คำพิพากษาฎีกาที่ 4475 -4479/53
ผละงานละทิ้งหน้าที่ไป ครึ่งวัน เพื่อไปร้องพนักงานตรวจแรงงาน เลิกจ้างได้ ถือว่าเลิกจ้างเป็นธรรม
คดีทั้งห้าสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกโจทก์ว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 ตามลำดับสำนวน และให้เรียกจำเลยทั้งห้าสำนวนว่าจำเลย
โจทก์ทั้งห้าสำนวนฟ้องว่า วันที่ 2 กันยายน 2549 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้า โดยที่
โจทก์ทั้งห้าไม่ได้กระทำความผิดและเลยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม มีรายละเอียดดังนี้ โจทก์ที่ 1 และที่ 5 เริ่มทำงานเป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งพนักงานธุรการการเงิน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2549 ถึงวันที่ 1 กันยายน 2549 เป็นวันสุดท้าย อัตราค่าจ้างเดือนสุดท้ายของโจทก์ที่ 1 และที่ 5 เดือนละ 7,500 บาท โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 5 มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายจำนวน 90 วัน เป็นเงิน 22,500 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นอัตราค่าจ้างสุดท้ายจำนวน 60 วัน คิดเป็นเงิน 15,000 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง 7,500 บาท ต่อคนโจทก์ที่ 2 เริ่มทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2545 โจทก์ที่ 3 เริ่มเมื่อ 10 กรกฎาคม 2547 โจทก์ที่ 4 เริ่มเมื่อ 1 ตุลาคม 2544 ทั้งสามคนทำงานถึงวันสุดท้าย วันที่ 1 กันยายน 2549 อัตราค่าจ้างเดือนสุดท้ายของโจทก์ทั้งสามวันละ 190 บาท โจทก์ที่ 2 และที่ 4 มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน คิดเป็นเงินคนละ 34,200 บาท ส่วนโจทก์ที่ 3 มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 90 วัน เป็นเงิน17,100 บาท และแต่ละคนมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นอัตราค่าจ้างสุดท้ายจำนวน 60 วัน คิดเป็นเงินคนละ 11,400 บาท โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้รับความเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 22,800 บาท 11,400 บาท และ 28,500 บาท ตามลำดับ จำเลยติดค้างค่าจ้างของวันที่ 1 กันยายน 2549 สำหรับโจทก์ที่ 1 และที่ 5 ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 5 คนละ 22,500 บาท โจทก์ที่ 2 ที่ 4 คนละ 34,200 บาท และโจทก์ที่ 3 จำนวน 17,100 บาท พร้อมดอก - เบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งห้า จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 5 คนละ 15,000 บาท และโจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 คนละ 11,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งห้า
จำเลยทุกสำนวนให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าเพราะโจทก์ทั้งห้าละทิ้งหน้าที่ จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย และเจตนากระทำผิดอาญาต่อจำเลยกล่าวคือ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2549 ระหว่างเวลา 13 นาฬิกา ถึง 16.10 นาฬิกา โจทก์ทั้งห้าออกจากที่ทำงานไปแจ้งต่อพนักงานตรวจแรงงานและแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางนาว่าจำเลยไม่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งห้า ทั้งๆ ที่ จำเลยแจ้งให้โจทก์ทั้งห้าทราบว่าจะจ่ายค่าจ้างให้ในวันดังกล่าว โดยทราบว่าจำเลยเตรียมเงินไว้พร้อมจ่ายแล้ว ซึ่งโจทก์ที่ 1 และที่ 5 ระหว่างเวลาดังกล่าวมีหน้าที่รับชำระเงินค่าส่วนกลางและค่าน้ำประปาจากเจ้าของร่วมซึ่งมีหน้าที่ต้องชำระเงินดังกล่าวในวันระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 10 ของแต่ละเดือน การแจ้งข้อความดังกล่าวต่อพนักงานตรวจแรงงานเป็นการแจ้งความอันเป็นเท็จทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน ทั้งๆ ที่รู้ว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 4 เริ่มทำงานกับจำเลยเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2548 นับถึงวันที่ 2 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นวันเลิกจ้างไม่ถึงกำหนด 3 ปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคล โจทก์ทั้งห้าเคยเป็นลูกจ้างของจำเลยดังนี้ โจทก์ที่ 1 และที่ 5 เป็นพนักงานธุรการการเงินอัตราค่าจ้างเดือนสุดท้ายคนละ 7,500 บาท เริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2548 ถึงวันที่ 1 กันยายน 2549 เป็นวันสุดท้าย โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นพนักงานทำความสะอาด อัตราค่าจ้างสุดท้ายวันละ 190 บาทต่อคน โดยโจทก์ที่ 3 เริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2547 โจทก์ทุกคนทำงานถึงวันสุดท้ายคือวันที่ 1 กันยายน 2549 ซึ่งในวันดังกล่าวจำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าตามเอกสารหมาย จ.3 และ ล.12 ซึ่งโจทก์ทั้งห้าได้รับหนังสือเลิกจ้างดังกล่าวแล้ว โดยให้มีผลในวันที่ 2 กันยายน 2549 โจทก์ทั้งห้าไม่ต้องมาทำงานกับจำเลยอีกต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ ถือว่า (จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าในวันที่ 2 กันยายน 2549) จำเลยจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งห้าเป็นรายเดือน โดยจ่ายให้ทุกวันสิ้นเดือน แต่ปรากฏว่าจำเลยไม่สามารถจ่ายเงินค่าจ้างประจำเดือนสิงหาคม 2549 ได้ตามกำหนดวันสิ้นเดือนให้กับโจทก์ทั้งห้าและลูกจ้างอีก 4 คน คือ นายดำรงฤทธิ์ อินทรามาลัย นายปริญญา ธารี นายศักดิ์ชัย คนกล้า และนางมาลี มาลีรัก วันที่ 1 กันยายน 2549 เวลา 13.00 น. ถึงประมาณ 16.00 น. โจทก์ทั้งห้าและลูกจ้างอีก 4 คนดังกล่าวออกไปจากที่ทำงาน โดยไปแจ้งต่อพนักงานตรวจแรงงานและพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางนาว่าจำเลยไม่จ่ายค่าจ้างประจำเดือนสิงหาคม 2549 ต่อมาเมื่อกลับมาถึงที่ทำงานจำเลยได้จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งห้าและลูกจ้างอีก 4 คน ครบถ้วน แต่จำเลยเลิกจ้างเฉพาะโจทก์ทั้งห้า ส่วนลูกจ้างอีก 4 คน ถูกลงโทษโดยการว่ากล่าวตักเตือน ปรากฏตามเอกสาร ล.1 แผ่นที่ 3 เหตุการณ์จ่ายค่าจ้างไม่ตรงกำหนดวันสิ้นเดือนดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกนับแต่โจทก์ทั้งห้าทำงานกับจำเลย เจ้าของรวมอาคารชุดต้องชำระเงินค่าส่วนกลางและค่าน้ำประปาภายในกำหนดระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 10 ของแต่ละเดือน มิฉะนั้นจะต้องถูกปรับเป็นเงินจำนวนหนึ่งภายหลังเมื่อกลับจากแจ้งความต่อพนักงานตรวจแรงงานและพนักงานสอบสวนดังกล่าวข้างต้น โจทก์ที่ 1 และที่ 5 ได้ทำหน้าที่รับชำระเงินจากเจ้าของร่วมต่อเนื่องไปจนถึงเวลา 20.00 น. เดิมก่อนที่นายสุรชัย ศรีสุขสวัสดิ์ จะเข้ามาทำหน้าที่ผู้จัดการแทนนายสำเริง แพรมณี โจทก์ที่ 1 เคยทำหน้าที่เขียนเช็คและเบิกจ่ายเงินค่าจ้างจากธนาคารเพื่อนำมาจ่ายให้กับลูกจ้าง ภายหลังนายสุภัค แต้ศิลปะสาธิต กรรมการของจำเลยเข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าวแทน โดยเริ่มทำหน้าที่ดังกล่าวครั้งแรกเมื่อการจ่ายเงินค่าจ้างประจำเดือนสิงหาคม 2549 โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ต้องทำงานช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 8.00 น. - 12.00 น. ทั้งเจ็ดวันพักกลางวัน 1 ชั่วโมง ระหว่าง 12.00 น. - 13.00 น. ช่วงบ่ายทำงานระหว่าง 13.00 น. - 17.00 น. โดยต้องทำงานช่วงบ่ายตั้งแต่วันจันทร์ - วันเสาร์ โจทก์ที่ 1 และที่ 5 ต้องทำงานตั้งแต่เวลา 9.00 น. - 12.00 น. พักกลางวัน 1 ชั่วโมง ระหว่าง 12.00 น. - 13.00 น. ช่วงบ่ายทำงานเวลา 13.00 น. - 18.00 น. และต้องทำงานล่วงเวลาระหว่างวันที่ 1 -10 ของแต่ละเดือนโดยทำงานเพิ่มตั้งแต่เวลา 18.00 น. - 20.00 น. แล้ววินิจฉัยว่า การที่โจทก์ทั้งห้าละทิ้งหน้าที่ในการทำงานวันที่ 1 กันยายน 2549 ระหว่างเวลา 13.00 น. -16.00 น. เป็นการขัดคำสั่งของจำเลยผู้เป็นนายจ้างอันเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ทั้งห้า แต่ไม่ใช่การละทิ้งหน้าที่ที่จะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎมายและเป็นธรรมกรณีที่ร้ายแรง จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แก่โจทก์ทั้งห้า แต่การเลิกจ้างดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 5 คนละ 22,500 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 17,100 บาท โจทก์ที่ 2 และที่ 4 คนละ 34,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งห้า และให้จ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 5 คนละ 7,500 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 22,800 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 11,400 บาท และโจทก์ที่ 4 จำนวน 28,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งห้า คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำเลยอุทธรณ์ในข้อ 1 ว่า โจทก์ทั้งห้ากระทำการโดยจงใจให้จำเลยได้รับความเสียหายหรือไม่นั้นเห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2550 ศาลแรงงานกลางจดประเด็นข้อพิพาท 3 ข้อ คือ
1. โจทก์ทั้งห้าฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่
2. จำเลยต้องรับผิดชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งห้าหรือไม่ เพียงใด
3. การเลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่ โจทก์ทั้งห้าได้รับความเสียหายหรือไม่เพียงใด จำเลยต้องรับผิดชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งห้าหรือไม่ เพียงใด
ดังนั้นคดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องโจทก์ทั้งห้าจงใจทำให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหายหรือไม่อีก การที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 อีกทั้งปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 20 มิถุนายน 2550 ซึ่งโจทก์ทั้งห้าและจำเลยแถลงร่วมกันว่า คู่ความติดใจเฉพาะประเด็นข้อพิพาทตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2550 เท่านั้น โดยไม่ติดใจประเด็นเรื่องจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายและกระทำผิดอาญาของนายจ้าง ซึ่งเป็นกรณีที่จำเลยยืนยันถึงการสละประเด็นแห่งคดีตามข้อต่อสู้ดังกล่าวข้างต้น ดังนั้นการที่จำเลยยกข้อต่อสู้ว่าโจทก์ทั้งห้าจงใจทำให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหายขึ้นอุทธรณ์อีก อุทธรณ์ข้อนี้ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรง
งานกลาง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2 ว่า โจทก์ทั้งห้าละทิ้งหน้าที่ไปโดยไม่บอกกล่าวให้จำเลยทราบทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าจึงไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้น เห็นว่า เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้แจ้งให้โจทก์ทั้งห้าทราบว่า จำเลยไม่สามารถเบิกเงินจากธนาคารเพื่อจ่ายเงินค่าจ้างประจำเดือนสิงหาคม 2549 ได้ทันกำหนดวันที่ 31 สิงหาคม 2549 และจะจ่ายให้ในวันที่ 1 กันยายน 2549 แต่ในวันที่ 1 กันยายน 2549 เวลา 13.00 น. ก่อนที่จำเลยจะจ่ายค่าจ้างให้ โจทก์ทั้งห้าได้ละทิ้งหน้าที่ไปแจ้งต่อพนักงานตรวจแรงงานและร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางนา ส่วนเหตุที่จำเลยจ่ายค่าจ้างให้ไม่ทันกำหนดเพราะนางสุภัค แต้ศิลปสาธิต กรรมการจำเลย เพิ่งจะรับหน้าที่จัดทำเช็คและเบิกเงินจากธนาคารมาจ่ายให้โจทก์ทั้งห้าเป็นครั้งแรกและนางสุภัคก็ทำงานอยู่ที่เดียวกับโจทก์ทั้งห้า และจำเลยยังแก้ไขความเดือดร้อนของโจทก์ทั้งห้าให้ยืมเงินจากนายกำธร ไปใช้ก่อนได้ ซึ่งศาลแรงงานกลางเห็นว่า จากข้อเท็จดังกล่าวโจทก์ทั้งห้าย่อมทราบถึงเหตุขัดข้องที่จำเลยยังไม่ได้จ่ายค่าจ้างให้ จึงวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้เพราะโจทก์ทั้งห้าละทิ้งการงานไปเสีย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ซึ่งโจทก์ทั้งห้าไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งในประเด็นนี้ ดังนั้นการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าจึงมีสาเหตุจากการที่โจทก์ทั้งห้าละทิ้งการงานไป ซึ่งแม้การกระทำของโจทก์ทั้งห้าจะไม่เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบ หรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมในกรณีที่ร้ายแรงที่จำเลยจะเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยก็ตาม แต่พฤติการณ์แห่งการกระทำของโจทก์ทั้งห้าที่ออกจากที่ทำงานระหว่างเวลาทำงานไปแจ้งต่อพนักงานตรวจแรงงานและพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางนาว่าจำเลยไม่จ่ายค่าจ้างประจำเดือนสิงหาคม 2549 ทั้งๆ ที่โจทก์ทั้งห้าทราบเหตุขัดข้องในการไม่สามารถจ่ายเงินค่าจ้างได้ทันภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2549และจำเลยจะจ่ายให้วันที่ 1 กันยายน 2549 และการที่โจทก์ทั้งห้ารับทราบถึงการบรรเทาความเดือดร้อนดังกล่าว โดยฝ่ายจำเลยยอมให้พนักงานที่เดือดร้อนขอยืมเงินจากนายกำธร หรรษนาวิน ประธานกรรมการของจำเลย ไปใช้ก่อน ซึ่งโจทก์ที่ 3 ได้ยืมไป 1,000 บาท ถือได้ว่าการกระทำของโจทก์ทั้งห้าเป็นการใช้สิทธิที่ไม่สมควร และเป็นปฏิปักษ์ต่อนายจ้างและไม่สามารถจะทำงานร่วมกันต่อไปได้ ที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าจึงมีเหตุสมควรและเป็นธรรมแล้ว กรณีจึงมิใช่การเลิกจ้างที่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งห้า ดังนั้นที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งห้าละทิ้งการงานจึงไม่มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้นชอบแล้ว ส่วนที่วินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งห้ายังมีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้น ไม่ถูกต้อง อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและดอกเบี้ยของเงินดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งห้า นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.