คำพิพากษาฎีกาที่ 16023 - 16031/53
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่มีอยู่เดิม และไม่ได้ตกลงกันให้คงไว้ตามเดิม มีผลใช้บังคับกับสภาพการจ้างที่มีอยู่เดิม
คดีทั้งเก้าสำนวนศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันกับคดีอื่นอีกหนึ่งสำนวน โดยให้เรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 10 และเรียกจำเลยทุกสำนวนว่า จำเลย แต่คดีสำหรับโจทก์ที่ 5 ถึงที่สุดแล้วโดยการถอนอุทธรณ์ ศาลมีคำสั่งอนุญาตจำหน่ายคดีออกจากสารบบความแล้ว คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีเก้าสำนวนนี้
โจทก์ทั้งเก้าสำนวนฟ้องในทำนองเดียวกันว่า โจทก์ทั้งสิบเป็นลูกจ้างของจำเลย โดยมีวันเข้าทำงาน ตำแหน่ง หน้าที่ อัตราค่าจ้างสุดท้าย และวันกำหนดจ่ายค่าจ้าง ปรากฏรายละเอียดตามคำฟ้องของโจทก์ในแต่ละสำนวน เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2549 สหภาพแรงงานสินธานีและสหภาพแรงงานพนักงานสินธานีทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกับจำเลยในเรื่องเกี่ยวกับการปรับค่าจ้างประจำปี โดยข้อตกลงข้อ 2 กำหนดให้จำเลยปรับเงินค่าจ้างให้โดยใช้หลักเกณฑ์ของคะแนนการประเมินผลของพนักงานปี 2549 มาเป็นเกณฑ์ในการคิดปรับขึ้นเงินเดือนตามที่จำเลยกำหนด ซึ่งหลักเกณฑ์ของคะแนนการประเมินผลของพนักงานกำหนดว่า คะแนนรวมเฉลี่ยใน 1 ปี ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ จะไม่ได้รับการปรับเงินเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2550 ซึ่งเป็นวันปรับค่าจ้างเพิ่มประจำปีจำเลยไม่ปรับค่าจ้างประจำปีเพิ่มให้โจทก์ทั้งเก้าและไม่ชี้แจงสาเหตุให้โจทก์ทั้งเก้าทราบ โจทก์ทั้งเก้าได้รับการบอกกล่าวจากหัวหน้างานของโจทก์ทั้งเก้าว่าโจทก์ทั้งเก้าได้รับคะแนนประเมินผลการปฏิบัติงานในรอบปี 2549 เกินกว่าร้อยละ 50 ของคะแนนเฉลี่ย โจทก์ทั้งเก้าจึงมีสิทธิได้รับการปรับค่าจ้างเพิ่มตามสัดส่วนของคะแนนการประเมินผลที่โจทก์ทั้งเก้าได้รับ ขอให้จำเลยปรับเงินเดือนเพิ่มให้แก่โจทก์ทั้งเก้าเป็นจำนวนเงินตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ในแต่ละสำนวน โดยปรับเพิ่มย้อนหลังตั้งแต่เดือนมกราคม 2550
จำเลยให้การว่า ตามข้อตกลงเกี่ยวสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2549 (ข้อ 2) ในส่วนของการขึ้นเงินเดือนพนักงานจำเลยตกลงปรับค่าจ้างให้โดยใช้เกณฑ์ของคะแนนการประเมินผลของพนักงานปี 2549 มาเป็นเกณฑ์ในการคิดเงินขึ้น ตามที่จำเลยกำหนด เดิมจำเลยกำหนดเกณฑ์การขึ้นเงินประจำปีโดยใช้ระบบประเมินผลการปฏิบัติงานพนักงานโรงงานเป็นเกณฑ์ในการวัดผลเพื่อขึ้นเงินเดือนให้แก่พนักงานแต่ละราย ตามแบบประเมินผลดังกล่าวมีทั้งการให้คะแนนและการตัดคะแนนซึ่งพนักงานแต่ละรายจะได้รับคะแนนหรือถูกตัดคะแนนก็ขึ้นอยู่กับการทำงาน หรือการหยุดงานหรือตามข้อกำหนดอื่น ๆ โดยคะแนนที่จะนำมาเป็นเกณฑ์เพื่อขึ้นเงินเดือนก็คือคะแนนเฉลี่ยทั้งปีที่รวมคะแนนที่ได้รับและคะแนนที่ถูกตัดเข้าด้วยกัน สำหรับโจทก์ทั้งเก้าจำเลยประเมินคะแนนตามแบบประเมินดังกล่าวเหมือนดังเช่นพนักงานคนอื่น แต่ในช่วงปี 2547 และปี 2548 มีพนักงานหลายรายหยุดงานบ่อยโดยสาเหตุส่วนใหญ่ของการหยุดงานคือลาป่วย และมักจะอ้างถึงสาเหตุของการป่วยว่า ปวดหัว เป็นไข้ ปวดท้อง ท้องเสียเป็นประจำ แต่ไม่ยอมไปพบแพทย์และไม่นำใบรับรองแพทย์มาแสดง อันเป็นเหตุให้จำเลยไม่ทราบว่าพนักงานป่วยเป็นโรคใด และมีผลกับการทำงานหรือไม่ เนื่องจากจำเลยเป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีการใช้สารเคมีหลายประเภทและมีเครื่องจักรขนาดใหญ่หลายเครื่อง จึงคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นปัจจัยหลักในการทำงาน หากพนักงานป่วยเป็นโรคที่มีผลกับการทำงานและไม่ได้รับการรักษาให้หายขาดตามหลักการแพทย์ อาจเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงในการทำงานได้ จำเลยจึงแจ้งไปยังพนักงานที่มีประวัติการลาป่วยบ่อยครั้งให้ไปตรวจรักษาโรคที่เป็นอยู่กับแพทย์แผนปัจจุบัน และให้พนักงานขอใบรับรองแพทย์มาแสดงแก่จำเลยด้วย เพื่อที่จำเลยจะได้ช่วยดูแลและช่วยเหลือในเรื่องการรักษาให้หายขาดและจะได้ประเมินถึงอาการเจ็บป่วยและความพร้อมของร่างกายของพนักงานว่ามีความพร้อมเพียงพอหรือไม่ที่จะทำงานในระหว่างที่ยังคงเจ็บป่วยอยู่ แต่พนักงานที่ลาป่วยส่วนใหญ่ไม่ไปพบแพทย์และไม่นำใบรับรองแพทย์มาแสดง อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าพนักงานเหล่านั้นปล่อยปละละเลยไม่ดูแลรักษาตัวเอง ดังนั้นเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2549 จำเลยจึงจัดประชุมเพื่อหาแนวทางแก้ไข ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยฝ่ายบริษัทและพนักงานที่มีประวัติการลาป่วยโดยไม่มีใบรับรองแพทย์บ่อยมากจำนวน 17 ราย ซึ่งรวมถึงโจทก์ทั้งเก้านี้ด้วย ที่ประชุมเสนอแนวทางการแก้ไขโดยลดวันหยุดของพนักงานทุกคนที่มีวันลาตั้งแต่ 15 วันขึ้นไป ซึ่งลาป่วยโดยไม่มีรับรองแพทย์มาแสดง (ไม่รวมป่วยผ่าตัด,อุบัติเหตุฯ) ลงร้อยละ 20 ด้วยการให้พนักงานที่ลาหยุดด้วยเหตุลาป่วยนำใบรับรองแพทย์มาแสดงทุกครั้งเพื่อที่จำเลยจะได้เข้าช่วยเหลือ เพื่อรักษาให้ตรงจุดและหายขาดจากโรคที่เป็น อันจะทำให้เกิดความปลอดภัยในการทำงานและสามารถทำงานให้สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ หากพนักงานที่เข้าโครงการลดวันหยุดด้วยเหตุลาป่วยโดยไม่มีใบรับรองแพทย์รายใดหยุดงานด้วยเหตุลาป่วยแต่ไม่ไปพบแพทย์เพื่อรักษาตัวเอง จะถือว่าพนักงานคนดังกล่าวละเลยที่จะไม่ดูแลรักษาตัวเอง จำเลยโดยฝ่ายบุคคลจะทำการตัดคะแนนประเมินผลครั้งละ 10,000 คะแนน หากมีใบรับรองแพทย์มาแสดงจะไม่มีการตัดคะแนนแต่อย่างใด ทั้งนี้จำเลยฝ่ายบุคคลประกาศให้พนักงานทราบทั่วกันแล้วเมื่อโจทก์ทั้งเก้าและพนักงานที่เข้าประชุมทั้ง 17 ราย ลาหยุดด้วยเหตุลาป่วยโดยไม่มีใบรับรองแพทย์มาแสดงและมีวันลาหยุดด้วยเหตุดังกล่าวในหนึ่งปีรวมกันเกิน 14 วัน จึงเข้าเงื่อนไขที่จะต้องเข้าโครงการลดวันหยุดในปีถัดไปตามที่ได้ร่วมประชุม ในปี 2549 โจทก์ทั้งเก้ายังคงลาหยุดโดยเหตุลาป่วยเป็นประจำและยังคงไม่ไปพบแพทย์และไม่มีใบรับรองแพทย์มาแสดง จำเลยจึงตัดคะแนน 10,000 คะแนน ทุกครั้งที่โจทก์แต่ละคนลาป่วยและไม่มีใบรับรองแพทย์มาแสดง จึงทำให้คะแนนเฉลี่ยปลายปีไม่ถึงเกณฑ์ที่จะได้รับการพิจารณาให้ขึ้นเงินเดือน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งเก้าอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงานกลางฟังข้อเท็จ
จริงว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับวันที่ 23 พฤศจิกายน 2549 ข้อ 2 กำหนดให้จำเลยปรับเงินค่าจ้างได้โดยใช้หลักเกณฑ์คะแนนการประเมินผลของพนักงานปี 2549 มาเป็นเกณฑ์ในการคิดเงินขึ้นตามที่จำเลยกำหนด ตามเอกสารหมาย จ.ล.2 แต่มิได้เป็นหลักเกณฑ์บังคับเด็ดขาด จำเลยอาจกำหนดหลักเกณฑ์อื่นขึ้นมาประกอบการพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนให้พนักงานได้ หากจำเลยเห็นว่าเหมาะสมแก่การบริหารงานของจำเลย การที่จำเลยจัดให้มีโครงการลดวันหยุดของพนักงานตามเอกสารหมาย ล.1 กำหนดให้พนักงานที่มีวันหยุดด้วยเหตุลาป่วยแต่ไม่มีใบรับรองแพทย์มาแสดงและมีวันลาหยุดดังกล่าวในหนึ่งปีรวมกันเกิน 15 วัน พนักงานผู้นั้นต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาและนำใบรับรองแพทย์มาแสดง หากไม่พบแพทย์และไม่นำใบรับรองแพทย์มาแสดงจะถูกตัดคะแนนประเมินผลครั้งละ 10,000 คะแนน โครงการลดวันหยุดดังกล่าวถือว่าเป็นหลักเกณฑ์ที่จำเลยกำหนดขึ้นเพื่อความเหมาะสมในการบริหารงานภายในองค์กรและนำมาใช้เป็นหลักเกณฑ์ประเมินผลงานเพื่อปรับขึ้นเงินเดือนให้พนักงานของจำเลยได้ไม่ถือว่าเป็นการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงข้อตกลงกับสภาพการจ้างตามเอกสารหมาย จ.ล.2 การปรับขึ้นเงินของพนักงานจำเลยในปี 2550 จำเลยยังคงใช้หลักเกณฑ์ตามแบบประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานปี 2549 มาพิจารณาปรับขึ้นเงินให้พนักงานเพียงแต่การปรับขึ้นเงินในปี 2550 จำเลยนำโครงการลดวันหยุดของพนักงานตามที่ได้ประชุมพนักงานที่มีวันหยุดเพราะเหตุลาป่วยมาพิจารณาประกอบ เมื่อโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ถึงที่ 10 มีวันหยุดเพราะเหตุลาป่วยและจำเลยได้ตัดคะแนนตามโครงการลดวันหยุดทำให้คะแนนการประเมินผลไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ถึงที่ 10 จึงไม่ได้รับการปรับเงินขึ้น ที่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ถึงที่ 10 อุทธรณ์ว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับวันที่ 23 พฤศจิกายน 2549 ข้อ 2 หมายถึง การตกลงกันให้จำเลยเป็นผู้กำหนดจำนวนเงินที่จะปรับขึ้นให้พนักงานเท่านั้น ส่วนการประเมินผลคะแนนการปฏิบัติงานต้องยึดถือตามแบบประเมินผลเอกสารหมาย จ.ล.3 มิได้หมายรวมถึงว่าจำเลยเป็นผู้กำหนดแบบการประเมินผลคะแนนอย่างไรก็ได้ตามที่จำเลยจะเห็นสมควร และข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างข้อ 9 ฉบับวันที่ 23 พฤศจิกายน 2548 (ที่ถูกข้อ 11 ฉบับวันที่ 23 พฤศจิกายน 2549) ว่า “บริษัทฯ ตกลงให้สภาพการจ้างที่นอกเหนือจากการยื่นข้อเรียกร้องในครั้งนี้ให้คงไว้ตามเดิม” มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2549 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 (ที่ถูกวันที่ 1 มกราคม 2550 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2550) ซึ่งในระหว่างที่ข้อตกลงมีผลใช้บังคับ ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2549 จำเลยได้กำหนดหลักเกณฑ์การให้คะแนนการประเมินผลการปฏิบัติงานเพิ่มเติมจากแบบประเมินผลการปฏิบัติงานเอกสารหมาย จ.ล.3 ซึ่งเป็นข้อตกลงที่เกี่ยวกับสภาพการจ้างโดยไม่เป็นคุณแก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ถึงที่ 10 นอกจากนี้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จ.ล.2 ข้อ 11 ฉบับวันที่ 23 พฤศจิกายน 2549 ว่า “บริษัทฯ ตกลงให้สภาพการจ้างที่นอกเหนือจากการยื่นข้อเรียกร้องในครั้งนี้ให้คงไว้ตามเดิม” หมายความว่าโจทก์และจำเลยได้ตกลงกันให้ใช้หลักเกณฑ์ของคะแนนการประเมินผลเอกสารหมาย จ.ล.3 ตามเดิม การที่จำเลยกำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นมาใหม่แตกต่างไปจากแบบประเมินผลการปฏิบัติงานเอกสารหมาย จ.ล.3 โดยไม่เป็นคุณแก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ถึงที่ 10 จึงเป็นการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับวันที่ 23 พฤศจิกายน 2549 ข้อ 2 ให้ใช้หลักเกณฑ์ของคะแนนการประเมินผลของพนักงานปี 2549 มาเป็นเกณฑ์ในการคิดเงินขึ้น ตามเอกสารหมาย จ.ล.2 หลักเกณฑ์การประเมินดังกล่าวปรากฏตามแบบประเมินผลการปฏิบัติงานเอกสารหมาย จ.ล.3 แต่เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2549 โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ถึงที่ 10 และพนักงานของจำเลยอีกส่วนหนึ่งตกลงกับจำเลยว่าหากมีการหยุดงานตั้งแต่ 15 ขึ้นไป ถ้าป่วยแต่ละครั้งหากไม่ไปพบแพทย์เพื่อรักษา ไม่มีใบรับรองแพทย์มาแสดงจะทำการตัดคะแนนประเมินผลครั้งละ 10,000 คะแนน ตามบันทึกการประชุม เอกสารหมาย ล.1 การที่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ถึงที่ 10 ทำข้อตกลงกับจำเลยในลักษณะเช่นนี้มิใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง แต่เป็นเพียงวิธีการเปลี่ยนแปลงแบบวิธีการประเมินตามที่ตกลงกันไว้ใหม่เท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องของอำนาจการบริหารกิจการของนายจ้างที่สามารถกระทำได้ ทั้งเป็นการตกลงก่อนที่จำเลยกับสหภาพแรงงานสินธานีและสหภาพแรงงานพนักงานสินธานีจะทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จ.ล.2 ซึ่งข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าว ข้อ 11 ตกลงให้สภาพการจ้างที่นอกเหนือจากการยื่นข้อเรียกร้องครั้งนี้ให้คงไว้ตามเดิม เมื่อโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ถึงที่ 10 ยอมรับข้อตกลงตามบันทึกการประชุมเอกสารหมาย ล.1 โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ถึงที่ 10 ก็ต้องผูกพันตามข้อตกลงนั้นและข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จ.ล.2 ซึ่งทำขึ้นภายหลังยอมรับให้คงไว้ตามเดิม โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ถึงที่ 10 จึงต้องยอมรับหลักเกณฑ์การประเมินตามข้อตกลงเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2549 ดังนั้นข้ออ้างตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ถึงที่ 10 จึงฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.