คำพิพากษาฎีกาที่ 16002 – 16003/53
ฝ่าฝืนคำสั่งกรณีไม่ร้ายแรง จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 และให้เรียกจำเลยทั้งสองสำนวนว่าจำเลย
โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2533 โจทก์ที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลย ทำงานในตำแหน่งสุดท้ายพนักงานทั่วไป แผนกซี 1 รับค่าจ้างเป็นรายวัน วันละ 201.50 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นลูกจ้างจำเลย เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2533 ทำงานในตำแหน่งสุดท้ายพนักงานทั่วไป แผนกซี 2 รับค่าจ้างเป็นรายวัน วันละ 206.50 บาท โดยจำเลยจ่ายค่าจ้างให้ทุกวันที่ 15 และวันที่ 30 ของเดือน เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2548 จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง โดยที่โจทก์ทั้งสองไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ที่ 1 ทำงานกับจำเลยมาเป็นเวลา 14 ปี 6 เดือน โจทก์ที่ 2 ทำงานมาเป็นเวลา 15 ปี จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยจำนวน 300 วัน เป็นเงินคนละ 60,450 บาท และโจทก์ที่ 1 มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 4,030 บาท โจทก์ที่ 2 มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 4,130 บาท โจทก์ที่ 1 มีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 6 วัน เป็นเงินจำนวน 1,209 บาท โจทก์ที่ 2 มีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 9 วัน เป็นเงินจำนวน 1,858.50 บาท และการเลิกจ้างของจำเลยดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย ขอคิดค่าเสียจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมสำหรับโจทก์ที่ 1 จำนวน 67,700 บาท สำหรับโจทก์ที่ 2 จำนวน 74,340 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 4,030 บาท แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 4,130 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 67,700 บาท แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 74,340 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง และให้จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 1,209 บาท แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 1,858.50 บาท ค่าชดเชยคนละ 60,450 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงินค่าชดเชยนับแต่วันที่เลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า ที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเนื่องจากโจทก์ทั้งสองจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายด้วยการผละงานละทิ้งหน้าที่ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2548 โดยโจทก์ทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันชุมนุมประท้วงในและบริเวณนอกโรงงานโดยไม่มีเหตุผลตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของจำเลยได้แจ้งให้โจทก์ทั้งสองกับพวกเข้าทำงานตามปกติแล้ว แต่โจทก์ทั้งสองกับพวกไม่ปฏิบัติตาม เป็นเหตุให้จำเลยไม่สามารถส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ทันตามกำหนด ซึ่งโจทก์ทั้งสองกับพวกก็ทราบเรื่องดังกล่าวดี จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่จำต้องค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสองและไม่จำต้องจ่ายค่าจ้างในวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ทั้งสองด้วย และการเลิกจ้างดังกล่าวมีเหตุผลแห่งการเลิกจ้างแล้ว ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 60,450 บาท แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 61,950 บาท แก่โจทก์ที่ 2 ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 1,209 บาท แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 1,851.50 บาท แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินค่าชดเชยนับแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2548 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างของจำเลยในฝ่ายผลิต ต่อมาจำเลยจำเป็นต้องปิดกิจการในส่วนของการผลิตและโอนการผลิตทั้งหมดให้บริษัทบริติช - ไทยซินเทติค เท็กสไทล์ จำกัด และจะดำเนินการโอนพนักงานของจำเลยทั้งหมดไปเป็นลูกจ้างของบริษัทบริติช - ไทยซินเทติค เท็กสไทล์ จำกัด โดยพนักงานที่สมัครใจไปทำงานต้องลงชื่อในสัญญาจ้างหรือใบสมัครงานภายในวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 โจทก์ทั้งสองไม่ยินยอมที่จะโอนไปเป็นพนักงานของบริษัทบริติช - ไทยซินเทติค เท็กสไทล์ จำกัด วันที่ 18 พฤษภาคม 2548 เวลาช่วงเช้ามีพนักงานคนอื่นรวมกลุ่มกัน โจทก์ทั้งสองเข้าไปรวมกลุ่มด้วยและไม่ได้เข้าทำงานโดยโจทก์ทั้งสองเข้าใจโดยสุจริตว่า การที่จำเลยปิดกิจการในฝ่ายผลิตและโจทก์ทั้งสองไม่ยินยอมไปเป็นลูกจ้างผู้อื่น อีกทั้งล่วงเลยกำหนดเวลาที่จะแสดงเจตนาโอนไปเป็นลูกจ้างแล้วเท่ากับโจทก์ทั้งสองถูกเลิกจ้าง การที่โจทก์ทั้งสองมาที่บริษัทจำเลยเพื่อต้องการเรียกร้องเงินค่าชดเชยจากจำเลย ประกอบกับในการเข้าไปรวมกลุ่มโจทก์ทั้งสองไม่ได้ชักชวนหรือกระทำการใดๆ ให้ผู้อื่นไม่เข้าทำงาน ไม่ได้คัดค้านหรือไม่เห็นด้วยกับการกระทำของจำเลยและหนังสือที่โจทก์ทั้งสองเป็นผู้เข้าไปยื่นให้ฝ่ายบริหารของจำเลยก็เพื่อให้จำเลยจ่ายเงินค่าชดเชยและสิทธิประโยชน์อื่นๆ ตามกฎหมายที่จำเลยเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด การไม่เข้าทำงานของโจทก์ทั้งสองมิใช่เป็นการประท้วง ส่วนการที่ฝ่ายบุคคลของจำเลยแจ้งให้โจทก์ที่ 1 กลับเข้าทำงานแต่โจทก์ที่ 1 ไม่เข้าทำงาน แม้จะเป็นการขัดคำสั่งแต่เนื่องด้วยโจทก์ที่ 1 เข้าใจว่าถูกเลิกจ้างแล้วการฝ่าฝืนคำสั่งจึงมิใช่กรณีร้ายแรง สำหรับโจทก์ที่ 2 ฝ่ายบุคคลไม่ได้แจ้งให้กลับเข้าทำงาน
ที่จำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2.1 ว่าพฤติการณ์ของโจทก์ทั้งสองกับพวกทั้งก่อนที่จะไม่เข้าทำงานและในวันที่ไม่เข้าทำงานทำให้จำเลยส่งสินค้าไม่ทันตามกำหนดเป็นการชุมนุมประท้วงนั้น เห็นว่า เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางว่า การไม่เข้าทำงานของโจทก์ทั้งสองมิใช่เป็นการประท้วง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยในข้อ 2.2 ว่าการฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยที่ไม่เข้าทำงานเป็นกรณีร้ายแรงนั้น เห็นว่า ในส่วนของโจทก์ที่ 2 ไม่ได้รับแจ้งให้กลับเข้าทำงาน ดังนี้ การฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยที่ไม่กลับเข้าทำงานตามอุทธรณ์จึงหมายถึงเฉพาะในส่วนของโจทก์ที่ 1 ที่ได้รับแจ้งการฝ่ายบุคคลของจำเลยเท่านั้น ซึ่งโจทก์ที่ 1 นอกจากเข้าใจว่าถูกเลิกจ้างทำให้ไม่มีเหตุให้เข้าทำงานแล้ว ศาลแรงงานกลางยังฟังข้อเท็จจริงอีกว่า โจทก์ที่ 1 ไม่ทราบกำหนดส่งสินค้าของจำเลยที่ถึงกำหนดส่งให้ลูกค้ารายใหญ่เช่นนี้จะถือว่าการไม่กลับเข้าทำงานของโจทก์ที่ 1 ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายไม่ได้ ฉะนั้นการฝ่าฝืนคำสั่งที่ให้โจทก์ที่ 1 กลับเข้าทำงานจึงเป็นกรณีที่ไม่ร้ายแรง ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยในประเด็นนี้มานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ที่ 2 ได้รับค่าจ้างวันละ 206.50 บาท มีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี เป็นเวลา 9 วัน คิดเป็นเงิน 1,858.50 บาท แต่กลับพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 1,851.50 บาท เห็นได้ชัดว่าเป็นการพิมพ์ผิดพลาดแม้โจทก์ที่ 2 จะมิได้อุทธรณ์ ศาลฎีกาชอบที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดนี้เสียให้ถูกต้องโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี จำนวน 1,858.50 บาท แก่โจทก์ที่ 2 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.