คำพิพากษาฎีกาที่ 7968/53
เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานต้องฟ้องภายใน 30 วัน นับแต่วันรับทราบคำสั่ง (วันที่ลงชื่อรับเอกสารทางไปรษณีย์ พนักงานรับแทนถือว่ารับโดยชอบ)
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2547 โจทก์ได้รับคำสั่งเป็นหนังสือจากกลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ 2 ซึ่งอยู่ในสังกัดของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ออกคำสั่ง โดยคำสั่งดังกล่าวได้วินิจฉัยเรื่องค่าจ้างค้างจ่าย ค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า อันมีนายสุนทร ไชยชนะ ลูกจ้างโจทก์ได้ยื่นคำร้องทุกข์ต่อพนักงานตรวจแรงงานและโจทก์ได้เข้าชี้แจงต่อจำเลยที่ 2 แล้ว จำเลยที่ 2 ได้ทำการสอบสวนและมีคำสั่งที่ 58/2547 ให้โจทก์จ่ายค่าจ้างค้างจ่าย เป็นเงิน 9,150 บาท และจ่ายค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้าย หนึ่งร้อยแปดสิบวัน เป็นเงิน 9,150 บาท และจ่ายค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้าย หนึ่งร้อยแปดสิบวัน เป็นเงิน 66,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 75,150 บาท ให้แก่ลูกจ้างผู้ร้อง คำวินิจฉัยของจำเลยที่ 2 ยังคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จและข้อกฎหมาย และยังมิได้วินิจฉัยในบางประเด็นตามที่โจทก์ได้ให้ถ้อยคำในการสอบสวน อีกทั้งคำสั่งเป็นธรรมแก่โจทก์ผู้เป็นนายจ้าง เนื่องจากเงินค่าจ้างที่จะต้องนำมาคำนวณเป็นค่าชดเชยนั้นควรนำเฉพาะเงินค่าจ้างจริง เพียงเดือนละ 8,000 บาท คำสั่งของจำเลยที่ 2 ที่กำหนดให้โจทก์จ่ายค่าจ้างระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2546 ถึงวันที่ 10 มกราคม 2547 ให้แก่ลูกจ้างผู้ร้อง 9,150 บาท จึงไม่ถูกต้อง ส่วนที่จำเลยที่ 2 ได้วินิจฉัยว่าลูกจ้างผู้ร้องมิได้กระทำความผิดร้ายแรงนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยจากการเลิกจ้าง นั้น โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของจำเลยที่ 2 เนื่องจากลูกจ้างผู้ร้องได้ยักยอกทรัพย์ ซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายจ้าง อันเป็นการกระทำความผิดอย่างร้ายแรง โจทก์มีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยได้ ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 2 และให้คืนเงิน 75,150 บาท ซึ่งโจทก์นำมาวางต่อศาล
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยทั้งสองได้ออกคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 58/2547 โดยชอบด้วยกฎหมาย หามีเหตุจะเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขแต่อย่างใด เพราะก่อนจะออกคำสั่ง จำเลยที่ 2 ได้สอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายสุนทร ไชยชนะ ลูกจ้างผู้ร้องทำการเปิดตู้เก็บของนายวินัยตามคำสั่งของผู้จัดการฝ่ายบุคคล และให้นำสิ่งของภายในตู้มามอบให้ฝ่ายบุคคล แต่ลูกจ้างผู้ร้องได้วางรองเท้าไว้หลังตู้เมื่อลูกจ้างผู้ร้องมาที่ตู้อีกครั้งรองเท้าคู่ดังกล่าวหายไป เป็นเพียงการกระทำอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ได้รับมอบหมาย และจากการสอบสวนพยานและพนักงานที่ทราบเรื่องดังกล่าวของโจทก์ นายจ้างไม่ปรากฏว่าลูกจ้างผู้ร้องเป็นผู้เอารองเท้าคู่ดังกล่าวไป อีกทั้งรองเท้าดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์สินของโจทก์ นายจ้างถือได้ว่าลูกจ้างผู้ร้องทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง ตามมาตรา 119 (1) โจทก์จะนำเหตุที่ลูกจ้างผู้ร้องได้รับการตักเตือนเป็นหนังสือในเรื่องการขาดงาน ไม่เคารพผู้บังคับบัญชาและยุยงให้พนักงานในบริษัทเกิดความแตกแยกซึ่งยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใด ๆ ว่าเป็นกรณีลูกจ้างผู้ร้องกระทำผิดซ้ำคำเตือนเป็นหนังสือดังกล่าว ตามมาตรา 119 (4) มาเป็นเหตุเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยหาได้ไม่ ดังนั้นเมื่อนายสุนทร ไชยชนะ ลูกจ้างผู้ร้องทำงานติดต่อกันมาครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี และได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้าย เดือนละ 11,000 บาท และโจทก์ได้เลิกจ้างโดยไม่เข้ากรณีที่จะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างตามมาตรา 119 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 โจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับนายสุนทร ไชยชนะ ลูกจ้างผู้ร้องไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ตามมาตรา 118 (3) แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ.2541 เป็นเงิน 66,000 บาท ดังนั้น คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย หามีเหตุที่ยกเลิกเพิกถอนเปลี่ยนแปลงแก้ไขแต่ประการใดและคดีนี้โจทก์รับทราบคำสั่งของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2547 แต่โจทก์ฟ้องเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2547 ซึ่งพ้นกำหนดระยะเวลา 30 วัน คำสั่งของจำเลยที่ 2 จึงเป็นที่สุด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 2 จึงขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลแรงงานกลางอนุญาต และให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกเสียจากสารบบความ
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานกลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ 2 ที่ 58/2547 สั่ง ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2547 ให้โจทก์จ่ายค่าจ้างระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2546 ถึงวันที่ 10 มกราคม 2547 เป็นเงิน 9,150 บาท และจ่ายค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวัน เป็นเงิน 66,000 บาท ให้แก่นายสุนทร ไชยชนะ ลูกจ้างผู้ร้องต่อมานายจรัส ครชาตรี นิติกร 6 ว รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการกลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ 2 ได้มีหนังสือส่งคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานลงวันที่ 29 ตุลาคม 2547 ถึงโจทก์ทางไปรษณีย์ตอบรับ ปรากฏว่า นายปัญญาพนักงานลูกจ้างของโจทก์แผนกรักษาเวลา ซึ่งมีหน้าที่รับเอกสารต่างๆ ซึ่งส่งมาจากบุคคลภายนอกด้วยได้ลงลายมือชื่อในใบตอบรับทางไปรษณีย์ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2547 เวลาประมาณ 11 นาฬิกา ตามหนังสือส่งคำสั่งและใบตอบรับเอกสารหมาย ล.12 และ ล.13 คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า นายปัญญาเป็นลูกจ้างของโจทก์แผนกรักษาเวลามีหน้าที่รับเอกสารต่าง ๆ จึงถือได้ว่านายปัญญาเป็นตัวแทนของโจทก์โดยปริยายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 797 วรรคสอง เมื่อได้ความว่านายปัญญาลงลายมือชื่อในใบตอบรับทางไปรษณีย์ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2547 จึงฟังได้ว่าโจทก์ได้รับทราบคำสั่งของจำเลยที่ 2 โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า กรรมการผู้จัดการของโจทก์มาทราบคำสั่งของจำเลยที่ 2 ด้วยตนเองในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2547 ก็ตาม ก็ต้องถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งของจำเลยที่ 2 นับตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2547 แล้ว เมื่อโจทก์ไม่พอใจในคำสั่งของจำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 125 วรรคหนึ่ง ระบุให้โจทก์นำคดีไปสู่ศาลหรือฟ้องเพิกถอนคำสั่งต่อศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งคือวันที่ 17 พฤศจิกายน 2547 ดังนั้น โจทก์จึงต้องมายื่นฟ้องเพิกถอนคำสั่งภายในวันที่ 17 ธันวาคม 2547 เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้มายื่นฟ้องเพื่อเพิกถอนคำสั่งในวันที่ 20 ธันวาคม 2547 จึงเป็นเวลาเกินกว่ากำหนด 30 วัน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2551 มาตรา 125 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์ไม่ฟ้องเพิกถอนคำสั่งภายใน 30 วัน คำสั่งของจำเลยที่ 2 จึงเป็นที่สุด ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 125 วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าคำสั่งของจำเลยที่ 2 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และไม่จำต้องวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิขอเพิกถอนคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานกลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ 2 ที่ 58/2547 สั่งลงวันที่ 27 ตุลาคม 2547 หรือไม่เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายืน.