คำพิพากษาฎีกาที่ 14399 - 14401 - 53
กิจการมิได้แสวงหาผลกำไร ยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแต่ไม่ได้ยกเว้นเรื่องค่าเสียหาย
คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์ทั้งสามสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ตามลำดับและเรียกจำเลยทั้งสามสำนวนว่า จำเลย
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องเป็นใจความทำนองเดียวกันว่าโจทก์ทั้งสาม เป็นลูกจ้างจำเลย เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2535 เดือนมีนาคม 2525 และวันที่ 2 ธันวาคม 2545 ตำแหน่งธุรการ พนักงานทำความสะอาด และพนักงานธุรการ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 6,500 บาท 6,000 บาท และ 5,500 บาท ตามลำดับ กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกสิ้นเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2548 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าและโจทก์ทั้งสามไม่ได้กระทำผิดโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ทำงานเกินกว่า 10 ปี โจทก์ที่ 3 ทำงานเกินกว่า 1 ปี จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสามจำนวน 65,000 บาท 60,000 บาท และ16,500 บาท ตามลำดับ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งสามจำนวน 6,500 บาท 6,000 บาท และ 5,500 บาท ตามลำดับ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามโดยไม่เป็นธรรม จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามจำนวน 390,000 บาท 360,000 บาท และ 330,000 บาท ตามลำดับ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 65,000 บาท 60,000 บาท และ16,500 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 6,500 บาท 6,000 บาท และ 5,500 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจำนวน 390,000 บาท 360,000 บาท และ 330,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสามตามลำดับ
จำเลยให้การว่า จำเลยมีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทสมาคม มีวัตถุประสงค์ ในการจัดตั้งเพื่อสาธารณประโยชน์ มิได้มีธุรกิจในทางการค้าเพื่อแสวงหากำไรอันเป็นข้อยกเว้นที่จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสามตามฟ้อง จำเลยประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจจึงต้องปรับลดค่าใช้จ่ายขององค์กรโดยการลดพนักงาน จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามและบอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 คนละ 120,000 บาท แก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 20,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสามเป็นลูกจ้างจำเลย โดยโจทก์ที่ 1 เข้าทำงานเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2535 ตำแหน่งพนักงานธุรการ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 6,500 บาท โจทก์ที่ 2 เข้าทำงานเมื่อเดือนมีนาคม 2525 ตำแหน่งพนักงานทำความสะอาด ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 6,000 บาท โจทก์ที่ 3 เข้าทำงานเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2545 ตำแหน่งพนักงานธุรการ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 5,500 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกสิ้นเดือน ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามโดยโจทก์ทั้งสามมิได้กระทำความผิด สมาคมจำเลยไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจจึงไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ในเรื่องค่าชดเชยตามกฎกระทรวง (พ.ศ.2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2541 ข้อ (3) จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามโดยแจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งสาม แต่ให้จ่ายค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งสาม
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยเพียงว่า กฎกระทรวง (พ.ศ.2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2541 ข้อ (3) นำมาใช้บังคับกับการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 4 วรรคหนึ่งและวรรคสอง บัญญัติว่า "พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่....นอกจากกรณีตามวรรคหนึ่ง จะออกกฎกระทรวงมิให้ใช้บังคับตามพระราชบัญญัตินี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแก่นายจ้างประเภทหนึ่งประเภทใดก็ได้" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมออกกฎกระทรวง (พ.ศ.2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2541 ข้อ (3) ว่า "มิให้ใช้บทบัญญัติมาตรา .... หมวด 11 ค่าชดเชย ตั้งแต่มาตรา 118 ถึงมาตรา 122 .... บังคับแก่นายจ้าง ซึ่งจ้างลูกจ้างทำงานที่มิได้แสวงกำไรในทางเศรษฐกิจ" เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นสมาคมที่มิได้แสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ จึงนำค่าชดเชยมาตรา 118 ถึงมาตรา 122 ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน พ.ศ.2541 มาบังคับใช้กับการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามไม่ได้ กฎกระทรวงดังกล่าวได้บัญญัติยกเว้นเฉพาะพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน พ.ศ.2541 เท่านั้น มิได้บัญญัติให้ยกเว้นกรณีจำเลยหรือนายจ้างซึ่งลูกจ้างทำงานที่มิได้แสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายจาการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 ทั้งการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมกับการจ่ายค่าชดเชยเป็นคนละกรณีและบทบัญญัติของกฎหมายบัญญัติต่างหากจากกันเช่นนี้ ลูกจ้างจะได้ค่าชดเชยหรือไม่ พิจารณาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 และมาตรา 119 ส่วนการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยเพียงว่า กฎกระทรวง (พ.ศ.2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2541 ข้อ (3) นำมาใช้บังคับกับการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 4 วรรคหนึ่งและวรรคสอง บัญญัติว่า "พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่....นอกจากกรณีตามวรรคหนึ่ง จะออกกฎกระทรวงมิให้ใช้บังคับตามพระราชบัญญัตินี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแก่นายจ้างประเภทหนึ่งประเภทใดก็ได้" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมออกกฎกระทรวง (พ.ศ.2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2541 ข้อ (3) ว่า "มิให้ใช้บทบัญญัติมาตรา .... หมวด 11 ค่าชดเชย ตั้งแต่มาตรา 118 ถึงมาตรา 122 .... บังคับแก่นายจ้าง ซึ่งจ้างลูกจ้างทำงานที่มิได้แสวงกำไรในทางเศรษฐกิจ" เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นสมาคมที่มิได้แสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ จึงนำค่าชดเชยมาตรา 118 ถึงมาตรา 122 ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน พ.ศ.2541 มาบังคับใช้กับการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามไม่ได้ กฎกระทรวงดังกล่าวได้บัญญัติยกเว้นเฉพาะพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน พ.ศ.2541 เท่านั้น มิได้บัญญัติให้ยกเว้นกรณีจำเลยหรือนายจ้างซึ่งลูกจ้างทำงานที่มิได้แสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายจาการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 ทั้งการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมกับการจ่ายค่าชดเชยเป็นคนละกรณีและบทบัญญัติของกฎหมายบัญญัติต่างหากจากกันเช่นนี้ ลูกจ้างจะได้ค่าชดเชยหรือไม่ พิจารณาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 และมาตรา 119 ส่วนการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมพิจารณาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติจำกัดสิทธิของโจทก์ทั้งสามที่มีอยู่ตามกฎหมายและการแปลความกฎหมายให้เป็นการจำกัดสิทธิของโจทก์ทั้งสามย่อมไม่ชอบ ดังนั้นกฎกระทรวง (พ.ศ.2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2541 ข้อ (3) นำมาใช้บังคับกับการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 ไม่ได้ โจทก์ทั้งสามจึงฟ้องเรียกให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมได้ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยในประเด็นนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นฟ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.