คำพิพากษาฎีกาที่ 5601 - 5645/53
ไม่เลื่อนขั้นเงินเดือน และปรับค่าจ้างให้ตามสิทธิ ถือว่าโต้แย้งสิทธิแล้วฟ้องศาลได้
รายชื่อโจทก์และจำเลยปรากฏตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
คดีทั้งสี่สิบห้าสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมการพิจารณาเข้าด้วยกันโดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 45 และเรียกจำเลยทุกสำนวนว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 39
โจทก์ทั้งสี่สิบห้าสำนวนฟ้องมีใจความสรุปได้ว่า โจทก์ทั้งสี่สิบห้าเป็นลูกจ้างของ จำ
เลยที่ 1 กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือนและจำเลยที่ 1 ตกลงเลื่อนขั้นเงินเดือนให้แก่โจทก์ทุกปี ปีละ 1 ขั้น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 37 ในฐานะคณะรัฐมนตรีมีมติให้ยุบเลิกกิจการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่สิบห้า โดยจ่ายเงินบำเหน็จและค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสี่สิบห้าตามสิทธิของโจทก์แต่ละคน แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่พิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนและปรับอัตราค่าจ้างให้เป็นไปตามข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีให้แก่โจทก์แต่ละคน จึงทำให้โจทก์แต่ละคนได้รับเงินบำเหน็จและค่าชดเชยขาดจำนวนไป จำเลยที่ 2 ถึงที่ 37 มีอำนาจหน้าที่ควบคุมการประกอบกิจการขนส่งของจำเลยที่ 1 อันเป็นการบังคับบัญชาลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และมีอำนาจแต่งตั้งประธานกรรมการ ผู้อำนวยการ เป็นคณะกรรมการบริหารกิจการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 38 มีหน้าที่รักษาการและควบคุมกิจการของจำเลยที่ 1 ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ พ.ศ.2496 ส่วนจำเลยที่ 39 มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินการคลังของแผ่นดินเกี่ยวกับกิจการหารายได้ที่รัฐบาลดำเนินการได้ มีอำนาจพัฒนาวิสาหกิจตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 39 จึงร่วมกับจำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างโจทก์ทั้งสี่สิบห้า จำเลยทั้งสามสิบเก้าได้ตกลงเข้ามีผลประโยชน์ร่วมกันในการประกอบกิจการขนส่งทุกชนิด จำเลยที่ 2 ถึงที่ 39 จึงต้องร่วมรับผิดในหนี้ใดๆ ซึ่งจำเลยที่ 1 ก่อขึ้นโดยไม่จำกัดจำนวน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามสิบเก้าร่วมกันจ่ายเงินบำเหน็จ ค่าชดเชยที่ยังจ่ายไม่ครบพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ละคนรายละเอียดเกี่ยวกับวันเข้าทำงานวันเลิกจ้าง อัตราค่าจ้างสุดท้าย จำนวนค่าบำเหน็จ ค่าชดเชยปรากฏตามฟ้องแต่ละสำนวน
ศาลแรงงานกลางพิจารณาคำฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามสิบเก้าไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ยกฟ้องโจทก์ทั้งสี่สิบห้า
โจทก์ทั้งสี่สิบห้าอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่สิบห้าว่า จำเลยทั้งสามสิบเก้าร่วมกันเป็นนายจ้างโจทก์ทั้งสี่สิบห้าและโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสี่สิบห้าหรือไม่ โจทก์ทั้งสี่สิบห้าบรรยายฟ้องแต่ละสำนวนทำนองเดียวกันว่า โจทก์ทั้งสี่สิบห้าเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ต่อมาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่สิบห้า เนื่องจากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 37 ในฐานะคณะรัฐมนตรีมีมติให้ยุบเลิกหน่วยงานจำเลยที่ 1 แต่ระหว่างรอบปีบัญชี (ปีงบประมาณ) 2542 ถึงรอบปีบัญชี 2549 จำเลยที่ 1 ไม่พิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนและปรับอัตราค่าจ้างให้เป็นไปตามข้อบังคับว่าด้วยการพิจารณาความดีความชอบเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือนของพนักงาน พ.ศ.2525 ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและมติคณะรัฐมนตรี ทำให้โจทก์แต่ละคนได้รับค่าชดเชยในการเลิกจ้างและเงินบำเหน็จขาดไป เห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ทั้งสี่สิบห้า โจทก์แต่ละสำนวนยืนยันว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างไม่เลื่อนขั้นเงินเดือนและปรับอัตราค่าจ้างให้แก่โจทก์แต่ละคนตามสิทธิของโจทก์แต่ละคนที่จะได้รับตามข้อบังคับว่าด้วยการพิจารณาความดีความชอบเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือนของพนักงาน พ.ศ.2525 ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและมติคณะรัฐมนตรี ทำให้โจทก์แต่ละคนได้รับค่าชดเชย เงินบำเหน็จลดลงจากสิทธิของโจทก์แต่ละคนที่พึงจะได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ตามฟ้องของโจทก์แต่ละคนย่อมทำให้โจทก์แต่ละคนเสียหาย จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสี่สิบห้าแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 โจทก์ทั้งสี่สิบห้าย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ส่วนความรับผิดของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 39 นั้น โจทก์ทั้งสี่สิบห้าบรรยายฟ้องแต่ละสำนวนทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 37 ในฐานะคณะรัฐมนตรี เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินและมีอำนาจหน้าที่ควบคุมการประกอบกิจการขนส่งของจำเลยที่ 1 กับมีอำนาจสั่งการประธานคณะกรรมการผู้อำนวยการ ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ให้แสดงความเห็นรวมทั้งรายงานผลการดำเนินการมีอำนาจแต่งตั้งประธานกรรมการ ผู้อำนวยการเป็นคณะกรรมการเข้าบริหารกิจการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 38 มีหน้าที่รักษาการและควบคุมดูแลกิจการของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 39 มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเงินการคลังของแผ่นดินเกี่ยวกับการหารายได้ที่รัฐบาลไทยมีอำนาจดำเนินการ มีอำนาจพัฒนารัฐวิสาหกิจ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 39 จึงร่วมกับจำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างโจทก์และต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 39 และตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสี่สิบห้าก็บรรยายว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ตกลงจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ทุกวันสิ้นเดือนและตกลงเลื่อนขั้นเงินเดือนให้แก่โจทก์ทุกปี ปีละ 1 ขั้น ต่อมาจำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ ย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ตกลงรับโจทก์ทั้งสี่สิบห้าเข้าทำงานและเป็นผู้จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งสี่สิบห้ากับมีอำนาจบังคับบัญชาโจทก์ทั้งสี่สิบห้าโดยตรง ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสี่สิบห้าไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 39 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับโจทก์ทั้งสี่สิบห้าเข้าทำงานและร่วมจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งสี่สิบห้าแต่อย่างใด ประกอบกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 39 ไม่มีอำนาจบังคับบัญชาโจทก์ทั้งสี่สิบห้าโดยตรง ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 39 มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 39 ย่อมไม่ใช่นายจ้างตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และไม่ถือว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 39 โต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสี่สิบห้า อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่สิบห้าฟังไม่ขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับฟ้องโจทก์ทั้งสี่สิบห้าเฉพาะจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากาษาศาลแรงงานกลาง.