คำพิพากษาฎีกาที่ 14420 -14423/53
เปลี่ยนตัวนายจ้าง สั่งให้โอนย้ายไปทำงานบริษัทฯในเครือ พนักงานไม่ยอมไปจึงเลิกจ้างถือเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
คดีทั้งสี่สำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางให้รวมพิจารณาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกโจทก์ตาม
ลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และให้เรียกจำเลยทั้งสี่สำนวนว่าจำเลย
โจทก์ทั้งสี่สำนวนฟ้องเป็นใจความทำนองเดียวกันว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภท บริษัท จำกัด เดิมใช้ชื่อว่าบริษัทซีนิธ ลิเคอร์ จำกัด โจทก์ทั้งสี่เคยเป็นลูกจ้างของจำเลย โดยมีตำแหน่งและอัตราค่าจ้างตามฟ้องของโจทก์แต่ละคน ต่อมาปี พ.ศ.2547 จำเลยได้ขอเปลี่ยนแปลงข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ทำให้ระเบียบปฏิบัติสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่มีอยู่เดิมลดลง โจทก์ทั้งสี่ไม่ยินยอมตกลง หลังจากนั้นเมื่อเดือนตุลาคม 2549 จำเลยได้มีหนังสือให้โจทก์ทั้งสี่ไปทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทนำยุค จำกัด และบริษัทป้อมทิพย์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของจำเลย และให้โจทก์ทั้งสี่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับในการทำงานของบริษัทนำยุค จำกัด และบริษัทป้อมทิพย์ จำกัด ซึ่งทำให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่โจทก์ทั้งสี่เคยได้รับลดลงอันเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง โจทก์ทั้งสี่ไม่ยินยอมตกลงด้วย แต่โจทก์ทั้งสี่ต้องทำตามคำสั่งของจำเลย ต่อมาวันที่ 27 ธันวาคม 2549 จำเลยได้มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่โดยอ้างว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่ตกลงยินยอมที่จะทำการโอนย้ายเปลี่ยนแปลงสถานภาพการเป็นพนักงานตามคำสั่งของจำเลยจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมเงินเพิ่มจำนวน 122,846.25 บาท และเงินเพิ่มร้อยละ 15 ทุก 7 วันของค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 119,850 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและค่าประกันภัยรถยนต์พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 6,495,187.50 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินจำนวน 6,495,187.50 บาท แก่โจทก์ที่ 1 จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมเงินเพิ่มจำนวน 196,197.30 บาท และเงินเพิ่มร้อยละ 15 ทุก 7 วันของค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 191,412 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและค่าประกันภัยรถยนต์พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 11,947.500 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินจำนวน 11,150,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมเงินเพิ่มจำนวน 87,857.87 บาทและเงินเพิ่มร้อยละ 15 ทุก 7 วันของค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 85,715 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและค่าประกันภัยรถยนต์พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 4,053,796.87 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินจำนวน 4,003,750 บาท แก่โจทก์ที่ 3 จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมเงินเพิ่มจำนวน 94,556.45 บาท และเงินเพิ่มร้อยละ 15 ทุก 7 วัน ของค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 92,250 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ค่าประกันภัยรถยนต์และค่ารักษาพยาบาลที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 5,268,184.95 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวน 5,203,145.63 บาท แก่โจทก์ที่ 4 นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยออกหนังสือรับรองการเป็นพนักงานของโจทก์ทั้งสี่ให้แก่โจทก์ทั้งสี่
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสี่เคยเป็นลูกจ้างของจำเลย โจทก์ที่ 1 เป็นลูกจ้างตั้งแต่วันที่ 2
มีนาคม 2542 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเป็นเงินเดือนจำนวน 16,745 บาท ค่าคอมมิชชั่นเดือนละ 23,794 บาท รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ 40,539 บาท คิดเป็นค่าชดเชย 324,312 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นลูกจ้างตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2542 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเป็นเงินเดือนจำนวน 39,920 บาท ค่าคอมมิชชั่นเดือนละ 38,046 บาท รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ 77,966 บาท คิดเป็นค่าชดเชย 623,728 บาท โจทก์ที่ 3 เป็นลูกจ้างตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2546 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเป็นเงินเดือนจำนวน 8,865 บาท ค่าคอมมิชชั่นเดือนละ 5,145 บาท รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ 14,010 บาท คิดเป็นค่าชดเชย 84,060 บาท โจทก์ที่ 4 เป็นลูกจ้างตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2542 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเป็นเงินเดือนจำนวน 12,800 บาท ค่าคอมมิชชั่นเดือนละ 21,710 บาท รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ 34,510 บาท คิดเป็นค่าชดเชย 276,080 บาท จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2549 โจทก์ทั้งสี่ได้รับค่าชดเชยครบถ้วนแล้ว ส่วนเงินค่ายานพาหนะส่วนตัวมาใช้ปฏิบัติงาน ค่าประกันภัยรถยนต์ ค่าโทรศัพท์และค่ารับรองลูกค้านั่นมิใช่เงินค่าตอบแทนการทำงานตามปกติแต่เป็นเงินที่จ่ายเพื่ออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานเท่านั้นจึงมิใช่ค่าจ้างอันจะนำมาคำนวณเป็นค่าชดเชย ดังนั้นจำเลยจึงจ่ายเงินให้โจทก์ทั้งสี่ครบถ้วนแล้ว โจทก์ทั้งสี่ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าอีก จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในเงินเพิ่มและดอกเบี้ยของเงินจำนวนดังกล่าว เดิมจำเลยจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในชื่อบริษัทซีนิธ ลิเคอร์ จำกัด เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2544 กลุ่มการตลาดไทยเบฟได้เข้าซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมและได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทไทยเบฟเวอร์เรจส์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กลุ่มการตลาดไทยเบฟเป็นกลุ่มนิติบุคคลที่ได้จดทะเบียน ซึ่งจำเลยเข้าเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มการตลาดไทยเบฟ เมื่อกลุ่มการตลาดไทยเบฟเข้าซื้อหุ้นและบริหารกิจการของบริษัทซีนิธ ลิเคอร์ จำกัด คณะกรรมการกลุ่มการตลาดไทยเบฟยังคงให้พนักงานทั้งหมดปฏิบัติงานต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อศึกษาลักษณะงานและการทำงานของพนักงาน ต่อมาพบว่าลักษณะการทำงานของพนักงานบางส่วนมีความซ้ำซ้อนกับงานของกลุ่มการตลาดไทยเบฟ จึงได้ปรับปรุงโครงสร้างองค์การและการบริหารงานของจำเลยเพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจโดยให้บริษัทจำเลยดำเนินกิจการเฉพาะทางด้านโฆษณาเผยแพร่ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มการตลาดไทยเบฟ จึงมีพนักงานจำเลยต้องโอนย้าย 144 คน รวมทั้งโจทก์ทั้งสี่แต่ปรากฏว่ามีพนักงานที่ยอมรับการโอนย้ายจำนวน 140 คน มีโจทก์ทั้งสี่ในคดีนี้เท่านั้นที่ไม่ยอมรับการโอนย้าย การปรับปรุงโครงสร้างองค์การของกลุ่มการตลาดไทยเบฟเพื่อจัดระบบของงานให้อยู่ในระบบเดียวกัน ดังนั้นการโอนย้ายดังกล่าวจึงเป็นอำนาจบริหารและจัดการโดยชอบของนายจ้าง พนักงานที่ถูกย้ายยังคงได้รับเงินเดือนและตำแหน่งไม่ต่ำกว่าเดิม ไม่ใช่เป็นการกลั่นแกล้งโยกย้ายจึงไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างเมื่อลูกจ้างไม่ยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง นายจ้างก็ชอบที่จะเลิกจ้างได้โดยไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายรวมถึงดอกเบี้ยต่าง ๆ อีกด้วย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 365,000 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 702,000 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 56,000 บาท และโจทก์ที่ 4 จำนวน311,645.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสี่ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า การที่จำเลยโอนย้ายโจทก์ทั้งสี่ไปสังกัดบริษัท นำยุค จำกัด และบริษัทป้อมทิพย์ จำกัด เป็นการเปลี่ยนแปลงตัวนายจ้างหรือไม่และเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า กลุ่มตลาดไทยเบฟได้เข้าซื้อหุ้นและเข้าบริหารกิจการของจำเลยในนามนิติบุคคลเดิม แต่เนื่องจากการให้สิทธิประโยชน์บางประการแก่ลูกจ้างของจำเลยแตกต่างจากกลุ่มตลาดไทยเบฟกล่าวคือจำเลยให้ค่าคอมมิชชั่นในการขายแก่ลูกจ้างโดยการเหมาจ่าย แต่กลุ่มตลาดไทยเบฟจ่ายค่าคอมมิชชั่นจากการขายตามผลงาน จำเลยไม่มีทางแก้ไขอย่างอื่นจึงต้องโอนย้ายโจทก์ทั้งสี่ไปสังกัดบริษัทนำยุค จำกัด และบริษัทป้อมทิพย์ จำกัด เพื่อให้โจทก์ทั้งสี่เข้าสู่ระบบการจ่ายสิทธิประโยชน์ตามแบบของกลุ่มไทยเบฟเท่านั้นการกระทำดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนสภาพการจ้างไม่ใช่การเปลี่ยนตัวนายจ้างเมื่อลูกจ้างไม่ยินยอมและนายจ้างเลิกจ้างจึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุสมควร ไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและการเลิกจ้างที่ขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มีผลบังคับเพียงนายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยเท่านั้น ไม่ทำให้เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 เพราะเป็นกฎหมายคนละฉบับกันนั้น เห็นว่า กรณีจะเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 หรือไม่ จะต้องพิจารณาถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างเป็นสำคัญว่ามีเหตุอันจำเป็นหรือสมควรเพียงพอที่จะเลิกจ้างหรือไม่ เมื่อบริษัทนำยุค จำกัด และบริษัทป้อมทิพย์ จำกัด เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากจำเลย การที่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างสั่งโอนย้ายโจทก์ทั้งสี่จากบริษัทจำเลยไปทำงานที่บริษัทนำยุค จำกัด และบริษัทป้อมทิพย์ จำกัด จึงเป็นการเปลี่ยนตัวนายจ้างไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างจึงต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 577 วรรคหนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่ยินยอมไปทำงานที่บริษัทนำยุค จำกัด และบริษัทป้อมทิพย์ จำกัด จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่โดยโจทก์ทั้งสี่ไม่มีความผิดการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่มีเหตุสมควร ถือเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.