเบี้ยประกันชีวิตของกรมธรรม์ประกันชีวิตหลักเท่านั้น
เบี้ยประกันชีวิตสำหรับสัญญาเพิ่มเติม เช่น ประกันอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ เป็นต้น ไม่สามารถนำไปใช้หักลดหย่อนภาษีได้
รูปแบบประกันชีวิตแบบบำนาญที่ลดหย่อนภาษีได้200,000บาท
ตัวอย่าง เอไอเอ บำนาญ 60/85 (บำนาญ) หรือ AIA Annuity 60/85 ถึงเวลาแล้วที่เราต้องวางแผนชีวิตเกษียณ เพื่อเริ่มต้นชีวิตเกษียณอย่างสบาย และมั่นใจ การวางแผนทางการเงินสำหรับการเกษียณอย่างชาญฉลาด ได้รับเงินบำนาญคืนทุกปีในช่วงชีวิตเกษียณ และความคุ้มครองชีวิตสูงในช่วงเวลาที่ต้องการ พร้อมสิทธิลดหย่อนภาษี 200,000 บาท (ไม่รวมเบี้ยประกันภัยของสัญญาเพิ่มเติม) เป็นการจ่ายเบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญที่มีกำหนดเวลาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ซึ่งการนับระยะเวลาคุ้มครองดังกล่าวให้เริ่มนับตั้งแต่อายุเริ่มทำประกันชีวิต จนถึงอายุสุดท้ายที่รับบำนาญ เป็นการประกันชีวิตที่ได้เอาประกันไว้กับผู้รับประกันภัยที่ประกอบกิจการประกันชีวิตในราชอาณาจักรมีการกำหนดการจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญเป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจำนวนผลประโยชน์เงินบำนาญดังกล่าวจะจ่ายเท่ากันทุกงวด หรือจ่ายในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นตามระยะเวลาการเอาประกันก็ได้ โดยการจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญจะจ่ายตามการทรงชีพที่อาจมีการรับรองจำนวนงวดในการจ่ายที่แน่นอนมีการกำหนดช่วงอายุของการจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญเมื่อผู้มีเงินได้มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ถึงอายุ 85 ปี หรือมากกว่านั้น ทั้งนี้ ผู้มีเงินได้ต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยครบถ้วนแล้วก่อนได้รับผลประโยชน์เงินบำนาญ ต้องเป็นกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญที่รับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ว่า เบี้ยประกันชีวิตสามารถนำไปใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
สิทธิพิเศษในการลดหย่อนภาษี
...ถ้าให้สรุปก็มี 10 เรื่องด้วยกันค่ะ โดยอาจแบ่งออกได้สองกลุ่มหลักๆ กลุ่มแรก คือ กลุ่มมาตรการภาษีที่ออกมามีกำหนดระยะเวลาเฉพาะ ว่าสามารถหักลดหย่อนได้ภายในปีนี้เท่านั้น เช่น มาตรการบ้านหลังแรก รถคันแรก ซ่อมแซมบ้าน รถยนต์ รวมถึงการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดภาษีค่ะ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะเป็นมาตรการภาษีที่มีอยู่แล้ว สามารถใช้สิทธิได้ตลอดค่ะ แต่เป็นส่วนที่เราต้องมีการใช้จ่ายเงินเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว การซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิต ไปจนถึงเงินบริจาค มาดูกันว่าแต่ละมาตรการมีรายละเอียดยังไงกันบ้างค่ะ
1.ลดหย่อนบ้าน หลังแรก สำหรับการซื้อบ้านใหม่หลังแรกโดยต้องจ่ายค่าซื้อและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2555 นี้ บ้านหลังแรกต้องมีราคาบ้านไม่เกิน 5 ล้านบาท เจ้าของผู้ซื้อต้องมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อย กว่า 5 ปีนับแต่วันที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งผู้ซื้อสามารถใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ 10% ของราคาบ้านที่ซื้อ โดยต้องแบ่งยกเว้นภาษีภายใน 5 ปีภาษี ปีละเท่าๆ กัน สูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปีค่ะ
2.ลดหย่อนรถคันแรก สำหรับการซื้อรถใหม่คันแรกภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2555 นี้ โดยต้องยื่นคำขอคืนเงินกับกรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ พร้อมเอกสารหนังสือยินยอมสละสิทธิ์การโอนภายใน 5 ปี ผู้ซื้อรถคันแรกต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไป ราคารถยนต์ต้องไม่เกิน 1 ล้านบาท และเป็นรถยนต์นั่งขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1500 ซีซี (รถยนต์กระบะไม่จำกัดขนาดความจุกระบอกสูบ) ผู้ซื้อจะได้รับเงินคืนเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคัน การจ่ายเงินตามสิทธิจะจ่ายให้เมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปีไปแล้ว ทั้งนี้สามารถตรวจสอบรายละเอียดยี่ห้อ รุ่นรถยนต์ และจำนวนเงินที่มีสิทธิได้รับคืนทาง www.excise.go.th หรือตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ทั่วประเทศ สำหรับรถคันแรก เขาขยายเวลาการรับรถออกไป ผู้ที่จองรถคันแรกตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค. 2555 เป็นต้นไป สามารถใช้ใบจองไปยื่นได้ค่ะ
3.ลดหย่อนซ่อมแซมบ้านน้ำท่วม สำหรับผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่บ้านเสียหายจากอุทกภัยตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค.-31 ธ.ค. 2554 ในพื้นที่ที่ราชการประกาศให้เป็นเขตประสบอุทกภัย เจ้าบ้านสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้ในปี 2554 และหรือปี 2555 โดยรวมการใช้สิทธิแล้วต้องไม่เกิน 1 แสนบาท
4.ลดหย่อนรถยนต์ถูกน้ำ ท่วม สำหรับรถยนต์ที่เกิดความเสียหายจากเหตุอุทกภัยตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค.-31 ธ.ค. 2554 ในพื้นที่ที่ราชการประกาศเป็นเขตอุทกภัย เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ หรือผู้เช่าซื้อรถยนต์สามารถใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุด ไม่เกิน 2 คัน รวมกันแล้วไม่เกิน 3 หมื่นบาท สำหรับรถยนต์ที่ไม่สามารถซ่อมได้ สามารถใช้สิทธิรถคันแรกคืนภาษีไม่เกิน 1 แสนบาท โดยต้องยกเลิกรถคันเก่าเพื่อจำหน่ายเป็นซาก
5.ซื้อวัสดุ อุปกรณ์หรือเครื่องจักรประหยัดพลังงาน สำหรับผู้ที่ซื้อวัสดุอุปกรณ์เครื่องจักรที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน ซึ่งได้รับการรับรองจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2555 เฉพาะบุคคลธรรมดาที่มีเงินได้ตามมาตรา 40 (5)-(8) บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด และห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล จะได้รับยกเว้นภาษีสำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการได้มาซึ่ง ทรัพย์สินประเภทวัสดุอุปกรณ์ หรือเครื่องจักรที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน แต่ไม่รวมถึงยานพาหนะและวัสดุอุปกรณ์หรือเครื่องจักรที่ใช้กับยานพาหนะ เป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 25 ของค่าใช้จ่ายนั้น โดยมีเงื่อนไขดังนี้
1) ต้องเป็นทรัพย์สินที่ไม่เคยผ่านการใช้งานซึ่งได้ซื้อมาและอยู่ในสภาพพร้อม ใช้งานได้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2554 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2555 โดยได้รับการรับรองจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ว่าเป็นวัสดุอุปกรณ์หรือเครื่องจักรที่มีผลต่อการประหยัดพลังงานภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2555
2)ต้องหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีนับแต่วันที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้งาน
6.ลง ทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน ทั้งนี้เมื่อรวมกับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน และกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญแล้ว ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
7.ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
8.ซื้อ ประกันชีวิต หักลดหย่อนสูงสุดได้ 1 แสนบาท ทั้งนี้ต้องเป็นกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีอายุ 10 ขึ้นไป และมีผลประโยชน์ตอบแทนไม่เกิน 20% ของเบี้ยประกันชีวิตรายปี
9.ซื้อ ประกันแบบบำนาญ หักลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท และเมื่อรวมกับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน และกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญแล้ว ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
10.เงิน บริจาค หักได้สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้สุทธิหลังหักค่าลดหย่อนและค่าใช้จ่าย เช่น เงินบริจาคให้แก่วัดวาอาราม สภากาชาดไทย สถานพยาบาล และสถานศึกษาของทางราชการ ฯลฯ โดยสามารถหักลดหย่อนได้ 2 เท่า ตรวจสอบรายชื่อสถานศึกษาได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากรwww.rd.go.th/บริการข้อมูล/รายชื่อสถานศึกษาที่สามารถหักบริจาคหักลดหย่อนเงินบริจาคให้ได้