คำพิพากษาฎีกาที่ 5992 – 5998/53
ทำบันทึกการเจรจา หลังถูกเลิกจ้าง ระบุว่า “หากนายจ้างจ่ายค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้าครบถ้วนแล้ว ลูกจ้างตกลงว่า จะไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่น ๆ อีก” ย่อมหมายถึง เงินค่าล่วงเวลา ค่าทำงานวันหยุดด้วย ข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ได้
รายชื่อโจทก์ปรากฏตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 2
คดีทั้งเจ็ดสำนวนนี้ ศาลแรงงานภาค 2 สั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7 และให้เรียกจำเลยทั้งเจ็ดสำนวนว่า จำเลย
โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องว่า จำเลยมีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยมีกรรมการสองคนลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัทผูกพันจำเลย โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2546 และสิ้นสุดการเป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2550 โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 7 เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม
2541, 14 พฤศจิกายน 2546, 27 มิถุนายน 2546, 6 กุมภาพันธ์ 2548 และ 4 พฤษภาคม 2548
ตามลำดับและสิ้นสุดการเป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2550 ตำแหน่งสุดท้ายก่อนถูกเลิก
จ้างโจทก์ที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 ทำงานในตำแหน่งพนักงานขับรถเทรลเลอร์กึ่งพ่วงบรรทุกสินค้า โจทก์ที่ 2 และที่ 7 ทำงานในตำแหน่งพนักงานยกของประจำรถเทรลเลอร์ขนส่งสินค้า โดยได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายก่อนถูกเลิกจ้างเป็นรายเดือน เดือนละ 4,560 บาท นอกจากค่าจ้างรายเดือนแล้วจำเลยยังได้จ่ายเงินจูงใจเพื่อให้โจทก์ที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 ขยันทำงานขับรถบรรทุกวัตถุดิบในการผลิตสินค้าให้แก่จำเลยให้ได้ปริมาณวัตถุดิบเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังจ่ายให้เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เกิดการทุจริตน้ำมันเชื้อเพลิงโดยมีอัตราการจ่ายเงินจูงใจซึ่งคิดคำนวณจากปริมาณน้ำหนักวัตถุดิบที่บรรทุก (ตัน) บวกด้วยระยะทาง (กิโลเมตร) คูณด้วย อัตรา 0.13 บาท สำหรับเที่ยวที่มีการบรรทุกวัตถุดิบเท่านั้น โดยจำเลยจะคิดคำนวณรอบการทำงานตั้งแต่วันที่ 16 ของเดือนจนถึงวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ซึ่งโจทก์ที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 จะได้รับเงินจูงใจเฉลี่ยประมาณเดือนละ 18,000 บาท ซึ่งเงินจูงใจที่จำเลยจ่ายนั้นมีลักษณะเป็นเงินที่จ่ายตอบแทนการทำงานที่โจทก์ที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 ได้ทำงานให้แก่จำเลย ย่อมถือว่าเงินจูงใจเช่นว่านี้เป็นเงินค่าจ้างที่จำเลยจ่ายตอบแทนการทำงานให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 ด้วยตามกฎหมาย จำเลยยังได้จ่ายเงินเบี้ยเลี้ยงให้แก่โจทก์ที่ 2 และที่ 7 เมื่อโจทก์ที่ 2 และที่ 7 ได้ทำงานโดยประจำรถบรรทุกขนส่งวัตถุดิบเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ตามที่จำเลยได้สั่งให้ไปทำงานซึ่งจำเลยตกลงจ่ายในอัตราเดือนละ 2,800 บาท เป็นประจำทุกเดือนตลอดเวลาที่ทำงานกับจำเลย ย่อมถือได้ว่าเงินเบี้ยเลี้ยงที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ที่ 2 และที่ 7 นั้นมีลักษณะเป็นเงินที่จ่ายตอบแทนการทำงานที่โจทก์ที่ 2 และที่ 7 ได้ทำงานให้แก่จำเลย ย่อมถือว่าเป็นค่าจ้างด้วยตามกฎหมาย จำเลยได้กำหนดจ่ายค่าจ้าง เงินจูงใจและเงินเบี้ยเลี้ยงในการทำงานให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดทุกวันสิ้นเดือนและจำเลยกำหนดให้โจทก์ทั้งเจ็ดทำงานตั้งแต่วันจันทร์ ถึงวันเสาร์ และกำหนดให้วันอาทิตย์เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ จำเลยได้กำหนดเวลาเริ่มทำงานโดยให้โจทก์ทั้งเจ็ดรวมทั้งพนักงานขับรถอื่นๆ จะต้องไปรับใบเปิดงานจากพนักงานประจำศูนย์ (Call Center) ของจำเลย ในเวลา 13 นาฬิกา เพื่อเริ่มปฏิบัติงานในแต่ละวันเป็นประจำ โดยจำเลยกำหนดให้ถือเอาเวลา 13 นาฬิกา ที่โจทก์ทั้งเจ็ดและพนักงานขับรถรับใบเปิดงานเป็นเวลาเริ่มต้นการทำงาน แต่มิได้กำหนดเวลาสิ้นสุดการทำงานแล้วแต่ว่ารถบรรทุกขนส่งวัตถุดิบจะกลับถึงบริษัทจำเลยเมื่อใดในแต่ละวัน โดยหนึ่งวันโจทก์ทั้งเจ็ดต้องทำงาน 24 ชั่วโมงต่อวัน และตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2549 จนถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2550 โจทก์ทั้งเจ็ดได้ทำงานในวันทำงานปกติให้แก่จำเลยทั้งสิ้นจำนวน 380 วัน โดยทำงานวันละ 24 ชั่วโมง ซึ่งหากคิดคำนวณแล้วนับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 โจทก์ทั้งเจ็ดทำงาน 230 วัน คิดเป็นชั่วโมงการทำงานจำนวน 5,520 ชั่วโมง และสำหรับชั่วโมงการทำงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2550 โจทก์ทั้งเจ็ดทำงานรวม 150 วัน คิดเป็นชั่วโมงการทำงานจำนวน 3,600 ชั่วโมง ซึ่งรวมเป็นชั่วโมงการทำงานในช่วงเวลาดังกล่าวทั้งสิ้น 9,120 ชั่วโมง ซึ่งหากนับคำนวณชั่วโมงการทำงานปกติตามที่กฎหมายกำหนดวันละ 8 ชั่วโมง ออกแล้วก็จะคงเหลือจำนวนระยะเวลาชั่วโมงการทำงานที่โจทก์ทั้งเจ็ดได้ทำเกินเวลาทำงานปกติสำหรับวันทำงานปกติในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 31 ธันวาคม 2549 จำนวน 4,680 ชั่วโมง และสำหรับช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 29 มิถุนายน 2550 เป็นจำนวนอีก 2,400 ชั่วโมง ซึ่งรวมทั้งทั้งสิ้นเป็นจำนวนชั่วโมงการทำงานที่โจทก์ได้ทำเกินเวลาจำนวนทั้งสิ้น 6,080 ชั่วโมง โจทก์ทั้งเจ็ดจึงมีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาในอัตราหนึ่งเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำได้คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นเท่า ค่าจ้างที่โจทก์ที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 ได้รับชั่วโมงละ 84 บาท โจทก์ที่ 2 และที่ 7 ได้รับชั่วโมงละ 31 บาท คูณด้วยจำนวนชั่วโมงที่โจทก์ทำเกินจำนวน 6,080 ชั่วโมง เป็นเงินค่าล่วงเวลาของโจทก์ที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 จำนวนคนละ 571,520 บาท ของโจทก์ที่ 2 และที่ 7 จำนวนคนละ 188,480 บาท แต่จำเลยมิได้จ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดแต่อย่างใด อันถือได้ว่าจำเลยจงใจกระทำการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยจึงต้องรับผิดจ่ายเงินค่าล่วงเวลาให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 จำนวนคนละ 571,520 บาท และให้แก่โจทก์ที่ 2 และที่ 7 จำนวนคนละ 188,480 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2549 จนถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2550 จำเลยได้ให้โจทก์ทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์สำหรับช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 31 ธันวาคม 2549 เป็นจำนวน 37 วัน และสำหรับช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 29 มิถุนายน 2550 เป็นจำนวน 24 วัน และจำเลยให้โจทก์ทั้งเจ็ดทำงานในวันหยุดตามประเพณีสำหรับช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 31 ธันวาคม 2549 อีกจำนวน 7 วัน และสำหรับช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 29 มิถุนายน 2550 อีกจำนวน 4 วัน ซึ่งเมื่อคิดคำนวณวันที่จำเลยให้โจทก์ทั้งเจ็ดทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์และวันหยุดตามประเพณีในช่วงเวลาดังกล่าวข้างต้นแล้วรวมทั้งสิ้นเป็นจำนวน 72 วัน คิดเป็นชั่วโมงการทำงานในวันหยุดได้จำนวน 576 ชั่วโมง โจทก์ทั้งเจ็ดมีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุดเพิ่มในอัตราหนึ่งเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำเมื่อคิดคำนวณแล้วโจทก์ที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 มีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุดเป็นจำนวนเงินคนละ 54,144 บาท โจทก์ที่ 2 และที่ 7 มีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุดเป็นจำนวนเงินคนละ 17,856 บาท และจำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าทำงานในวันหยุดดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ด แต่จำเลยกลับจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นจำนวนเงินเพียงคนละ 10,944 บาท ซึ่งยังคงขาดอยู่อีกสำหรับโจทก์ที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 เป็นจำนวนเงินคนละ 43,200 บาท และสำหรับโจทก์ที่ 2 และที่ 7 เป็นจำนวนเงินคนละ 43,200 บาท จำเลยจึงต้องรับผิดจ่ายค่าทำงานในวันหยุดสำหรับส่วนที่ขาดหายไป จำนวนคนละ 43,200 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 และจำนวนคนละ 6ล912 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 2 และที่ 7 นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2549 จนถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2550 โจทก์ทั้งเจ็ดทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์และวันหยุดตามประเพณีให้แก่จำเลยรวมทั้งสิ้นจำนวน 72 วัน โดยทำงานวันละ 24 ชั่วโมง ซึ่งเมื่อคิดคำนวณชั่วโมงการทำงานแล้วรวมทั้งสิ้นเป็นจำนวน 1,728 ชั่วโมง หากนับคำนวณจำนวนชั่วโมงการทำงานปกติตามที่กฎหมายกำหนดวันละ 8 ชั่วโมง ออกแล้วก็จะคงเหลือจำนวนระยะเวลาชั่วโมงการทำงานที่โจทก์ทั้งเจ็ดได้ทำเกินเวลาทำงานปกติในวันหยุดสำหรับช่วงระยะเวลาดังกล่าวข้างต้นรวมทั้งสิ้นเป็นจำนวน 1,152 ชั่วโมง โจทก์ทั้งเจ็ดจึงมีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาในวันหยุดในอัตราเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง สำหรับการทำงานในวันหยุดตามจำนวนชั่วโมงที่ทำได้คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นเท่ากับค่าจ้างที่โจทก์ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 ได้รับในวันหยุดชั่วโมงละ 188 บาท โจทก์ที่ 2 และที่ 7 ชั่วโมงละ 62 บาท คูณด้วยจำนวนชั่วโมงที่โจทก์ทั้งเจ็ดทำเกินจำนวน 1,152 ชั่วโมง เป็นเงินค่าล่วงในวันหยุดของโจทก์ที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 จำนวนคนละ 216,576 บาท และของโจทก์ที่ 2 และที่ 7 จำนวนคนละ 71,424 บาท แต่จำเลยมิได้จ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดแต่อย่างใด อันถือได้ว่าจำเลยจงใจกระทำการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยจึงต้องรับผิดจ่ายเงินค่าล่วงเวลาในวันหยุดให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 จำนวนคนละ 216,576 บาท และให้แก่โจทก์ที่ 2 และที่ 7 เป็นจำนวนเงินคนละ 71,424 บาท การกระทำของจำเลยเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายอันถือได้ว่าเป็นการจงใจไม่จ่ายเงินค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุดให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ด อันเป็นเหตุทำให้โจทก์ทั้งเจ็ดต้องได้รับความเสียหายจากการขาดประโยชน์ในเงินจำนวนดังกล่าวไป จึงขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินค่าล่วงเวลาให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 เป็นเงินจำนวนคนละ 571,520 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 2 และที่ 7 เป็นเงินจำนวนคนละ 188,480 บาท ค่าทำงานในวันหยุดสำหรับที่ขาดหายไปสำหรับโจทก์ที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 จำนวนคนละ 43,200 บาท สำหรับโจทก์ที่ 2 และที่ 7 จำนวนคนละ 6,912 บาท และค่าล่วงเวลาในวันหยุดให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 เป็นเงินจำนวนคนละ 216,576 บาท และแก่โจทก์ที่ 2 และที่ 7 เป็นเงินจำนวนคนละ 71,424 บาท พร้อมให้จำเลยจ่ายเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดในอัตราร้อยละ 15 ทุกระยะเวลา 7 วัน ของจำนวนต้นเงินดังกล่าวทุกจำนวนนับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งเจ็ด
จำเลยทุกสำนวนให้การว่า จำเลยเป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งเจ็ดจริง โดยโจทก์ที่ 1 เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2546 โจทก์ที่ 2 เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2548 มิใช่วันที่ 7 ตุลาคม 2546 ตามฟ้องของโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 3 เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2541 โจทก์ที่ 4 เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2546 โจทก์ที่ 5 เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2546 โจทก์ที่ 6 เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 และโจทก์ที่ 7 เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2548 ในตำแหน่งพนักงานรถบรรทุกพ่วงขนสินค้าจริง โดยได้รับเงินเดือนในอัตราสุดท้ายเดือนละ 4,560 บาท และจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งเจ็ดตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2550 จริง ทั้งนี้เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทจำเลยประสบปัญหาภาวะขาดทุนอย่างมาก เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จำเลยจึงมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างพนักงานเพื่อให้จำเลยสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ โดยได้มีนโยบายเรื่องการโอนย้ายพนักงานขับรถหลายอัตราให้ไปทำงานในบริษัทอื่นในเครือของจำเลย ซึ่งอยู่อีกพื้นที่หนึ่ง ซึ่งจำเลยได้พยายามเจรจาตกลงกับโจทก์ทั้งเจ็ดในเรื่องการโอนย้าย แต่โจทก์ทั้งเจ็ดและพนักงานคนอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งของจำเลยไม่ประสงค์จะโอนย้าย จำเลยจึงได้มีการตกลงเลิกจ้างโจทก์ทั้งเจ็ดในวันที่ 30 มิถุนายน2550 ดังกล่าวซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2550 โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยจึงได้ตกลงทำบันทึกข้อตกลงอันถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความต่อกัน เพื่อยุติข้อพิพาทที่เกิดจากการเลิกจ้างทั้งหมด ณ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดปราจีนบุรี โดยมีเงื่อนไขข้อตกลงที่จำเลยยินยอมจ่ายเงินให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงินค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำนวน 178,533.24 บาท และ 4,560 บาท ตามลำดับรวมรับเงินไปทั้งสิ้น
178,533.24 บาท จ่ายเงินให้โจทก์ที่ 2 เป็นเงินค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 27,040 บาท และ 4,560 บาท ตามลำดับรวมรับเงินไปทั้งสิ้น 31,600 บาท จ่ายเงินให้โจทก์ที่ 3 เป็นเงินค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำนวน 226,149.89 บาท
และ 4,560 บาท ตามลำดับรวมรับเงินไปทั้งสิ้น 230,709.89 บาท จ่ายเงินให้โจทก์ที่ 4 เป็นเงินค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำนวน 134,232.11 บาท และ 4,560 บาท ตามลำดับ รวมรับเงินไปทั้งสิ้น 138,792.11 บาท จ่ายเงินให้โจทก์ที่ 5 เป็นเงินค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 146,000.58 บาท และ 4,560 บาท ตามลำดับ รวมรับเงินไปทั้งสิ้น 150,560.58 บาท จ่ายเงินให้โจทก์ที่ 6 เป็นเงินค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำนวน 257,983.59 บาท และ 4,560 บาท ตามลำดับ รวมรับเงินไปทั้งสิ้น 262,543.59 บาท และจ่ายเงินให้โจทก์ที่ 7 เป็นเงินค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำนวน 26,540 บาท และ 4,560 บาท ตามลำดับ รวมรับเงินไปทั้งสิ้น 31,100 บาท แบ่งจ่ายเป็น 4 งวดๆละ 1 เดือน ซึ่งโจทก์ทั้งเจ็ดได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปครบถ้วนแล้ว ในวันที่ 29 ตุลาคม 2550 โดยโจทก์ทั้งเจ็ดตกลงยินยอมรับเงินจำนวนดังกล่าวและไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นใดจากจำเลยอีก รายละเอียดปรากฏตามสำเนาบันทึกการเจรจา ฉบับลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2550 ซึ่งในวันที่ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวโจทก์ทั้งเจ็ดพ้นจากการเป็นลูกจ้างของจำเลยแล้ว และมีการร่วมเจรจาตกลงกับตัวแทนภาครัฐอื่นๆ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกด้วย การที่โจทก์ทั้งเจ็ดใช้สิทธิฟ้องคดีเรียกเอาเงินค่าล่วงเวลา และเงินค่าทำงานในวันหยุด จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ นอกจากนี้การที่โจทก์ทั้งเจ็ดซึ่งเป็นลูกจ้างในงานขนส่งทางบกย่อมไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าล่วงเวลาตามกฎกระทรวง
ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 คงมีแต่สิทธิในเงินค่าทำงานในส่วนเกินเวลาปกติซึ่งในทางปฏิบัติที่โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยปฏิบัติต่อกันมา อันถือเป็นสภาพการจ้างในเรื่องของการจ่ายเงินค่าตอบแทนการทำงานนั้น จำเลยตกลงจ่ายเงินเดือนเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาปกติในอัตราเดือนละ 4,560 บาท และตกลงจ่ายเงินค่าเที่ยวเพื่อตอบแทนการขับรถให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดในอัตราตามสูตรการคำนวณตามฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดจริง
แม้จำเลยจะไม่เคยตกลงโดยชัดแจ้งกับโจทก์ทั้งเจ็ดว่าเงินดังกล่าวเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานนอกเหนือจากเวลาทำงานปกติก็ตาม แต่ในสภาพงานขับรถขนส่งทางบกโจทก์ย่อมตระหนักดีว่าอาจมีการขับขี่ล่วงเวลาบ้าง และในการตกลงจ่ายค่าเที่ยวจำเลยก็ตกลงจ่ายให้โจทก์ทั้งเจ็ดตามจำนวนเที่ยวและระยะทางที่โจทก์ทั้งเจ็ดขับขี่ไปตามความเป็นจริง ซึ่งหมายรวมถึงการขับขี่ตลอดระยะเวลาที่โจทก์ทั้งเจ็ดทำงานตอบแทนให้แก่จำเลยและโจทก์ทั้งเจ็ดก็ได้ตกลงยินยอมปฏิบัติงานและยอมรับเงินค่าเที่ยวดังกล่าวโดยไม่เคยโต้แย้งคัดค้านการจ่ายเงินค่าเที่ยวของจำเลยตลอดมาเป็นเวลามากว่า 2 ปี จึงย่อมถือโดยปริยายได้ว่าเงินเบี้ยเลี้ยงหรือเงินค่าเที่ยวดังกล่าวเป็นเงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการขับรถซึ่งรวมถึงเงินล่วงเวลาไปแล้วอยู่ในตัว ซึ่งโจทก์ทั้งเจ็ดเองก็ยอมรับในวิธีการจ่ายค่าจ้างของจำเลยมาโดยตลอดอันเป็นสภาพการจ้างอยู่ในตัว และถือได้ว่าจำเลยได้จ่ายเงินค่าล่วงเวลาให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดครบถ้วนแล้ว ที่โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องเรียกเงินค่าล่วงเวลาหรือเงินค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลามาตามฟ้องจึงไม่ถูกต้องโจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาแต่อย่างใดในส่วนของเงินค่าทำงานในวันหยุดนั้น จำเลยตกลงกำหนดให้โจทก์ทั้งเจ็ดทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน หยุดทุกวันอาทิตย์ ซึ่งนับแต่วันที่จำเลยได้เริ่มต้นว่าจ้างโจทก์ทั้งเจ็ดให้ทำงานจำเลยได้จ่ายเงินค่าทำงานในวันหยุดให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดครบถ้วนแล้วทุกครั้ง ตามจำนวนวันที่จำเลยได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ขับรถในวันหยุดประจำสัปดาห์ และตามประกาศวันหยุดของบริษัทจำเลยในอัตราวันละ 152 บาท ตามอัตราเงินเดือนของโจทก์ทั้งเจ็ด ยังได้รับเงินเบี้ยเลี้ยงหรือค่าเที่ยวสำหรับการทำงานขับรถในวันหยุดครบถ้วนแล้วเช่นกัน ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในเรื่องของเวลาการทำงานที่โจทก์ทั้งเจ็ดกล่าวอ้างว่าโจทก์ทั้งเจ็ดได้ทำงานตอบแทนจำเลยเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมงต่อหนึ่งวันนั้น ไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยหลักเหตุผลสากล เพราะโดยลักษณะการทำงานของโจทก์ทั้งเจ็ดนั้นจำเลยกำหนดให้โจทก์ทั้งเจ็ดร่วมกับพนักงานขับรถอีก 1 คน รวมเป็น 2 คน ขับรถ 1 คัน ในระยะทางไกลที่ต้องขับรถเกินกว่า 4 ชั่วโมงใน 1 วัน เพื่อให้โจทก์ทั้งเจ็ดได้มีเวลาพักผ่อนครบถ้วนถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นในการทำงานขับรถขนส่งของโจทก์ทั้งเจ็ดในหนึ่งวัน โจทก์ทั้งเจ็ดย่อมใช้เวลาขับรถอันถือว่าเป็นเวลาทำงานจริง ไม่เกิน 12 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งหากคำนวณค่าล่วงเวลาต่อวันแล้ว โจทก์ทั้งเจ็ดอาจมีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาไม่เกินวันละ 4 ชั่วโมง และเมื่อคำนวณจากอัตราค่าจ้างรายเดือนๆละ 4,560 บาท โจทก์ทั้งเจ็ดอาจมีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาไม่เกินวันละ 76 บาท หรือเดือนละไม่เกิน 2,280 บาท ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการจ่ายค่าเที่ยวในแต่ละเดือนที่จำเลยจ่ายตอบแทนการทำงานของโจทก์ทั้งเจ็ด ไม่น้อยกว่าเดือนละ 5,000 บาท จำเลยจึงไม่มีหนี้เงินค่าล่วงเวลาทั้งในวันปกติและในวันหยุดค้างจ่ายแก่โจทก์ทั้งเจ็ดอีกแต่อย่างใด ที่โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องเรียกเงินดังกล่าวตามฟ้องจึงไม่ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 2 พิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดว่า ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุดที่โจทก์ทั้งเจ็ดเรียกร้องมานั้น เป็นค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุดที่มีมาก่อนวันที่ 16 กรกฎาคม 2550 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ทั้งเจ็ดได้ทำสัญญาประนีประนอมตามเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 2 กับจำเลย ตามข้อ 3 มีข้อความว่า หากนายจ้างจ่ายค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้าครบถ้วนแล้ว ลูกจ้างตกลงว่าจะไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นๆ เช่น ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างอันไม่เป็นธรรมจากนายจ้างอีกต่อไป เห็นว่า ข้อตกลงนี้มีผลบังคับย่อมถือได้ว่าโจทก์ทั้งเจ็ดได้สละสิทธิที่จะเรียกร้องเงินประเภทอื่นอันจะพึงได้รับตามกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับของจำเลย รวมทั้งสิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม บันทึกข้อตกลงทำขึ้นหลังจากที่โจทก์ทั้งเจ็ดพ้นสภาพการเป็นลูกจ้างของจำเลยไปแล้ว โจทก์ทั้งเจ็ดย่อมมีอิสระแก่ตน พ้นพันธกรณีและอำนาจบังคับบัญชาจากจำเลยเป็นการทำโดยสมัครใจของโจทก์แต่ละคน กรณีจึงเป็นที่เห็นได้ว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์ทั้งเจ็ดเกี่ยวกับเงินใดๆ รวมทั้งค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดที่มีข้อพิพาทกันอยู่ก่อนวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความนี้นั้นเป็นอันระงับไปโดยผลของสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 2 ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 852 โจทก์ทั้งเจ็ดจึงไม่มีอำนาจที่จะรื้อฟื้อสิทธิที่ระงับไปแล้วตามกฎหมายขึ้นมาฟ้องร้องบังคับให้จำเลยรับผิดอีกได้ ประเด็นข้อพิพาทที่ว่า โจทก์ทั้งเจ็ดมีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าล่วงเวลาในวันหยุดพร้อมด้วยเงินเพิ่ม ดอกเบี้ยตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดหรือไม่ เพียงใดจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอีกต่อไป พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ด
โจทก์ทั้งเจ็ดอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ตามข้อเท็จจริงที่ยุติในชั้นพิจารณาศาลแรงงานภาค 2 ตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2551 และวันที่ 18 พฤศจิกายน 2551 ปรากฏว่า โจทก์ทั้งเจ็ดเข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยโดยมีอัตราค่าจ้างและวันเลิกจ้างเป็นไปตามคำฟ้องและคำให้การ วันที่ 16 กรกฎาคม 2550 โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยได้ตกลงทำบันทึกการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาท ณ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดปราจีนบุรี ตามบันทึกการเจรจา เอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 2 โดยโจทก์ทั้งเจ็ดได้รับเงินตามบันทึกการเจรจาไปครบถ้วนแล้ว โจทก์ทั้งเจ็ดได้รับเงินเดือน เงินจูงใจ เงินอุดหนุนค่าเช่าบ้าน ค่าทำงานในวันหยุด และเงินอื่นๆ ตามบัญชีย้อนหลังหกเดือน ตามเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.7 โจทก์ทั้งเจ็ดมีเวลาการทำงานล่วงเวลาและหลักเกณฑ์การจ่ายค่าเที่ยว ตามเอกสารหมาย ล.8 และ ล.9
โจทก์ทั้งเจ็ดอุทธรณ์ว่า บันทึกการเจรจาตามเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 2 ทำขึ้นสืบเนื่องจากข้อพิพาทเรื่องค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่านั้นไม่ได้สิบเนื่องจากข้อกำหนดเรื่องค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด การที่โจทก์ทั้งเจ็ดตกลงตามบันทึกการเจรจาดังกล่าวจึงไม่ถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาทเรื่องค่าล่วงเวลาค่าทำทำงานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุด และสิทธิเรียกร้องเงินดังกล่าวเป็นสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 อันเป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งจะตกลงยกเว้นกันไม่ได้ จึงถือว่าการตกลงตามบันทึกการเจรจาดังกล่าวที่จะระงับสิทธิเรื่องค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุดเป็นโมฆะ เห็นว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม2550 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 และที่ 2และโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 7 ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2550 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 7 และเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2550 โจทก์ทั้งเจ็ดกับจำเลยได้ตกลงทำบันทึกการเจรจาตามเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 2 ซึ่งจำเลยตกลงจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์โจทก์ทั้งเจ็ดและลูกจ้างอื่นรวม 137 คน โดยบันทึกการเจรจาข้อ 3 ระบุว่า "หากนายจ้างจ่ายค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้าครบถ้วนแล้วลูกจ้างตกลงว่าจะไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นๆ เช่น ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างอันไม่เป็นธรรมจากนายจ้างอีกต่อไป" ดังนี้การที่โจทก์ทั้งเจ็ดตกลงทำบันทึกการเจรจา เอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 2 หลังจากโจทก์ทั้งเจ็ดพ้นสภาพการเป็นลูกจ้างจำเลยไปแล้วประมาณ 15 วัน โจทก์ทั้งเจ็ดจึงมีอิสระแก่ตน พ้นพันธะกรณีและอำนาจบังคับบัญชาของจำเลยโดยสิ้นเชิง การตกลงว่าจะไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่น ๆ นอกจากที่ระบุไว้ในบันทึกการเจรจา จึงเป็นการสละสิทธิเรียกร้องโดยไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและไม่เป็นโมฆะมีผลใช้บังคับระหว่างโจทก์ทั้งเจ็ดกับจำเลยได้ และเมื่อบันทึกการเจรจาข้อ 3 ระบุว่าลูกจ้างตกลงว่าจะไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นๆ ซึ่งเงินอื่นๆ ที่โจทก์ทั้งเจ็ดไม่ติดใจเรียกร้องดังกล่าวนั้นย่อมหมายถึงเงินทุกประเภทรวมทั้งค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดที่โจทก์ทั้งเจ็ดอาจจะมีสิทธิได้รับจากจำเลยด้วย เมื่อการสละสิทธิเรียกร้องดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งเจ็ดจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินตามฟ้อง ที่ศาลแรงงานภาค 2 วินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งเจ็ดไม่อาจฟ้องบังคับให้จำเลยรับผิดได้นั้นจึงชอบแล้วอุทธรณ์โจทก์ทั้งเจ็ดฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.