คำพิพากษาฎีกาที่ 11181/53
ประกาศขายทอดตลาด แจ้งวันนัดให้จำเลยทราบด้วยวิธีการปิดหมาย ถือว่าส่งหมายโดยชอบ
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์กับจำเลยที่ 2 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยที่ 2 ยินยอมชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ 110,572 บาท โดยจะผ่อนชำระไม่น้อยกว่าเดือนละ 2,000 บาท ชำระงวดแรกวันที่ 1 สิงหาคม 2543 งวดต่อไปชำระทุกวันที่ 1 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะครบภายในกำหนด 2 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากจำเลยที่ 2 นำสินค้าตามฟ้องมาคืนโจทก์ โจทก์จะหักค่าเสียหายให้ตามส่วนของราคาสินค้า หากจำเลยที่ 2 ผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมดยินยอมให้โจทก์บังคับคดีตามยอดเงินที่เหลือได้ทันทีพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลแรงงานกลางพิพากษาตามยอม แต่จำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอหมายบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 20909,20910 ตำบลมะขามเตี้ย อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 86/35 บนที่ดินแปลงดังกล่าวซึ่งติดจำนองธนาคารออมสินเพื่อขายทอดตลาด ต่อมาวันที่ 20 มีนาคม 2547 เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปในราคา 520,000 บาท
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้แจ้งการยึดทรัพย์ให้จำเลยที่ 2 ทราบ อนุมัติให้ขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ในราคาที่ต่ำเกินสมควร ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของเจ้าพนักงานบังคับคดี เพราะราคาตามท้องตลาดอย่างต่ำสุด 1,200,000 บาท จำเลยที่ 2 เพิ่งทราบเหตุดังกล่าวเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2547 ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการบังคับคดีและการขายทอดตลาด
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่าคดีนี้ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 เฉพาะข้อ 2.1 ว่า ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 2 โดยไม่ได้กล่าวหรือแสดงข้อเท็จจริงแห่งคำวินิจฉัยในประเด็นว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งการยึดทรัพย์ให้จำเลยที่ 2 ทราบโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 51 แล้วหรือไม่ ตามคำสั่งดังกล่าวปรากฏว่าศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยแล้วว่า ข้อเท็จจริงปรากฏตามรายงานของผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีจังหวัดสุราษฎร์ธานี ฉบับลงวันที่4 สิงหาคม 2547 ว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 รวม 4 ครั้งแล้ว ไม่มีผู้ใดสนใจเข้าสู้ราคา ต่อมาได้ประกาศขายครั้งที่ 5 ในวันที่ 20 มีนาคม 2547 โดยได้แจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 2 ทราบโดยชอบแล้ว ซึ่งปรากฏจากรายงานการเดินหมาย สำนักงานบังคับคดีจังหวัดสุราษฎร์ธานีฉบับลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2547 ว่า นายไชยวัฒน ชัยดำเรงค์ฤทธิ์ พนักงานเดินหมายได้นำประกาศขายทอดตลาดครั้งที่ 5 ไปส่งให้จำเลยที่ 2 ณ บ้านเลขที่ 86/35 หมู่ที่ 2 ถนนศรีวิชัย ตำบลมะขามเตี้ย อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ไม่พบจำเลยที่ 2 พบบ้านปิดประตูใส่กุญแจ สอบถามผู้ที่อาศัยที่อยู่ใกล้เคียง ไม่มีผู้ใดทราบว่าจำเลยที่ 2 อาศัยอยู่ในบ้านนั้นหรือไม่ จึงปิดหมายไว้ที่บ้านดังกล่าว เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนายจรินทร์ คลิ้งคล้าย ผู้รับมอบอำนาจในการยึดทรัพย์ของโจทก์เบิกความว่า เคยไปยึดทรัพย์จำเลยที่ 2 ที่บ้านดังกล่าวไม่พบจำเลยที่ 2 อยู่ที่บ้าน คงพบภรรยาจำเลยที่ 2 อยู่ที่บ้านแต่ไม่ยอมรับผิดชอบชำระหนี้ใดๆ ให้แก่โจทก์ พยานหลักฐานดังกล่าวจึงฟังได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งกำหนดขายทอดตลาดครั้งที่ 5 ให้แก่จำเลยที่ 2 ทราบโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยที่ 2 จึงรู้ถึงการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 แล้ว แต่ไม่มาดูแลการขายเอง ดังนั้น คำสั่งศาลแรงงานกลางที่ยกคำร้องของจำเลยที่ 2 จึงได้กล่าวและแสดงข้อเท็จจริงแห่งคำวินิจฉัยในประเด็นว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งการยึดทรัพย์ให้จำเลยที่ 2 ทราบโดยชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 51 วรรคหนึ่งแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.