คำพิพากษาฎีกาที่ 15911 - 15913/2553
เลิกจ้างเพราะเหตุเบิกความเท็จ
คดีทั้งสามสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และเรียกจำเลยทั้งสามสำนวนว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 14
โจทก์ทั้งสามฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 เป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จำเลยที่ 14 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โจทก์ทั้งสามเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 14 เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2548 โจทก์ทั้งสามเบิกความเป็นพยานต่อศาลแรงงานกลางในคดีหมายเลขดำที่ 7198/2547 ต่อมาโจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 กล่าวหาว่าจำเลยที่ 14 กระทำการอันไม่เป็นธรรมโดยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นกรรมการสหภาพแรงงานและเป็นผู้แทนเจรจาข้อเรียกร้อง เนื่องด้วยไปเป็นพยานต่อศาลแรงงานกลาง จำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 รับคำร้องได้ดำเนินการแล้วมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ คำสั่งของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 เป็นการวินิจฉัยที่ลดละไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่สมเหตุสมผล ปราศจากข้อเท็จจริงอันเป็นพยานหลักฐาน จำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 เพียงแต่หยิบยกเหตุผลว่าศาลแรงงานกลางมีคำพิพากษายกฟ้อง จึงเชื่อว่าคำเบิกความของโจทก์ทั้งสาม ซึ่งเป็นข้อสำคัญในดคีเป็นความเท็จ ทั้งที่จำเลยที่ 14 มิได้แจ้งความร้องทุกข์หรือดำเนินคดีอาญาในข้อหาดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสาม พยานหลักฐานที่จำเลยที่ 14 นำเข้าชี้แจงยังไม่อาจยืนยันได้ว่าโจทก์ทั้งสามกระทำความผิดจริง จำเลยที่ 14 เลิกจ้างหลังจากที่โจทก์ทั้งสามไปเบิกความเป็นพยานต่อศาลแรงงานกลาง แต่มิได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามในทันทีแต่รอให้โจทก์ทั้งสามเป็นตัวแทนเจรจาข้อเรียกร้องจึงเลิกจ้าง ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้และสนับสนุนว่าเลิกจ้างเนื่องจากเป็นผู้แทนเจรจาอันเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 121 (1) และ(2) ขอศาลเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 99 – 102/2548 ให้จำเลยที่ 14 รับโจทก์ทั้งสามเข้าทำงานและใช้ค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันรับเข้าทำงาน พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 ให้การว่า ข้ออ้างของโจทก์ทั้งสามที่ว่าจำเลยที่ 14 เลิกจ้างเนื่องจากเป็นกรรมการสหภาพแรงงานนั้น โจทก์ทั้งสามชี้แจงว่าสมัครเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานและได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการสหภาพแรงงานรวมกับลูกจ้างอื่นอีก 11 คน จำเลยที่ 14 ปฏิเสธว่าไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามเนื่องจากเป็นกรรมการสหภาพแรงงาน ก่อนเลิกจ้างโจทก์ทั้งสาม จำเลยที่ 14 เลิกจ้างกรรมการสหภาพแรงงาน 2 คน อ้างเหตุทำผิดข้อบังคับการทำงาน ส่วนกรรมการสหภาพแรงงานคนอื่นๆ ยังคงทำงานตามปกติ โจทก์ทั้งสามได้รับการเลือกตั้งมาตั้งแต่ปี 2544 ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 14 ไม่พอใจและกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามไม่มีพยานหลักฐานใดสนับสนุนให้เห็นตามที่กล่าวอ้างเมื่อพิจารณาพยานหลักฐานแล้วไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 14 เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามเนื่องจากเป็นกรรมการสหภาพแรงงาน ส่วนข้ออ้างที่ว่าจำเลยที่ 14 เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามเนื่องจากเป็นผู้แทนเจรจานั้น โจทก์ทั้งสามชี้แจงว่าผู้แทนเจรจาข้อเรียกร้องมีทั้งหมด 7 คน ซึ่งผู้แทนเจรจาอีก 4 คน จำเลยที่ 14 มิได้เลิกจ้างและยังคงทำงานตามปกติข้อเท็จจริงได้ความจากพยานว่า การเจรจาไม่มีปัญหารุนแรง เป็นการเจรจาแบบปกติทั่วไปหลังจากเจรจาแล้ว ผู้แทนทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันด้วยดี จำเลยที่ 14 มิได้กลั่นแกล้ง จึงมิอาจรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 14 เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามเนื่องจากเป็นพยานต่อศาลแรงงานกลางนั้นทั้งสองฝ่ายรับกันว่าโจทก์ทั้งสามไปเบิกความเป็นพยานต่อศาลแรงงานกลางในคดีหมายเลขดำที่ 7198/2547 ซึ่งต่อมาศาลแรงงานกลางมีคำพิพากษาเห็นว่าพยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันในสาระสำคัญในเรื่องการประชุมแต่งตั้งคณะกรรมการลูกจ้างและพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 14 จึงมิได้ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 121(1) และ (2) คำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ที่ 99 -102/2548 ของจำเลย ที่ 1 ถึงที่ 13 จึงชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้วไม่มีเหตุเพิกถอน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 14 ให้การว่า คำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 99 – 102/2548 ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว จำเลยที่ 14 เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามเนื่องจากเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2548 โจทก์ทั้งสามเบิกความต่อศาลแรงงานกลางในฐานะพยานโจทก์ในคดีหมายเลขดำที่ 7198/2547 ซึ่งนายประจวบ ซื่อสัตย์ ลูกจ้างเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 14 เป็นจำเลย คำให้การของโจทก์ทั้งสามเป็นความเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดี เป็นการกระทำผิดอาญามาตรา 177 แห่งประมวลกฎหมายอาญา จำเลยที่ 14 จึงเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามเพราะเหตุดังกล่าว มิได้เลิกจ้างเพราะเหตุโจทก์ทั้งสามเป็นกรรมการสหภาพแรงงาน เป็นตัวแทนเจรจาข้อเรียกร้องและมิได้เลิกจ้างเพราะเหตุที่โจทก์ทั้งสามไปเป็นพยานต่อศาล การเลิกจ้างมิได้ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121 (1) และ (2) ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 เป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 จำเลยที่ 14 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โจทก์ทั้งสามทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 14 โจทก์ทั้งสามและนายธานินทร์ น้อยสี เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการสหภาพแรงงาน วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2548 สหภาพแรงงานโซไนโค ยื่นข้อเรียกร้องขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง มีการเจรจาข้อเรียกร้องแต่ตกลงกันไม่ได้ จนเกิดข้อพิพาทแรงงาน มีการแจ้งข้อพิพาทแรงงานให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานทราบ พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานเข้าไกล่เกลี่ยแล้ว แต่ตกลงกันไม่ได้และเกิดข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายไม่ได้ดำเนินมาตรการทางแรงงานสัมพันธ์นายประจวบ ซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 14 เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 14 ต่อศาลแรงงานกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ 7198/2547 หมายเลขแดงที่ 1625/2548 กล่าวหาว่าจำเลยที่ 14 เลิกจ้างนายประจวบ ซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง โดยไม่ได้รับ อนุญาตจากศาลแรงงาน วันที่ 23 มีนาคม 2548 โจทก์ทั้งสามเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีดังกล่าว ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง และคดีถึงที่สุดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2548 ต่อมาวันที่ 31 พฤษภาคม 2548 จำเลยที่ 14 มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งสาม โดยเชื่อว่าคำเบิกความของโจทก์ทั้งสามในคดีนั้นเป็นความเท็จในข้อสำคัญเป็นการทำความผิดอาญาต่อนายจ้าง มิได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามเนื่องจากเป็นกรรมการสหภาพแรงงานและไม่ได้เลิกจ้างเพราะการเป็นผู้แทนเจรจาข้อเรียกร้อง วันที่ 6 มิถุนายน 2548 โจทก์ทั้งสามและนายธานินทร์ ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ กล่าวหาว่าจำเลยที่ 14 กระทำการอันไม่เป็นธรรม ซึ่งรับคำร้องของโจทก์ทั้งสามกับพวกแล้ว มีคำสั่งตั้งคณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์เพื่อสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน คณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้สอบปากคำโจทก์ทั้งสามและบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งรวบรวมเอกสารไว้ ต่อมาคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งที่ 99 – 102/2548 โดยวินิจฉัยว่า การดำเนินการของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์นับตั้งแต่รับคำร้องกล่าวหาจนถึงการออกคำสั่ง เป็นการกระทำตามที่พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 41 ถึงมาตรา 43 ให้อำนาจไว้เป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายตามพยานหลักฐานโดยมีเหตุผลสนับสนุนการวินิจฉัย การเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามมิได้มีสาเหตุจากการที่โจทก์ทั้งสามเป็นผู้แทนเจรจากับจำเลยที่ 14 และมิได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งทั้งสามเพราะเหตุที่โจทก์ทั้งสามไปเบิกความเป็นพยานต่อศาลแรงงานกลางในคดีหมายเลขดำที่ 7198/2547 เป็นคำสั่งที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลง จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ประการเดียวว่า จำเลยที่ 14 เลิกจ้างโจทก์ทั้งสาม โดยมีเพียงความเชื่อว่าโจทก์ทั้งสามไปเบิกความเป็นพยานต่อศาลแรงงานกลาง ซึ่งเป็นข้อสำคัญเป็นความเท็จ เมื่อจำเลยที่ 14 ยังมิได้มีการแจ้งความร้องทุกข์หรือดำเนินคดีกับโจทก์ทั้งสามเพื่อพิสูจน์ว่าโจทก์ทั้งสามกระทำผิดจริง จ้อสำคัญที่เป็นเท็จเป็นอย่างไรที่เป็นจริงเป็นอย่างไร จึงเป็นการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามในขณะที่โจทก์ทั้งสามเป็นกรรมการสหภาพแรงงาน มีการยื่นข้อเรียกร้อง และเจรจาข้อเรียกร้อง แต่ตกลงกันไม่ได้เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 121(1) และ(2) นั้น เห็นว่า เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าการที่จำเลยที่ 14 เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามนั้น จำเลยที่ 14 มีเหตุผล และมีพยานหลักฐานสนับสนุนเพียงพอให้เชื่อว่าโจทก์ทั้งสามเบิกความอันเป็นเท็จต่อศาลแรงงานกลางในสาระสำคัญของคดี และอาจมีผลให้จำเลยที่ 14 ซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหาย ฉะนั้น ที่โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ยกข้ออ้างต่างๆ มานั้น ก็เพื่อให้เห็นว่าการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามนี้ จำเลยที่ 14 มีแต่เพียงความเชื่อว่าโจทก์ทั้งสามเบิกความเท็จ โดยปราศจากพยานหลักฐานหรือข้อพิสูจน์จากการที่ต้องดำเนินคดีอาญาต่อโจทก์ทั้งสาม จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางอันเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายว่าการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามอุทธรณ์หรือไม่ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ทั้งสาม.