คำพิพากษาฎีกาที่๑๑๙๑๓ - ๑๑๙๑๗/๒๕๕๓
บอกกล่าวล่วงหน้าในที่ประชุมวันที่ 1 ต.ค. เพื่อแจ้งปิดกิจการในวันที่ 21 ต.ค. (จ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน) ถือว่านายจ้างได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมายแล้วและในใบสำคัญจ่ายระบุว่า “ลาออกคืนเงินประกัน” เป็นเพียงการปฏิบัติตามความประสงค์ของนายจ้างในการเลิกจ้างเท่านั้น ไม่ถือเป็นการลาออก
รายชื่อโจทก์ปรากฏตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
คดีทั้งห้าสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๕ และให้เรียกจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทั้งห้าสำนวนว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒
โจทก์ทั้งห้าฟ้องว่า โจทก์ทั้งห้าเป็นพนักงานของจำเลยที่ ๑ ที่มีจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ระยะเวลาทำงาน ตำแหน่งหน้าที่ อัตราค่าจ้าง ครั้งสุดท้ายและกำหนดการจ่ายค่าจ้างของโจทก์ทั้งห้าเป็นไปตามลำดับ จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๔๘ โดยโจทก์ทั้งห้าไม่ได้กระทำความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ที่ ๑ ทำงานมาครบ ๑ ปี แต่ไม่ครบ ๓ ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเป็นเงิน ๙๐,๐๐๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒๘,๐๐๐ บาท ระหว่างการทำงานจำเลยที่ ๑ ลดค่าจ้างโจทก์ที่ ๑ เป็นเงินรวม ๑๙,๐๐๐ บาท นอกจากนี้โจทก์ที่ ๑ มีสิทธิหยุดในวันหยุดตามประเพณีอีก ๑๓ วัน เป็นเงิน ๑๓,๐๐๐ บาท ส่วนโจทก์ที่ ๒ ทำงานมาครบ ๑๒๐ วัน แต่ไม่ครบ ๑ ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ๑๖,๐๐๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑๔,๙๓๓ บาท เงินค่าจ้างที่ถูกลดไป ๑๑,๗๓๓ บาท ค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณีอีก ๑๑ วัน เป็นเงิน ๕,๘๖๖ บาท โจทก์ที่ ๓ ทำงานครบ ๑๒๐ วัน แต่ไม่ครบ ๑ ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ๑๕,๐๐๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑๔,๐๐๐ บาท เงินค่าจ้างที่ถูกลดไป ๑๒,๐๐๐ บาท ค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณีอีก ๑๓ วัน เป็นเงิน ๖,๕๐๐ บาท โจทก์ที่ ๔ ทำงานมาครบ ๑๒๐ วันแต่ไม่ครบ ๑ ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ๑๑,๕๐๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑๐,๗๓๓ บาท เงินค่าจ้างที่ถูกลดไป ๔,๖๐๐ บาท ค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณีอีก ๙ วัน เป็นเงิน ๓,๔๔๙ บาท โจทก์ที่ ๕ ทำงานมาครบ ๑๒๐ วัน แต่ไม่ครบ ๑ ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ๙,๐๐๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๘,๔๐๐ บาท เงินค่าจ้างที่ถูกลดไป ๓,๕๐๐ บาท ค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณีอีก ๑๓ วัน เป็นเงิน ๓,๙๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้กับโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๕ ตามลำดับดังนี้ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒๘,๐๐๐ บาท ๑๔,๙๓๓ บาท ๑๔,๐๐๐ บาท ๑๐,๗๓๓ บาท และ ๘,๔๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระเสร็จให้แก่โจทก์ทั้งห้า ค่าจ้างค้างจ่าย ๑๙,๐๐๐ บาท ๑๑,๗๓๓ บาท ๑๒,๐๐๐ บาท ๔,๖๐๐ บาท และ ๓,๕๐๐ บาท ตามลำดับ ค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณี ๑๓,๐๐๐ บาท ๕,๘๖๖ บาท ๖,๕๐๐ บาท ๓,๔๔๙ บาท และ ๓,๙๐๐ บาท ตามลำดับ ค่าชดเชย ๙๐,๐๐๐ บาท ๑๖,๐๐๐ บาท ๑๕,๐๐๐ บาท ๑๑,๕๐๐ บาท และ ๙,๐๐๐ บาท ตามลำดับพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งห้า
จำเลยทั้งสองทุกสำนวนให้การว่า โจทก์ทั้งห้าสมัครใจลาออกจากการเป็นพนักงานของจำเลยเองตั้งแต่วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๔๘ จึงไม่มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยตามฟ้อง ระหว่างทำงานก่อนลาออกดังกล่าวมีการตกลงลดเงินเดือนของโจทก์แต่ละคนลง จำเลยทั้งสองจึงไม่ได้ค้างชำระค่าจ้างโจทก์แต่ละคนตามฟ้อง เช่นเดียวกับค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณีเนื่องจากจำเลยที่ ๑ ประกอบกิจการภัตตาคารไม่อาจให้พนักงานหยุดในวันดังกล่าวได้ แต่ให้โจทก์มีวันหยุดในแต่ละช่วงการทำงานตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว โจทก์แต่ละคนจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างในส่วนนี้อีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ประกอบกิจการภัตตาคารอาหารจีน มีจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ต่อมาได้ปิดกิจการไปเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๔๘ โจทก์ทุกคนทำงานมาจนกระทั่งถึงวันปิดกิจการ โดยโจทก์ที่ ๑ ทำงานตั้งแต่วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๗ ตำแหน่งหัวหน้าพ่อครัวได้รับค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ ทำงานตั้งแต่วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ ได้รับค่าจ้างครั้งสุดท้ายเดือนละ ๑๖,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๓ ทำงานตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ ได้รับค่าจ้างครั้งสุดท้ายเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๔ ทำงานตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๘ ตำแหน่งพ่อครัวได้รับค่าจ้างครั้งสุดท้ายเดือนละ ๑๑,๕๐๐ บาท โจทก์ที่ ๕ ทำงานตั้งแต่วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๗ ได้รับค่าจ้างครั้งสุดท้ายเดือนละ ๙,๐๐๐ บาท โดยจำเลยที่ ๑ มีกำหนดการจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๑ และ ๑๖ ของเดือน ต่อมาจำเลยที่ ๑ ปิดกิจการ โดยโจทก์ทั้งห้าลงชื่อรับเงินเดือนในใบสำคัญการจ่ายเอกสารหมาย ล.๑๖ ซึ่งมีข้อความว่า “ลาออกและคืนเงินประกัน” ซึ่งเป็นแบบพิมพ์ที่จำเลยที่ ๑ จัดทำขึ้น วัตถุประสงค์ของการลงชื่อเพียงแต่ให้ได้รับค่าจ้างมิใช่ลาออก จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยมิได้แจ้งการเลิกจ้างให้โจทก์ทั้งห้าทราบก่อน จำเลยทั้งสองจึงต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ทั้งห้า นอกจากนี้ระหว่างการทำงานจำเลยทั้งสองให้โจทก์ทั้งห้าทำงานในวันหยุดตามประเพณีจึงต้องจ่ายค่าทำงานให้กับโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๕ ตามลำดับ ดังนี้ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒๘,๐๐๐ บาท ๑๔,๙๓๓ บาท ๑๔,๐๐๐ บาท ๑๐,๗๓๓ บาท และ ๘,๔๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง ( ๒๗ ตุลาคม ๒๕๔๗ ) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ค่าจ้างค้างจ่าย (เงินเดือนที่ถูกลดไป) ๑๙,๐๐๐ บาท ๑๑,๗๓๓ บาท ๑๒,๐๐๐ บาท ๔,๖๐๐ บาท และ ๓,๕๐๐ ค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณี ๑๓,๐๐๐ บาท ๕,๘๖๖ บาท ๖,๕๐๐ บาท ๓,๔๔๙ บาท และ ๓,๙๐๐ บาท ค่าชดเชย ๙๐,๐๐๐ บาท ๑๖,๐๐๐ บาท ๑๕,๐๐๐ บาท ๑๑,๕๐๐ บาท และ ๙๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (๒๗ ตุลาคม ๒๕๔๗) ไปจนกว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า โจทก์ทั้งห้ามีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างจ่าย ค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณี ค่าชดเชย พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องหรือไม่ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์อ้างว่าโจทก์ทั้งห้าลงลายมือชื่อในเอกสารรับเงินค่าจ้าง ซึ่งมีข้อความระบุในช่องหมายเหตุว่า “ลาออกและคืนเงินประกัน” เป็นการสมัครใจลาออกของโจทก์ทั้งห้านั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่าก่อนจำเลยที่๑ปิดกิจการจำเลยที่๑ได้เรียกประชุมพนักงานเพื่อแจ้งให้พนักงานทราบปัญหาการขาดทุนของจำเลยที่๑และปรับลดค่าจ้างของพนักงานทุกคนร้อยละสิบถึงร้อยละยี่สิบจากฐานเงินเดือน และให้พนักงานเตรียมหางานใหม่ก่อนปิดกิจการ หากไม่สามารถดำเนินกิจการให้ได้ผลกำไรภายใน ๓ เดือน ตามรายงานการประชุมวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เอกสารหมาย ล.๙ และต่อมาวันที่๑ตุลาคม๒๕๔๘จำเลยที่๑ได้เรียกประชุมพนักงานแจ้งว่าผลประกอบการไม่ดีขึ้นจึงจะปิดกิจการในวันที่๒๑ตุลาคม๒๕๔๘และขอให้พนักงานทุกคนรับเงินเดือนพร้อมกับเงินประกันคืนตามรายงานการประชุมวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๘ เอกสารหมาย ล.๑๔ ดังนั้น จึงเป็นกรณีที่จำเลยทั้งสองแสดงเจตนาเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้านับแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๘ โดยให้มีผลเป็นการเลิกจ้างในวันที่๒๑ตุลาคม๒๕๔๘และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยทั้งสองจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ทั้งห้าทุกวันที่๑และ๑๖ของเดือนจึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้บอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้าโดยชอบแล้ว โจทก์ทั้งห้าจึงไม่มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ต่อมาโจทก์ทั้งห้าลงลายมือชื่อรับเงินเดือนและเงินประกันคืนตามใบสำคัญจ่ายเงินเดือน ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๔๘ เพื่อรับเงินค่าจ้างของการทำงานระหว่างวันที่ ๑ ถึง ๒๐ ตุลาคม ๒๕๔๘ โดยใบสำคัญการจ่ายเงินเดือนดังกล่าวหมายเหตุเป็นตัวพิมพ์ว่า “ลาออกคืนเงินประกัน” ตามใบสำคัญจ่ายเงินเดือนเอกสารหมาย ล.๑๖ ก็เป็นแต่เพียงการปฏิบัติตามความประสงค์ของจำเลยทั้งสองที่แสดงในขณะแจ้งการเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าเท่านั้น และเมื่อจำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าเป็นเหตุให้ความสัมพันธ์ในฐานะนายจ้างและลูกจ้างระหว่างกันสิ้นสุดลงตามความประสงค์ของจำเลยทั้งสองเช่นนี้จึงไม่อาจมีการสิ้นสุดความสัมพันธ์ในฐานะนายจ้างและลูกจ้างด้วยการลาออกขึ้นได้อีก ดังนั้นโจทก์ทั้งห้าจึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างค้างจ่าย ค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณี ค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยของเงินดังกล่าวเท่านั้น ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน
ส่วนที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า โจทก์ทั้งห้ายินยอมลดค่าจ้างลงด้วยความสมัครใจ จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องชำระค่าจ้างค้างจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งห้า และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งห้าทำงานในวันหยุดตามประเพณี ทั้งโจทก์ทั้งห้าไม่สามารถสืบพยานหลักฐานได้ตามฟ้อง จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องชำระค่าจ้างค้างจ่ายและค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณีให้แก่โจทก์ทั้งห้านั้น ปรากฏข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังว่า จำเลยทั้งสองลดค่าจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยโจทก์ทั้งห้าไม่ได้สมัครใจ แต่อยู่ในสภาวะจำยอม จำเลยทั้งสองจึงต้องคืนค่าจ้างที่หักไว้ให้แก่โจทก์ทั้งห้าและฟังว่าโจทก์ทั้งห้ามาทำงานในวันหยุดตามประเพณี ดังนั้น อุทธรณ์จำเลยทั้งสองในเรื่องดังกล่าวจึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
สำหรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองประการสุดท้ายว่า โจทก์ที่ ๕ ฟ้องเรียกค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย ๓๐ วัน เป็นเงินเพียง ๙,๐๐๐ บาท แต่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระค่าชดเชยให้โจทก์ที่ ๕ จำนวน ๙๐,๐๐๐ บาท จึงเป็นการไม่ชอบนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ที่ ๕ ว่า โจทก์ที่ ๕ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๙,๐๐๐ บาท มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย ๓๐ วัน คิดเป็นเงิน ๙,๐๐๐ บาท และมีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยทั้งสองจ่ายค่าชดเชยจำนวนดังกล่าว ซึ่งศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ที่ ๕ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๙,๐๐๐ บาท แต่พิพากษาให้จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ ๕ จำนวน ๙๐,๐๐๐ บาท อันเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง เมื่อโจทก์ที่ ๕ มีสิทธิได้รับค่าชดเชยจำนวน ๙,๐๐๐ บาท ศาลแรงงานกลางต้องพิพากษาให้ตามที่โจทก์ที่ ๕ มีสิทธิเท่านั้น อุทธรณ์จำเลยทั้งสองในปัญหาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองไม่ต้องจ่ายเงินค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งห้า และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ ๕ จำนวน ๙,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.