คำพิพากษาฎีกาที่ 13187/2553
การพิจารณาว่าเลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาเหตุแห่งการเลิกจ้างว่ามีเหตุสมควรเลิกจ้างหรือไม่ ไม่จำต้องพิจารณาว่าการสอบสวนชอบหรือไม่
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้อำนวยการใหญ่ จำเลยที่ 3 เป็นรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายปฏิบัติการ จำเลยที่ 4 เป็นผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานบุคคล จำเลยที่ 5 เป็นผู้อำนวยการฝ่ายบริหารนักบิน จำเลยที่ 6 เป็นผู้อำนวยการประจำสำนักรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ จำเลยที่ 7 เป็นผู้จัดการกองหัวหน้านักบินแบบ 747 – 400 จำเลยที่ 8 เป็นผู้อำนวยการกองฝึกอบรมพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน จำเลยที่ 9 เป็นรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายปฏิบัติการ จำเลยที่ 10 เป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล จำเลยที่ 11 เป็นนิติกรประจำฝ่ายกฎหมายของจำเลยที่ 1 โจทก์ทำงานเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2536 ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นนักบินผู้ช่วยฝ่ายปฏิบัติการบินเงินเดือนอัตราสุดท้ายเดือนละ 72,845 บาท กับค่าตอบแทนอื่นอีกส่วนหนึ่ง เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2546 เวลาประมาณ 4.30 ถึง 5.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะที่โจทก์กลับจากรับประทานอาหารเช้าและกำลังเดินกลับห้องพักที่โรงแรมเวสต์อินได้เดินผ่านห้องหมายเลข 484 ซึ่งเป็นห้องพักของนางสาวยาซูโกะ ชิชิโดะ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของจำเลยที่ 1 เห็นประตูห้องดังกล่าวเปิดแง้มอยู่ ด้วยความสงสัยและเป็นห่วงในความปลอดภัยของพนักงานของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงเคาะประตูเรียกแต่ไม่มีเสียงตอบ โจทก์คิดว่าเจ้าของห้องอาจไม่อยู่หรืออยู่แต่กำลังเกิดเหตุร้ายต้องการความช่วยเหลือ ด้วยความบริสุทธิ์ใจจึงได้ผลักประตูเดินเข้าไปดู พบคนนอนห่มผ้าอยู่บนเตียง โจทก์จึงก้าวออกมาที่บริเวณประตูเพราะกลัวจะทำให้คนที่นอนตกใจตื่นและได้เขียนข้อความลงบนกระดาษที่ติดตัวมาเพื่อเตือนเจ้าของห้องพักเป็นเวลาเดียวกับที่นางสาวยาซูโกะตื่นขึ้นมา โจทก์จึงรีบออกจากห้องพร้อมปิดประตูต่อมาวันที่ 11 มิถุนายน 2546 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีคำสั่งพักงานโจทก์ระหว่างสอบสวน จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้มีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 เป็นกรรมการสอบสวนเรื่องดังกล่าว จำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 เสนอความเห็นเบื้องต้นว่าโจทก์มีความผิดให้ลงโทษให้ออกจากการเป็นพนักงาน ต่อมาวันที่ 30 มิถุนายน 2546 จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 เป็นกรรมการสอบสวนทางวินัย ต่อมาจำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 ได้รายงานผลการสอบสวนถึงจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยเสนอให้ลงโทษโจทก์ให้ออกจากการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 และในวันที่ 8 กันยายน 2546 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ร่วมกันมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากการเป็นพนักงานเนื่องจากพฤติการณ์ไม่เหมาะสม ทำให้จำเลยที่ 1 ไม่ไว้วางใจและไม่ประสงค์จะให้ทำงานอีกต่อไป ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2546 เป็นต้นไป คำสั่งให้สอบสวนโจทก์ คำสั่งพักงานและคำสั่งให้ออกจากการเป็นพนักงานดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ไม่มีเหตุผลเพียงพอและเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม โจทก์ได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ก็ยังมิได้มีการพิจารณาเรื่องของโจทก์ซึ่งขัดต่อระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันมีคำสั่งรับโจทก์กลับเข้าทำงานในอัตราเงินเดือนตำแหน่งหน้าที่เดิมและให้พิจารณาเลื่อนขั้นตามปกติเช่นเดียวกับพนักงานอื่น ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ร่วมกันชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เป็นเงิน 126,264.74 บาท ค่าชดเชยเป็นเงิน 437,070 บาท ค่าเบี้ยเลี้ยงการปฏิบัติการบินปีละ 434,673 บาท เงินโบนัสเป็นเวลา 2 ปี เป็นเงิน 673,120 บาท เงินเพิ่มประจำเดือนสำหรับค่าครองชีพเป็นเงิน 79,770 บาท เงินค่าตอบแทนชั่วโมงทำงานในการปฏิบัติการบินเป็นเงิน 465,426 บาท เงินค่าตอบแทนพิเศษต่อผู้ถือใบอนุญาตผู้บังคับอากาศยานเป็นเงิน 180,000 บาท เงินค่าชดเชยวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์เป็นเงิน 52,448 บาท ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ร่วมกันชำระภาษีเงินได้บุคคลจำนวน 704,732 บาท กับค่าเสียหายจากการผิดสัญญาจ้างและเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 28,462,780 บาท กับค่าเสียหายต่อชื่อเสียงของโจทก์และวงศ์ตระกูลเป็นเงิน 200,000,000 บาท แก่โจทก์และให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ร่วมกันชำระดอกเบี้ยและเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 15 ทุกระยะเวลา 7 วัน ของต้นเงินตามฟ้องดังกล่าวนับแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2546 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสิบเอ็ดให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 11 ดำเนินคดีแทน เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2546 เวลาประมาณ 4.30 น. ขณะที่นางสาวยาซูโกะ ชิชิโดะ กำลังนอนหลับอยู่ในห้องพักที่โรงแรมเวสต์อิน โจทก์ได้แอบเข้าไปในห้องพักของนางสาวยาซูโกะ โดยไม่มีเหตุอันควร นางสาวยาซูโกะ ตื่นขึ้นมาพบและเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงแรมมาเพื่อจับกุมตัวโจทก์ จำเลยที่ 7 ได้ไปรับรองกับพนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงแรมว่าจะนำตัวโจทก์ไปดำเนินการที่ประเทศไทยเอง พนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงแรมจึงยอมปล่อยตัวโจทก์ให้จำเลยที่ 7 นำกลับประเทศไทยเพื่อทำการสอบสวนจำเลยที่ 1 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนชั้นต้น เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2546 เพื่อทำการสอบสวน แล้วจำเลยที่ 1 ได้ออกคำสั่งเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2546 ให้พักงานโจทก์ระหว่างสอบสวน ต่อมาวันที่ 30 มิถุนายน 2546 จำเลยที่ 1 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยเพื่อทำการสอบสวนโจทก์ คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยได้ทำการสอบสวนแล้วมีความเห็นให้ลงโทษโจทก์ให้ออกจากการเป็นพนักงาน จำเลยที่ 1 จึงมีคำสั่งเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2546 ให้จำเลยที่ 1 ออกจากการเป็นพนักงานเนื่องจากพฤติการณ์ไม่เหมาะสมทำให้จำเลยที่ 1 ไม่ไว้วางใจและไม่ประสงค์จะให้ทำงานกับจำเลยที่ 1 อีกต่อไป ตามระเบียบของจำเลยที่ 1 ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล ตอนที่ 2 ข้อ 12 ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2546 เป็นต้นไป โจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของจำเลยที่ 1 ต่อกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของจำเลยที่ 1 และก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์มอบให้ทนายความส่งหนังสือข่มขู่เรียกร้องให้นางสาวยาซูโกะ ชดใช้ค่าเสียหายจากการที่รายงานพฤติกรรมของโจทก์ต่อจำเลยที่ 1 และต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องนางสาวยาซูโกะ เป็นคดีต่อศาลแพ่ง แล้วโจทก์ถอนฟ้องคดีดังกล่าว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินหรือค่าเสียหายใดๆ ตามฟ้องเนื่องจากการเลิกจ้างโจทก์มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 11 ไมใช่นายจ้างของโจทก์ แต่มีฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เช่นเดียวกับโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 11 และคำฟ้องข้อ 7.6 ถึง 7.10 เป็นฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ในตำแหน่งนักบินผู้ช่วยฝ่ายปฏิบัติการบิน เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2546 เวลาประมาณ 4.30 น. ขณะที่นางสาวยาซูโกะ ชิชิโดะ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของจำเลยที่ 1 นอนหลับอยู่บนเตียงในห้องพักเลขที่ 484 โรงแรมเวสต์อิน ประเทศสหรัฐอเมริกา โจทก์ได้เข้าไปในห้องพักดังกล่าว เมื่อโจทก์เห็นนางสาวยาซูโกะนอนหลับอยู่โจทก์จึงเข้าไปในห้องน้ำภายในห้องพัก เป็นจังหวะเดียวกับที่นางสาวยาซูโกะรู้สึกตัวตื่นขึ้นแต่แกล้งทำเป็นหลับเพราะความกลัวแล้วรีบโทรศัพท์แจ้งพนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงแรมมานำโจทก์ออกไปจากห้องพัก พฤติการณ์ที่โจทก์เข้าไปในห้องพักและห้องน้ำภายในห้องพักของนางสาวยาซูโกะซึ่งไม่เคยรู้จักสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก่อนโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันควรที่จะเข้าไป ถือได้ว่าเป็นการเข้าไปรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยปกติสุข เป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่พนักงานระดับสูงอย่างโจทก์จะพึงกระทำจึงเป็นการกระทำผิดตามที่ระบุในหนังสือเลิกจ้างซึ่งเป็นกรณีที่ร้ายแรงและก่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจแก่จำเลยที่ 1 ที่จะให้โจทก์ปฏิบัติหน้าที่อื่นสำคัญต่อไป การที่จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์จึงไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและการจะพิจารณาว่าการเลิกจ้างเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้นต้องพิจารณาเหตุแห่งการเลิกจ้างว่ามีเหตุสมควรเลิกจ้างหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าการสอบสวนของจำเลยที่ 1 ชอบหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป เมื่อการเลิกจ้างเกิดจากโจทก์กระทำผิดเป็นกรณีที่ร้ายแรงและมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และโจทก์ไม่มีสิทธิขอให้จำเลยที่ 1 รับโจทก์กลับเข้ามาทำงานหรือชดใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ศาลแรงงานกลางยังฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 11 ต่างล้วนเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เช่นเดียวกับโจทก์มิได้มีฐานะเป็นนายจ้างของโจทก์ จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างที่โจทก์อุทธรณ์ข้อ 2.2 ทำนองว่า โจทก์มีหน้าที่ควบคุมปฏิบัติการบินรวมถึงการดูแลความปลอดภัยผู้โดยสารและลูกเรือซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ที่พักอาศัยอยู่ต่างประเทศด้วย วันเกิดเหตุโจทก์เห็นประตูห้องพักของนางสาวยาซูโกะเปิดอยู่โจทก์เกรงว่าจะเกิดอันตรายเนื่องจากทราบว่าเคยมีการทำร้ายและลักทรัพย์ผู้เข้าพักมาก่อนโจทก์จึงเข้าไปในห้องพักของนางสาวยาซูโกะเพื่อต้องการเตือน มิได้มีเจตนาร้ายหรือต้องการล่วงละเมิดทางเพศหรือต้องการลักทรัพย์แต่อย่างใด และเมื่อนางสาวยาซูโกะบอกให้โจทก์ออกไปจากห้องพักโจทก์ก็ปฏิบัติตาม ทั้งจากพยานหลักฐานก็ไม่ปรากฏว่ามีการแจ้งความดำเนินคดีต่อโจทก์ในข้อหาบุกรุกแต่อย่างใด ดังนั้น การที่โจทก์เข้าไปในห้องพักของนางสาวยาซูโกะจึงเป็นการเข้าไปโดยมีเหตุอันสมควร และไม่เป็นความผิดกรณีที่ร้ายแรงถึงขั้นเลิกจ้างนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าว ล้วนแล้วแต่เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการฟังข้อเท็จจริงของศาลแรงงานกลางเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่โจทก์อุทธรณ์ข้อ 2.1 ว่า ตามระเบียบจำเลยที่ 1 ว่าด้วยการบริหารบุคคล การที่จำเลยที่ 1 จะลงโทษโจทก์ จำเลยที่ 1 จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่ได้กำหนดไว้ในระเบียบดังกล่าวโดยผู้มีอำนาจตามที่จำเลยที่ 1 กำหนดไว้ตามเอกสารแนบท้ายระเบียบและการลงโทษต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยก็มิได้แต่งตั้งโดยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ การสอบสวนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยขัดกับระเบียบของจำเลยที่ 1 การเลิกจ้างโจทก์จึงขัดกับกับระเบียบจำเลยที่ 1 ว่าด้วยการบริหารงานบุคคลนั้น ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า การเลิกจ้างโจทก์มิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เนื่องจากการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและระเบียบของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายกรณีที่ร้ายแรง ดังนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวแม้ศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลแห่งคดีได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
สำหรับปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 11 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่นั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์แล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นนี้ต่อไปอีก
พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์.