คำพิพากษาฎีกาที่ 5972 -5982/2553
ประกาศเลิกจ้างจ่ายค่าชดเชยจากฐานค่าจ้างก่อนปรับลดค่าจ้าง ภายหลังยกเลิกประกาศและให้จ่ายค่าชดเชยจากฐานค่าจ้างใหม่ที่ปรับลดไม่ได้
รายชื่อโจทก์ปรากฏตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
คดีทั้งสิบเอ็ดสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษารวมกันมากับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7119/2548 หมายเลขแดงที่ 7120/2548 หมายเลขแดงที่ 7121/2548 ของศาลแรงงานกลางโดยเรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 14 แต่คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์ คงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีทั้งสิบเอ็ดสำนวนนี้
โจทก์ทั้งสิบเอ็ดฟ้องและแก้ไขคำฟ้องเป็นทำนองเดียวกันว่า เมื่อระหว่างปี พ.ศ.2538
ถึง พ.ศ.2543 จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดเข้าทำงานในตำแหน่งผู้จัดการสาขา ผู้ช่วยผู้จัดการสาขา และรักษาการผู้จัดการสาขา ตามคำฟ้องแต่ละสำนวนได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 35,000 บาท 40,000
บาท 35,000 บาท 22,500 บาท 42,500 บาท 36,150 บาท 44,500 บาท 43,750 บาท 35,000 บาท 40,000 บาท 25,000 บาท ตามลำดับ ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดโดยให้มีผลระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2547 โดยโจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่มีความผิดจึงเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และจำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 11 ไม่ครบตามที่ตกลง นอกจากนี้จำเลยตกลงจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ทุกปีในอัตราปีละ 2 เดือน แต่ยังมิได้จ่ายเงินดังกล่าวให้ตั้งแต่ปี 2540 ถึงปี 2546 แก่โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 5 และโจทก์ที่ 7 ถึงโจทก์ที่ 11 ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 11 จำนวน 99,520 บาท 59,520 บาท 72,000 บาท 36,000 บาท 60,000 บาท 81,456 บาท 60,600 บาท 42,000 บาท 88,000 บาท 48,000 บาท 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี สำหรับโจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 6 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี สำหรับโจทก์ที่ 7 ถึงโจทก์ที่ 11 นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 3 และโจทก์ที่ 5 ถึงโจทก์ที่ 11 จำนวนคนละ 500,000 บาท แก่โจทก์ที่ 4 จำนวน 250,000 บาท และให้จ่ายเงินโบนัสแก่โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 5 และโจทก์ที่ 7 ถึงโจทก์ที่ 11 ตามลำดับจำนวน 594,160 บาท 590,240 บาท 560,000 บาท 380,000 บาท 630,000 บาท 659,050 บาท 616,000 บาท 574,000 บาท 574,000 บาท 367,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและเงินโบนัส นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ด
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม เนื่องจากจำเลยประสบภาวะขาดทุนมีรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ทำให้จำเลยต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ เจ้าหนี้ของจำเลยได้ควบคุมค่าใช้จ่ายซึ่งผู้บริหารแผนจำต้องหาทางแก้ไขสภาพบุคลากรในส่วนที่ไม่มีงานทำ โดยโอนย้ายลูกจ้างไปยังบริษัทอื่น และเลิกจ้างลูกจ้างส่วนใหญ่คงเหลือเฉพาะหน่วยงานที่มีความจำเป็นเกี่ยวกับการติดตามหนี้ เมื่อจำเลยได้แจ้งโจทก์ทั้งสิบเอ็ดให้สมัครงานใหม่กับบริษัทในเครือ แต่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดปฏิเสธ จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ด โดยจ่ายค่าชดเชยให้ครบถ้วนแล้ว สำหรับเงินโบนัสจำเลยจะมีการจ่ายจากผลกำไรจากการดำเนินงานและจำเลยไม่มีข้อตกลงในการจ่ายเงินดังกล่าว เมื่อจำเลยมีภาระหนี้ค้างชำระเป็นจำนวนมาก สถานะการเงินของจำเลยอยู่ในสถานะเพียงเท่าที่สามารถดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนฟื้นฟูกิจการเท่านั้น โจทก์ทั้งสิบเอ็ดย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินโบนัสจากจำเลย นอกจากนี้เงินค่าน้ำมันและค่าโทรศัพท์มิใช่ค่าจ้าง เพราะจำเลยจะจ่ายเงินดังกล่าวให้ตามความเป็นจริงในอัตราเดือนละไม่เกิน 5,000 บาท และต้องนำใบเสร็จรับเงินมาขอเบิกขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 11 จำนวน
99,520 บาท 59,520 บาท 72,000 บาท 20,000 บาท 47,080 บาท 81,456 บาท 60,600 บาท 30,800
บาท 88,000 บาท 48,000 บาท และ 45,000 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินค่าชดเชยสำหรับโจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 6 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินค่าชดเชยของโจทก์ที่ 7 ถึงโจทก์ที่ 11 นับแต่วันฟ้อง (โจทก์ที่ 1 ถึง โจทก์ที่ 5 ฟ้องวันที่ 27 มกราคม 2547 ส่วนโจทก์ที่ 6 ฟ้องวันที่ 8 มิถุนายน 2547 และโจทก์ที่ 7 ถึงโจทก์ที่ 11 ฟ้องวันที่ 21 กรกฎาคม 2547) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ดังกล่าว คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกและให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 12 ถึงโจทก์ที่ 14
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า คำสั่งที่ (พิเศษ) 1/2543 ของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับระหว่างจำเลยกับโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 11 หรือไม่ ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อ พ.ศ.2540 บริษัทจำเลยประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ จำเลยจึงตกลงกับลูกจ้างขอลดค่าจ้างลง โดยจำเลยได้ออกประกาศจ่ายค่าชดเชยให้แก่พนักงาน ซึ่งมีหลักเกณฑ์คำนวณค่าชดเชยจากฐานเงินเดือนก่อนปรับลด ตามประกาศเอกสารหมาย จล.5 ประกาศดังกล่าวเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างในเรื่องค่าชดเชยกรณีหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 10 และมาตรา 13 ต่อมาจำเลยออกคำสั่งที่ (พิเศษ) 1/2543 ตามเอกสารหมาย ล.1 ยกเลิกประกาศจ่ายค่าชดเชยแก่พนักงานเอกสารหมาย จล.5 เห็นว่าตามคำสั่งที่ (พิเศษ) 1/2543 ตามเอกสารหมาย ล.1 ที่ให้ยกเลิกประกาศจ่ายค่าชดเชยให้แก่พนักงานตามเอกสารหมาย จล.5 ซึ่งประกาศดังกล่าวมีหลักเกณฑ์คำนวณค่าชดเชยจากฐานเงินเดือนก่อนปรับลด และจำเลยได้ออกประกาศดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างที่สมัครใจปรับลดเงินเดือนในการช่วยลดค่าใช้จ่ายของจำเลยหลังจากที่ประสบปัญหาทางด้านการเงินในปี 2540 ย่อมมีผลทำให้ลูกจ้างของจำเลยที่จำเลยเลิกจ้างได้รับค่าชดเชยโดยคำนวณค่าชดเชยจากฐานเงินเดือนอัตราสุดท้ายหลังจากปรับลดแล้ว ทำให้ลูกจ้างได้รับค่าชดเชยลดลงจึงไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง เมื่อคำสั่งที่ (พิเศษ) 1/2543 จำเลยในฐานะนายจ้างกระทำฝ่ายเดียว โดยไม่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้างและมิได้ดำเนินการเพื่อให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างอย่างถูกขั้นตอนตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 13 แล้ว คำสั่งที่ (พิเศษ) 1/2543 ของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพการจ้างย่อมไม่มีผลใช้บังคับกับโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 11 ศาลแรงงานกลางพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยอุทธรณ์ทำนองว่า เมื่อโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 11 ทราบว่าจำเลยได้ออกคำสั่ง (พิเศษ)
1/2543 ตามคำสั่งเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งจะมีผลเป็นการยกเลิกสิทธิที่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 11 จะพึงได้รับตามคำสั่งเดิม ย่อมถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 11 เป็นบุคคลที่จะต้องได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากคำสั่งดังกล่าว ย่อมมีสิทธิที่จะโต้แย้งคัดค้านต่อศาลภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 90/41 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2583 เมื่อโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 11 มิได้โต้แย้งคัดค้านและยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวมาโดยตลอด คำสั่งที่ (พิเศษ) 1/2543 ย่อมมีผลผูกพันโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 11 เห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.