ReadyPlanet.com
dot dot
dot
ชมรมบริหารงานบุคคล
dot
bulletสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย
bulletชมรมบริหารงานบุคคล
bulletชมรมบริหารงานบุคคล อยุธยา
bulletชมรมบริหารงานบุคคลรังสิต
bulletชมรมผู้บริหารงานบุคคล อมตะนคร
bulletสมาคมการบริหารงานบุคคล (PAAs)
bulletชมรมบริหารงานบุคคลบางพลี
bulletชมรมนักบริหารงานบุคคลพัทยา
bulletชมรมบริหารงานบุคคลยุคใหม่
bulletชมรมผู้บริหารงานบุคคลจังหวัดราชบุรี
bulletงานบริหารงานบุคคล
bulletชมรมงานบริหารงานบุคคลกรุงเทพฯ
bulletชมรมบริหารงานบุคลสุขสวัสดิ์
dot
ติดต่อราชการศาล
dot
bulletศาลแรงงานกลาง
bulletศาลแรงงานภาค ๒
bulletศาลยุติธรรม
bulletศาลปกครอง
bulletศาลรัฐธรมนูญ
bulletสำนักงานอัยการสูงสุด
bulletกระทรวงยุติธรรม
bulletคณะกรรมการกฤษฎีกา
bulletกรมบังคับคดี
bulletสภาทนายความ
dot
หน่วยงานราชการสำคัญ
dot
bulletกระทรวงแรงงาน
bulletกรมการจัดหางาน
bulletกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
bulletกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
bulletสำนักงานประกันสังคม
bulletกรมสรรพากร
bulletกรมบัญชีกลาง
bulletกรมพัฒนาธุรกิจกาค้า
bulletกระทรวงอุตสาหกรรม
bulletกรมโรงงานอุตสาหกรรม
bulletกรมส่งเสริมอุตสาหรม
bulletการนิคมอุตสาหกรรม
dot
ลิ้งค์เพื่อนบ้าน
dot
bulletสมบัติลีกัล
bulletเอกเซลสำหรับงาน HR โดย อ.สำเริง
bulletบทความดี ๆ จากโกป้อม
dot
อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
dot
dot
Newsletter

dot


พยากรณ์อากาศวันนี้
..................................


ราคาน้ำมันวันนี้
..................................



ผละงานละทิ้งหน้าที่ไป ครึ่งวัน เพื่อไปร้องพนักงานตรวจแรงงาน เลิกจ้างได้ ถือว่าเลิกจ้างเป็นธรรม article

คำพิพากษาฎีกาที่ 4475 -4479/53

ผละงานละทิ้งหน้าที่ไป ครึ่งวัน เพื่อไปร้องพนักงานตรวจแรงงาน เลิกจ้างได้ ถือว่าเลิกจ้างเป็นธรรม
                               
                               คดีทั้งห้าสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกโจทก์ว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 ตามลำดับสำนวน และให้เรียกจำเลยทั้งห้าสำนวนว่าจำเลย
 
 
                                โจทก์ทั้งห้าสำนวนฟ้องว่า  วันที่  2  กันยายน  2549 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้า โดยที่ 
โจทก์ทั้งห้าไม่ได้กระทำความผิดและเลยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม มีรายละเอียดดังนี้ โจทก์ที่ 1 และที่ 5 เริ่มทำงานเป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งพนักงานธุรการการเงิน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2549 ถึงวันที่ 1 กันยายน 2549 เป็นวันสุดท้าย อัตราค่าจ้างเดือนสุดท้ายของโจทก์ที่ 1 และที่ 5 เดือนละ 7,500 บาท โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 5 มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายจำนวน 90 วัน เป็นเงิน 22,500 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นอัตราค่าจ้างสุดท้ายจำนวน 60 วัน คิดเป็นเงิน 15,000 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง 7,500 บาท ต่อคนโจทก์ที่ 2 เริ่มทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2545 โจทก์ที่ 3 เริ่มเมื่อ 10 กรกฎาคม 2547 โจทก์ที่ 4 เริ่มเมื่อ 1 ตุลาคม 2544 ทั้งสามคนทำงานถึงวันสุดท้าย วันที่ 1 กันยายน 2549 อัตราค่าจ้างเดือนสุดท้ายของโจทก์ทั้งสามวันละ 190 บาท โจทก์ที่ 2 และที่ 4 มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน คิดเป็นเงินคนละ 34,200 บาท ส่วนโจทก์ที่ 3 มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 90 วัน เป็นเงิน17,100 บาท และแต่ละคนมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นอัตราค่าจ้างสุดท้ายจำนวน 60 วัน คิดเป็นเงินคนละ 11,400 บาท โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้รับความเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 22,800 บาท 11,400 บาท และ 28,500 บาท ตามลำดับ จำเลยติดค้างค่าจ้างของวันที่ 1 กันยายน 2549 สำหรับโจทก์ที่ 1 และที่ 5 ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 5 คนละ 22,500 บาท โจทก์ที่ 2 ที่ 4 คนละ 34,200 บาท และโจทก์ที่ 3 จำนวน 17,100 บาท พร้อมดอก - เบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งห้า จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 5 คนละ 15,000 บาท และโจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 คนละ 11,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งห้า
 
 
                                จำเลยทุกสำนวนให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าเพราะโจทก์ทั้งห้าละทิ้งหน้าที่ จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย และเจตนากระทำผิดอาญาต่อจำเลยกล่าวคือ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2549 ระหว่างเวลา 13 นาฬิกา ถึง 16.10 นาฬิกา โจทก์ทั้งห้าออกจากที่ทำงานไปแจ้งต่อพนักงานตรวจแรงงานและแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางนาว่าจำเลยไม่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งห้า ทั้งๆ ที่ จำเลยแจ้งให้โจทก์ทั้งห้าทราบว่าจะจ่ายค่าจ้างให้ในวันดังกล่าว โดยทราบว่าจำเลยเตรียมเงินไว้พร้อมจ่ายแล้ว ซึ่งโจทก์ที่ 1 และที่ 5 ระหว่างเวลาดังกล่าวมีหน้าที่รับชำระเงินค่าส่วนกลางและค่าน้ำประปาจากเจ้าของร่วมซึ่งมีหน้าที่ต้องชำระเงินดังกล่าวในวันระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 10 ของแต่ละเดือน การแจ้งข้อความดังกล่าวต่อพนักงานตรวจแรงงานเป็นการแจ้งความอันเป็นเท็จทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน ทั้งๆ ที่รู้ว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 4 เริ่มทำงานกับจำเลยเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2548 นับถึงวันที่ 2 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นวันเลิกจ้างไม่ถึงกำหนด 3 ปี ขอให้ยกฟ้อง
 
 
                                ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคล โจทก์ทั้งห้าเคยเป็นลูกจ้างของจำเลยดังนี้ โจทก์ที่ 1 และที่ 5 เป็นพนักงานธุรการการเงินอัตราค่าจ้างเดือนสุดท้ายคนละ 7,500 บาท เริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2548 ถึงวันที่ 1 กันยายน 2549 เป็นวันสุดท้าย โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นพนักงานทำความสะอาด อัตราค่าจ้างสุดท้ายวันละ 190 บาทต่อคน โดยโจทก์ที่ 3 เริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2547 โจทก์ทุกคนทำงานถึงวันสุดท้ายคือวันที่ 1 กันยายน 2549 ซึ่งในวันดังกล่าวจำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าตามเอกสารหมาย จ.3 และ ล.12 ซึ่งโจทก์ทั้งห้าได้รับหนังสือเลิกจ้างดังกล่าวแล้ว โดยให้มีผลในวันที่ 2 กันยายน 2549 โจทก์ทั้งห้าไม่ต้องมาทำงานกับจำเลยอีกต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ ถือว่า (จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าในวันที่ 2 กันยายน 2549) จำเลยจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งห้าเป็นรายเดือน โดยจ่ายให้ทุกวันสิ้นเดือน แต่ปรากฏว่าจำเลยไม่สามารถจ่ายเงินค่าจ้างประจำเดือนสิงหาคม 2549 ได้ตามกำหนดวันสิ้นเดือนให้กับโจทก์ทั้งห้าและลูกจ้างอีก 4 คน คือ นายดำรงฤทธิ์ อินทรามาลัย นายปริญญา ธารี นายศักดิ์ชัย คนกล้า และนางมาลี มาลีรัก วันที่ 1 กันยายน 2549 เวลา 13.00 น. ถึงประมาณ 16.00 น. โจทก์ทั้งห้าและลูกจ้างอีก 4 คนดังกล่าวออกไปจากที่ทำงาน โดยไปแจ้งต่อพนักงานตรวจแรงงานและพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางนาว่าจำเลยไม่จ่ายค่าจ้างประจำเดือนสิงหาคม 2549 ต่อมาเมื่อกลับมาถึงที่ทำงานจำเลยได้จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งห้าและลูกจ้างอีก 4 คน ครบถ้วน แต่จำเลยเลิกจ้างเฉพาะโจทก์ทั้งห้า ส่วนลูกจ้างอีก 4 คน ถูกลงโทษโดยการว่ากล่าวตักเตือน ปรากฏตามเอกสาร ล.1 แผ่นที่ 3 เหตุการณ์จ่ายค่าจ้างไม่ตรงกำหนดวันสิ้นเดือนดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกนับแต่โจทก์ทั้งห้าทำงานกับจำเลย เจ้าของรวมอาคารชุดต้องชำระเงินค่าส่วนกลางและค่าน้ำประปาภายในกำหนดระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 10 ของแต่ละเดือน มิฉะนั้นจะต้องถูกปรับเป็นเงินจำนวนหนึ่งภายหลังเมื่อกลับจากแจ้งความต่อพนักงานตรวจแรงงานและพนักงานสอบสวนดังกล่าวข้างต้น โจทก์ที่ 1 และที่ 5 ได้ทำหน้าที่รับชำระเงินจากเจ้าของร่วมต่อเนื่องไปจนถึงเวลา 20.00 น. เดิมก่อนที่นายสุรชัย ศรีสุขสวัสดิ์ จะเข้ามาทำหน้าที่ผู้จัดการแทนนายสำเริง แพรมณี โจทก์ที่ 1 เคยทำหน้าที่เขียนเช็คและเบิกจ่ายเงินค่าจ้างจากธนาคารเพื่อนำมาจ่ายให้กับลูกจ้าง ภายหลังนายสุภัค แต้ศิลปะสาธิต กรรมการของจำเลยเข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าวแทน โดยเริ่มทำหน้าที่ดังกล่าวครั้งแรกเมื่อการจ่ายเงินค่าจ้างประจำเดือนสิงหาคม 2549 โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ต้องทำงานช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 8.00 น. - 12.00 น. ทั้งเจ็ดวันพักกลางวัน 1 ชั่วโมง ระหว่าง 12.00 น. - 13.00 น. ช่วงบ่ายทำงานระหว่าง 13.00 น. - 17.00 น. โดยต้องทำงานช่วงบ่ายตั้งแต่วันจันทร์ - วันเสาร์ โจทก์ที่ 1 และที่ 5 ต้องทำงานตั้งแต่เวลา 9.00 น. - 12.00 น. พักกลางวัน 1 ชั่วโมง ระหว่าง 12.00 น. - 13.00 น. ช่วงบ่ายทำงานเวลา 13.00 น. - 18.00 น. และต้องทำงานล่วงเวลาระหว่างวันที่ 1 -10 ของแต่ละเดือนโดยทำงานเพิ่มตั้งแต่เวลา 18.00 น. - 20.00 น. แล้ววินิจฉัยว่า การที่โจทก์ทั้งห้าละทิ้งหน้าที่ในการทำงานวันที่ 1 กันยายน 2549 ระหว่างเวลา 13.00 น. -16.00 น. เป็นการขัดคำสั่งของจำเลยผู้เป็นนายจ้างอันเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ทั้งห้า แต่ไม่ใช่การละทิ้งหน้าที่ที่จะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎมายและเป็นธรรมกรณีที่ร้ายแรง จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แก่โจทก์ทั้งห้า แต่การเลิกจ้างดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 5 คนละ 22,500 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 17,100 บาท โจทก์ที่ 2 และที่  4 คนละ 34,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งห้า และให้จ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 5 คนละ 7,500 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 22,800 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 11,400 บาท และโจทก์ที่ 4 จำนวน 28,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งห้า คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
 
 
                                จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
 
 
                                ศาลฎีกาแผนคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำเลยอุทธรณ์ในข้อ 1 ว่า โจทก์ทั้งห้ากระทำการโดยจงใจให้จำเลยได้รับความเสียหายหรือไม่นั้นเห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2550 ศาลแรงงานกลางจดประเด็นข้อพิพาท 3 ข้อ คือ
 
                                1. โจทก์ทั้งห้าฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่
 
 
                                2. จำเลยต้องรับผิดชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งห้าหรือไม่ เพียงใด
 
                                3. การเลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่ โจทก์ทั้งห้าได้รับความเสียหายหรือไม่เพียงใด จำเลยต้องรับผิดชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งห้าหรือไม่ เพียงใด
 
 
                                ดังนั้นคดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องโจทก์ทั้งห้าจงใจทำให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหายหรือไม่อีก การที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 อีกทั้งปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 20 มิถุนายน 2550 ซึ่งโจทก์ทั้งห้าและจำเลยแถลงร่วมกันว่า คู่ความติดใจเฉพาะประเด็นข้อพิพาทตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2550 เท่านั้น โดยไม่ติดใจประเด็นเรื่องจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายและกระทำผิดอาญาของนายจ้าง ซึ่งเป็นกรณีที่จำเลยยืนยันถึงการสละประเด็นแห่งคดีตามข้อต่อสู้ดังกล่าวข้างต้น ดังนั้นการที่จำเลยยกข้อต่อสู้ว่าโจทก์ทั้งห้าจงใจทำให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหายขึ้นอุทธรณ์อีก อุทธรณ์ข้อนี้ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรง
งานกลาง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
 
 
                                ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2 ว่า โจทก์ทั้งห้าละทิ้งหน้าที่ไปโดยไม่บอกกล่าวให้จำเลยทราบทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าจึงไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้น เห็นว่า เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้แจ้งให้โจทก์ทั้งห้าทราบว่า จำเลยไม่สามารถเบิกเงินจากธนาคารเพื่อจ่ายเงินค่าจ้างประจำเดือนสิงหาคม 2549 ได้ทันกำหนดวันที่ 31 สิงหาคม 2549 และจะจ่ายให้ในวันที่ 1 กันยายน 2549 แต่ในวันที่ 1 กันยายน 2549 เวลา 13.00 น. ก่อนที่จำเลยจะจ่ายค่าจ้างให้ โจทก์ทั้งห้าได้ละทิ้งหน้าที่ไปแจ้งต่อพนักงานตรวจแรงงานและร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางนา ส่วนเหตุที่จำเลยจ่ายค่าจ้างให้ไม่ทันกำหนดเพราะนางสุภัค แต้ศิลปสาธิต กรรมการจำเลย เพิ่งจะรับหน้าที่จัดทำเช็คและเบิกเงินจากธนาคารมาจ่ายให้โจทก์ทั้งห้าเป็นครั้งแรกและนางสุภัคก็ทำงานอยู่ที่เดียวกับโจทก์ทั้งห้า และจำเลยยังแก้ไขความเดือดร้อนของโจทก์ทั้งห้าให้ยืมเงินจากนายกำธร ไปใช้ก่อนได้ ซึ่งศาลแรงงานกลางเห็นว่า จากข้อเท็จดังกล่าวโจทก์ทั้งห้าย่อมทราบถึงเหตุขัดข้องที่จำเลยยังไม่ได้จ่ายค่าจ้างให้ จึงวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้เพราะโจทก์ทั้งห้าละทิ้งการงานไปเสีย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ซึ่งโจทก์ทั้งห้าไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งในประเด็นนี้ ดังนั้นการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าจึงมีสาเหตุจากการที่โจทก์ทั้งห้าละทิ้งการงานไป ซึ่งแม้การกระทำของโจทก์ทั้งห้าจะไม่เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบ หรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมในกรณีที่ร้ายแรงที่จำเลยจะเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยก็ตาม แต่พฤติการณ์แห่งการกระทำของโจทก์ทั้งห้าที่ออกจากที่ทำงานระหว่างเวลาทำงานไปแจ้งต่อพนักงานตรวจแรงงานและพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางนาว่าจำเลยไม่จ่ายค่าจ้างประจำเดือนสิงหาคม 2549 ทั้งๆ ที่โจทก์ทั้งห้าทราบเหตุขัดข้องในการไม่สามารถจ่ายเงินค่าจ้างได้ทันภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2549และจำเลยจะจ่ายให้วันที่ 1 กันยายน 2549 และการที่โจทก์ทั้งห้ารับทราบถึงการบรรเทาความเดือดร้อนดังกล่าว โดยฝ่ายจำเลยยอมให้พนักงานที่เดือดร้อนขอยืมเงินจากนายกำธร หรรษนาวิน ประธานกรรมการของจำเลย ไปใช้ก่อน ซึ่งโจทก์ที่ 3 ได้ยืมไป 1,000 บาท ถือได้ว่าการกระทำของโจทก์ทั้งห้าเป็นการใช้สิทธิที่ไม่สมควร และเป็นปฏิปักษ์ต่อนายจ้างและไม่สามารถจะทำงานร่วมกันต่อไปได้ ที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าจึงมีเหตุสมควรและเป็นธรรมแล้ว กรณีจึงมิใช่การเลิกจ้างที่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งห้า ดังนั้นที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งห้าละทิ้งการงานจึงไม่มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้นชอบแล้ว ส่วนที่วินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งห้ายังมีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้น ไม่ถูกต้อง อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
 
 
                                พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและดอกเบี้ยของเงินดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งห้า นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.       
                

 




อัพเดท ฎีกาน่าสนใจ

ขึ้นทะเบียนรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเกิน ๓๐ วัน ยังมีสิทธิได้รับเงินประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานได้ article
ลักษณะความผิดเดียวกัน แต่ระดับความร้ายแรงแตกต่างกัน นายจ้างพิจารณาลงโทษแตกต่างกันได้ article
ผู้จัดการสาขา เสนอรายชื่อลูกค้าที่ขาดคุณสมบัติทำประกันชีวิต ถือว่าจงใจทำให้นายจ้างเสียหาย / ผิดร้ายแรง article
หยุดกิจการชั่วคราวตาม มาตรา ๗๕ article
สัญญาจ้างเป็นสัญญาต่างตอบแทน นายจ้างออกค่าใช้จ่ายในการเข้าทดสอบเพื่อรับเกียรติบัตร เมื่อทดสอบผ่านต้องทำงานกับนายจ้าง ๕ ปี บังคับใช้ได้ article
ศาลแรงงานกลางมีอำนาจสั่งรับพยานเอกสารได้ แม้ไม่ได้ส่งสำเนาให้คู่ความอีกฝ่ายก็ตาม article
ประกอบธุรกิจแข่งขัน / ไปทำงานกับนายจ้างอื่น ในลักษณะผิดต่อสัญญาจ้าง เมื่อลูกจ้างได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่นายจ้างตามสัญญาแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะบังคับ / ห้ามทำงานตามเงื่อนไขในสัญญาจ้างอีกต่อไป article
คดีแรงงานเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา แม้คดีอาญายกฟ้อง แต่พฤติกรรมการกระทำผิด เป็นเหตุให้นายจ้างไม่อาจไว้วางใจในการทำงานได้ ถือเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม article
เลิกจ้างเนื่องจากปรับโครงสร้างองค์กร แต่กำหนดรายชื่อไว้ล่วงหน้า ถือเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม article
การหักลบกลบหนี้ หนี้อันเกิดจากสัญญาจ้าง กรณีลูกจ้างกระทำผิดกับสิทธิประโยชน์ที่มีสิทธิได้รับตามสัญญาจ้าง ถือเป็นมูลหนี้อันเป็นวัตถุอย่างเดียวกันหักลบกลบหนี้กันได้ article
เล่นการพนันฉลากกินรวบ เป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน กรณีร้ายแรง article
กรณีไม่ถือเป็นการประกอบธุรกิจแข่งขันหรือไม่ถือว่าทำงานกับนายจ้างใหม่ในลักษณะธุรกิจเดียวกับนายจ้าง article
สัญญาฝึกอบรม นายจ้างกำหนดเบี้ยปรับได้ เป็นสัญญาที่เป็นธรรม article
ค้ำประกันการทำงาน หลักประกันการทำงาน การหักลบกลบหนี้ค่าเสียหายจากการทำงาน article
ใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์แต่ตนเอง เรียกรับเงินจากลูกค้า ถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ article
ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา มาทำงานสายประจำ ถือว่า กระทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่เลิกจ้างได้ โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า article
สหภาพแรงงานทำบันทักข้อตกลงเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างกับนายจ้าง อันส่งผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ของสมาชิก ขัดกับข้อตกลงเดิมและมิได้ขอมติที่ประชุมใหญ่ ข้อตกลงดังกล่าวไม่อาจใช้บังคับได้ article
ขอเกษียณอายุก่อนกำหนดตามประกาศ ถือเป็นการสมัครใจเลิกสัญญาจ้างแรงงานต่อกัน มิใช่การเลิกจ้างหรือการเกษียณอายุ จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยตามระเบียบกรณีเกษียณอายุ article
สถาบันวิจัยอันเป็นส่วนหนึ่งของกิจการมหาวิทยาลัยถือเป็นหน่วยงานของรัฐ ได้รับยกเว้น ไม่อยู่ภายใต้บังคับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน มาตรา ๔ (๑) article
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จากการเลิกจ้างมีอายุความฟ้องร้องได้ภายใน ๑๐ ปี article
ทะเลาะวิวาทเรื่องส่วนตัวไม่ส่งผลกระทบต่อการบังคับบัญชา ไม่เป็นความผิด กรณีร้ายแรง ถือว่ากระทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ article
พี่น้องร่วมบิดา มารดาเดียวกัน มิใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับเงินประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ และเงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต ตามพระราชบัญญัติ ประกันสังคม มาตรา ๗๓ และมาตรา ๗๗ article
ขับรถเร็วเกินกว่าข้อบังคับกำหนด เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นความผิดกรณีร้ายแรง article
ฝ่าฝืนคำสั่งโยกย้าย เลิกจ้างได้ ถือเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม article
ประกาศใช้ระเบียบใหม่ ไม่ปรากฏว่ามีพนักงานโต้แย้งคัดค้าน ถือว่าทุกคนยินยอมปฏิบัติตามระเบียบ article
เงินค่าตอบแทนพิเศษกับเงินโบนัส มีเงื่อนไขต่างกัน หลักเกณฑ์การจ่ายต่างกัน จึงต้องพิจารณาต่างกัน article
ทายาทผู้มีสิทธิได้รับเงินกองทุนเงินทดแทน article
ค่ารถแทนรถยนต์ประจำตำแหน่ง ไม่ถือเป็นค่าจ้าง และ ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมให้ถือตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่กำหนดไว้ article
เจรจาให้ลาออก ลูกจ้างไม่ตกลง ขอเวลาตัดสินใจและหยุดงานไป นายจ้างแจ้งให้กลับเข้าทำงานตามปกติ ถือว่านายจ้างยังไม่มีเจตนาเลิกจ้าง article
ละทิ้งหน้าที่ แอบนอนหลับในเวลาทำงาน ถือเป็นเหตุในการเลิกจ้างได้ เลิกจ้างเป็นธรรม article
ลาออกโดยไม่สุจริต ไม่มีผลใช้บังคับ article
ทำความผิดคล้ายคลึงกันแต่ไม่เหมือนกัน พิจารณาลงโทษแตกต่างกันได้ article
ประกอบธุรกิจ บริการ ด่าลูกค้าด้วยถ้อยคำหยาบคาย " ควาย " ถือเป็นการกระทำความผิดกรณีร้ายแรง article
ข้อบังคับ ระบุให้ผู้บังคับบัญชาเหนือกว่ามีอำนาจแก้ไข เพิ่มโทษ หรือลดโทษได้ การยกเลิกคำสั่งลงโทษเดิมและให้ลงโทษใหม่หนักกว่าเดิมจึงสามารถทำได้ article
เลือกปฏิบัติในการลงโทษระเบียบการห้ามใส่ตุ้มหูมาทำงาน บังคับใช้ได้ แต่เลือกปฏิบัติในการลงโทษไม่ได้ article
ลงโทษพักงานโดยไม่จ่ายค่าจ้างและเตือนในคราวเดียวกันได้ ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน article
จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย article
ข้อตกลงรับเงินและยินยอมปลดหนี้ให้แก่กัน ถือเป็นการตกลงระงับข้อพิพาทแม้จะทำขึ้นก่อนคำสั่งเลิกจ้างมีผลใช้บังคับ article
ศาลแรงงานมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานที่คู่ความอ้างส่งศาลได้ แม้มิได้ระบุบัญชีพยานไว้ก็ตาม article
สัญญาจ้างห้ามลูกจ้างไปทำงานกับนายจ้างใหม่ที่ประกอบธุรกิจเช่นเดียวกันมีกำหนดเวลา บังคับใช้ได้ article
เลิกจ้างและรับเงินค่าชดเชย ใบรับเงิน ระบุขอสละสิทธิ์เรียกร้องเงินอื่นใดใช้บังคับได้ ลูกจ้างไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องสินจ้างและค่าเสียหายได้อีก article
เกษียณอายุ 60 ปี ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยนับแต่วันครบกำหนดเกษียณอายุ แม้นายจ้างไม่ได้บอกเลิกจ้างก็ตาม article
ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องและเพิกเฉยไม่ดูแลผลประโยชน์ของนายจ้าง เป็นเหตุให้นายจ้างไม่ไว้วางใจในการทำงานได้เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม article
ละเลยต่อหน้าที่ ไม่รายงานเคพีไอ นายจ้างตักเตือนแล้ว ถือว่าผิดซ้ำคำเตือน เลิกจ้างได้ โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย article
ทำสัญญาจ้างต่างด้าวทำงานในอาชีพต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าว สัญญาจ้างถือเป็นโมฆะ article
ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง article
ศาลมีคำสั่งให้งดสืบพยาน แล้วพิพากษาตามหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน ในขณะที่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่ ข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ยุติ ต้องสืบพยานใหม่และพิพากษาใหม่ไปตามรูปคดี article
แม้สัญญาจ้างไม่ได้ระบุระยะเวลาทดลองงานไว้ แต่นายจ้างก็สามารถประเมินผลการทำงานของลูกจ้างได้ article
การควบรวมกิจการ สิทธิและหน้าที่โอนไปเป็นของบริษัทใหม่ การจ่ายเงินสมทบบริษัทใหม่ที่ควบรวมจึงมีสิทธิจ่ายเงินสมทบในอัตราเดิมตามสิทธิ มิใช่ในอัตราบริษัทตั้งใหม่ article
เลิกจ้างรับเงินค่าชดเชยแล้วตกลงสละสิทธิ์จะไม่เรียกร้องผละประโยชน์ใดๆ ถือว่าสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายเป็นอันระงับไป article
รับเหมาก่อสร้าง ผู้รับเหมาต้องรับผิดชอบ จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมแทนผู้รับเหมาช่วง หากผู้รับเหมาช่วงไม่นำส่งเงินสมทบตามกฎหมายโดยคำนวณจากอัตราค่าจ้างที่ระบุตามแบบ ( ภ.ง.ด. 50 ) และบัญชีงบดุล article
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานระบุห้ามทะเลาะวิวาทหรือทำร้ายร่างกาย ผู้บังคับบัญชา เพื่อนพนักงาน ทั้งในสถานที่ทำงาน หรือสถานที่อื่นๆ ฝ่าฝืนถือเป็นความผิดกรณีร้ายแรง ใช้บังคับได้ไม่ขัดต่อกฎหมาย article
ไส้ติ่งอักเสบ แพทย์วินิจฉัยให้ผ่าตัด ถือเป็นกรณีฉุกเฉิน เบิกค่ารักษาได้ มีสิทธิรับเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ได้ article
ค่าเช่าที่พัก ค่าใช้จ่ายเดินทางเป็นสวัสดิการไม่ถือเป็นค่าจ้าง article
ค่ารถยนต์ซึ่งกำหนดเป็นสวัสดิการไว้ชัดเจนแยกจากฐานเงินเดือนปกติ ถือเป็นสวัสดิการไม่ใช่ค่าจ้าง article
ละเมิดข้อตกลงสภาพการจ้าง ละเมิดสัญญาจ้าง มีอายุความ 10 ปี มิใช่ 1 ปี article
พฤติกรรมการจ้างที่ถือว่าเป็นการจ้างแรงงาน ถือเป็นลูกจ้าง / นายจ้างตามกฎหมาย article
พนักงานขายรถยนต์ไม่ปฏิบัติหน้าที่ประจำบูธ ตามที่ได้รับมอบหมาย ถือเป็นความผิดกรณีร้ายแรง article
เลือกตั้งคณะกรรมการสหภาพฯ ขัดต่อข้อบังคับสหภาพหรือขัดต่อกฎหมาย ถือว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบ article
ฝ่าฝืนสัญญาจ้าง กรณีห้ามทำการแข่งขันกับนายจ้างหรือทำธุรกิจคล้ายคลึงกับนายจ้างเป็นเวลา 2 ปี นับจากสิ้นสุดสัญญาต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่นายจ้าง article
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระบุให้นายจ้างเลิกจ้างเพราะเหตุคนล้นงาน ปรับลด ขนาดองค์กรได้ ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะเลิกจ้างลูกจ้างได้ article
ข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กรณีตัดสิทธิ์รับเงินสมทบพร้อมผลประโยชน์หากกระทำผิดถูกปลดออกจากงานบังคับใช้ได้ article
ทะเลาะวิวาทกัน นอกเวลางาน นอกบริเวณบริษัทฯ ไม่ถือเป็นความผิดกรณีร้ายแรง article
ฝ่าฝืนไม่ไปตรวจสารเสพติดซ้ำตามคำสั่งและนโยบาย ถือว่าฝ่าฝืน ข้อบังคับ หรือ ระเบียบ กรณีร้ายแรง article
วันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วน article
เป็นลูกจ้างที่มีอำนาจกระทำการแทนนายจ้างในการจ้างงาน ไม่มีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุด และลักทรัพย์เอาต้นไม้ของนายจ้างไป ถือว่ากระทำผิดอาญาแก่นายจ้าง เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย article
ผลการทำงานดีมาโดยตลอดและไม่เคยกระทำผิดมาก่อน แต่ปีสุดท้ายผลงานต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่ถือเป็นเหตุที่จะอ้างในการเลิกจ้าง article
ได้รับบาดเจ็บรายการเดียว เข้ารักษา 2 ครั้ง ถือว่าเป็นการรักษารายการเดียว นายจ้างสำรองจ่ายเพิ่มเติมไม่เกิน 50,000 บาท ไม่ใช่ 200,000 บาท article
ผู้บริหารบริษัท ฯ ถือเป็นลูกจ้างหรือไม่ ดูจาก_________ ? article
ขับรถออกนอกเส้นทาง แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อผู้บังคับบัญชา ถือเป็นความผิดกรณีร้ายแรงและก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้าง นายจ้างหักเงินประกันการทำงานได้ article
ค่าจ้างระหว่างพักงาน เมื่อข้อเท็จจริง ลูกจ้างกระทำความผิดจริง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างระหว่างพักงาน article
“ นายจ้าง ” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน มาตรา 5 article
สัญญารักษาความลับ ข้อมูลทางการค้า (ห้ามประกอบหรือรับปฏิบัติงานแข่งขันนายจ้าง) มีกำหนด 2 ปี บังคับใช้ได้ ไม่ขัดต่อกฎหมาย และการกำหนดค่าเสียหาย ถือเป็นเบี้ยปรับตามกฎหมาย ศาลปรับลดได้ตามสมควร article
เงินรางวัลการขายประจำเดือน จ่ายตามเป้าหมายการขาย ที่กำหนดไว้ ไม่ถือเป็นค่าจ้าง article
ค่าโทรศัพท์ เหมาจ่าย ถือเป็นค่าจ้าง article
ละทิ้งหน้าที่ 3 วันทำการ โดยไม่มีเหตุอันสมควร เลิกจ้างเป็นธรรมไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย article
ลาออกมีผลใช้บังคับแล้ว ออกหนังสือเลิกจ้างภายหลังใช้บังคับไม่ได้ article
ตกลงรับเงิน ไม่ติดใจฟ้องร้องอีกถือเป็นการตกลงประนีประนอมกันบังคับได้ ไม่ขัดต่อกฎหมาย
เลิกจ้างระหว่างทดลองงาน ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า article
ข้อตกลงว่า “หากเกิดข้อพิพาทตามสัญญาจ้างแรงงาน ให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย” ไม่เกี่ยวกับสิทธิตามกฎหมายแรงงาน เมื่อเกิดสิทธิตามกฎหมาย ฟ้องศาลแรงงานได้ โดยไม่ต้องให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย article
เลิกจ้างด้วยเหตุอื่น อันมิใช่ความผิดเดิมที่เคยตักเตือน ไม่ใช่เหตุที่จะไม่จ่ายค่าชดเชย เลิกจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย article
นำรถยนต์ไปใช้ในกิจธุระส่วนตัว มีพฤติกรรมคดโกง ไม่ซื่อตรง พฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต ไม่น่าไว้วางใจ ลงโทษปลดออกจากการทำงานได้ article
การกระทำที่กระทบต่อเกียรติ ชื่อเสียงของนายจ้าง และเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แม้กระทำนอกสถานที่ทำงานและนอกเวลางาน ก็ถือว่า ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรง article
สัญญาค้ำประกันการทำงานไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ ต้องรับผิดชอบตลอดไป article
ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาเลิกจ้างได้ ถือว่าเลิกจ้างเป็นธรรมและความผิดที่ลงโทษแล้วจะนำมาลงโทษอีกไม่ได้ article
ผิดสัญญาจ้างไปทำงานกับคู่แข่ง นายจ้างฟ้องเรียกค่าเสียหายตามสัญญาได้ แต่ค่าเสียหาย เป็นดุลพินิจของศาลจะกำหนด article
จงใจกระทำผิดโดยผิดกฎหมายเป็นเหตุให้นายจ้างเสียหาย ถือว่า กระทำละเมิดต่อนายจ้าง ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น article
ตกลงสละสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหาย ภายหลังเลิกจ้าง ใช้บังคับได้ ไม่เป็นโมฆะ article
ก้าวร้าวไม่ให้ความเคารพผู้บังคับบัญชา ถือว่ากระทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตเลิกจ้างได้ โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า article
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ามิใช่ค่าจ้าง คิดดอกเบี้ยในอัตรา 7. 5 ต่อปี article
ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ของนายจ้างในเรื่องส่วนตัวเป็นประจำ ถือว่ากระทำการอันไม่สมแก่กาปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต เลิกจ้างเป็นธรรม article
สั่งให้พนักงานขับรถ ขับรถออกนอกเส้นทางแต่ไม่ได้มีส่วนในการขับรถ ถือว่าผิดต่อสัญญาจ้าง แต่ไม่ต้องรับผิดอันมีผลโดยตรงจากมูลละเมิด ( ขับรถโดยประมาท ) article
จ่ายของสมนาคุณให้ลูกค้า โดยไม่ตรวจสอบบิลให้ถูกต้อง มิใช่ความผิดกรณีร้ายแรงไม่ใช่การทุจริตต่อหน้าที่ แต่ถือว่ากระทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เสร็จลุล่วงไปโดยถูกต้อง และสุจริต เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า article
ฟ้องประเด็นละเมิด กระทำผิดสัญญาจ้าง ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง มีอายุความ 10 ปี article
ตกลงยินยอมให้หักค่าจ้างชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันเงินกู้ นายจ้างสามารถหักค่าจ้างได้ตามหนังสือยินยอมโดยไม่ต้องฟ้อง article
กระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง article
“ งานโครงการตามมาตรา 118 วรรค 4 ” บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ว่าจ้างลูกจ้างทำงานตามโครงการที่รับเหมา ถือว่าจ้างงานในปกติธุรกิจของนายจ้าง มิใช่งานโครงการ article
เงินโบนัสต้องมีสภาพการเป็นพนักงานจนถึงวันกำหนดจ่าย ออกก่อนไม่มีสิทธิได้รับ article
ระเบียบกำหนดจ่ายเงินพิเศษ ( gratuity ) เนื่องจากเกษียณอายุ โดยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายแตกต่างจากการจ่ายค่าเชย ถือว่านายจ้างยังไม่ได้จ่ายค่าชดเยตามกฎหมาย article



Copyright © 2010 All Rights Reserved.

บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด

เลขที่ 511/4 ถนนประชาอุทิศ 117/1 แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร (10140)

โทร/Tel : 02 - 8159522, แฟกซ์/Fax : 02 - 8159523, มือถือ/Mobile : 081 - 7936156

อีเมล/E-mail : sawai.prm@gmail.com, เว็บไซต์/Web : www.parameelaw.com