ห่วงวิกฤติอุตฯขั้นโคม่าส.อ.ท.ชี้ 6 ปัจจัยเสี่ยงนโยบายรัฐสู่วิกฤติแรงงาน
นายธนิต โสรัตน์ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ในปี 56 ส.อ.ท.แสดงความกังวล 6 ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมให้ชะลอตัวหรือทรุดตัวลง ประกอบด้วย ผลกระทบค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันทั่วประเทศ และการขาดแคลนแรงงานทุกกลุ่ม, การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก, ความผันผวนราคาน้ำมันตลาดโลก, การปรับราคาของวัตถุดิบในการผลิตสินค้าอย่างเหล็ก, เคมีภัณฑ์, กระดาษ, ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศ และความเสี่ยงจากนโยบายภาครัฐ ดังนั้นต้องการให้รัฐบาลหามาตรการเยียวยาผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และการลดต้นทุนของผู้ประกอบการโดยเฉพาะด้านโลจิสติกส์
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่รัฐบาลน่าจะควบคุมไม่ให้เกิดปัญหากับภาคอุตสาหกรรมได้ เช่น นโยบายภาครัฐโดยพิจารณาทบทวนบางนโยบายใหม่ให้รอบคอบ อย่างเช่น นโยบายการขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีและเอ็นจีวีให้อยู่ในระดับราคาตลาดโลก ที่ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น, การขึ้นค่าไฟฟ้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องในทุกๆ รอบ 4 เดือน รวมถึงต้องเร่งแก้ปัญหาการต่อใบอนุญาตโรงงาน หรืออนุญาตจัดตั้งโรงงานใหม่ให้รวดเร็วกว่าเดิม เพราะผู้ประกอบการบางรายต้องใช้เวลารอนานนับปี เป็นต้น
นายธนิต กล่าวว่า ต้องการให้หามาตรการเยียวยาธุรกิจที่ใช้แรงงานเข้มข้นรองรับต้นทุนค่าจ้างที่สูงขึ้น รวมถึงการจัดทำแผนแม่บทแห่งชาติในการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เพราะในอนาคตเชื่อว่าปัญหาดังกล่าวจะยิ่งบานปลาย หลังจากที่ต่างชาติทยอยเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 58 เนื่องจากแรงงานส่วนใหญ่ต้องการไปทำงานในบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการให้ผลตอบแทนหรือโบนัสที่ดีกว่า
"เบื้องต้น ส.อ.ท.ต้องการให้รัฐบาลแก้ปัญหาโดยการนำแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศไทยเพิ่มขึ้น เช่น การเปิดให้แรงงานต่างด้าวจากประเทศอินโดนีเซีย และบังกลาเทศเข้ามาทำงานในไทยด้วย หลังจากปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานจากประเทศพม่า ลาว และกัมพูชา เพราะพึ่งแต่แรงงานไทยกับแรงงานต่างด้าวที่อยู่ติดกับไทยก็คงลำบากแล้ว ดังนั้นรัฐบาลควรเปิดกว้างให้มีการใช้แรงงานต่างด้าวจากที่อื่นด้วย" อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรยกเครื่องการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในการปรับโครงสร้างดำเนินการ เช่น การแปรรูปให้เอกชนเข้ามาบริหารบ้างเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนและภาคธุรกิจ เช่น เร่งการสร้างรถไฟรางคู่เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง โดยปัจจุบันสัดส่วนการใช้รถไฟในการขนส่งมีเพียง 2% ของการขนส่ง หากมีระบบรางคู่ก็จะทำให้การใช้ระบบรางมีมากขึ้น ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วมีสัดส่วนการใช้ระบบรางที่ 15-16%
นายครรชิต จันทนพรชัย นายกสมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมรองเท้าไทย เปิดเผยว่า ปี 56 คาดว่าอุตสาหกรรมรองเท้า น่าจะเป็นปีที่เหนื่อยกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งจะต้องปรับตัวกับปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามามีผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะการปรับค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ เนื่องจากต้องใช้แรงงานที่มีทักษะ มีประสบการณ์ เชี่ยวชาญเฉพาะ ปัจจุบันกลุ่มรองเท้ายังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานจำนวนมาก ซึ่งมีผู้ประกอบการที่จดทะเบียนประมาณกว่า 200 ราย มีการจ้างงานในระบบประมาณแสนคน ขณะนี้มีความกังวลในเรื่องการขาดแรงงานกว่าหมื่นคน ที่จะช่วยขับเคลื่อนในกระบวนการผลิตกลุ่มรองเท้าให้เดินหน้าต่อไปได้ รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีนัก
นายครรชิต กล่าวว่า จากการปรับค่าแรง 300 บาทนั้น ขณะนี้กลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้า ยังไม่พบว่าจะมีการปิดกิจการลง เนื่องจากได้มีการปรับตัวมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่โรงงานก็อยู่แถบปริมณฑล และได้มีการปรับเพิ่มขึ้นก่อนแล้วแต่คาดว่ากลุ่มรายย่อยที่ไม่ได้เข้ามาจดทะเบียนในระบบอาจจะมีการปิดธุรกิจไปบ้าง เพราะต้องใช้แรงงานฝีมือเป็นหลัก ภาครัฐก็มีการช่วยเหลือบ้าง เช่น การอบรมผู้ประกอบการให้ความรู้ในการเปิดตลาด มีการสร้างแบรนด์ใหม่
สำหรับกลุ่มผู้ผลิตที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ ผู้ผลิตรายเล็กๆ ซึ่งเน้นผลิตสินค้าราคาถูก ดีไซน์ตามแบบแบรนด์ดัง เวลานี้สูญเสียรายได้ ทั้งจากการรับจ้างผลิตจากบริษัทต่างชาติรวมถึงยอดขายในประเทศลดต่ำไปด้วย เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันผู้บริโภคจะหันมาเลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น เน้นความคุ้มค่าต่อการใช้งานมากกว่าซื้อตามแฟชั่นเท่านั้น
ทั้งนี้ เพื่อจะช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าวทางสมาคมฯ เตรียมจัดโครงการ "ดีไซเนอร์พบผู้ผลิต" พานักออกแบบมืออาชีพทั้งในและต่างประเทศมาช่วยเป็นที่ปรึกษาและพัฒนาสินค้าให้แก่ผู้ผลิตรายย่อย ให้มีสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์และดีไซน์ของตัวเองสามารถเพิ่มมูลค่าและขยายตลาดได้มากยิ่งขึ้นในปีนี้