ยื่น 5 ข้อชง'ปู'ชะลอขึ้น 300 บ.ส.อ.ท.โวยทำต้นทุนพุ่งวอนรัฐหาทางเยียวยา
ส.อ.ท.ใช้เวที กรอ.ยื่น 5 ข้อ เสนอนายก "ปู" 21 ต.ค.นี้ ชะลอการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท 70 จังหวัดปีหน้า ยันกระทบต้นทุนการผลิตพุ่ง ระบุวอนรัฐหาทางเยียวยากลุ่มเอสเอ็มอี หวั่นผู้ประกอบการย้ายฐานผลิตซบเพื่อนบ้าน ขณะที่ยื่นบีโอไอขอผ่อนผันใช้แรงงานต่างด้าวถึงปี 58 "พงษ์สวัสดิ์" เล็งถกบอร์ดใหญ่ไม่รับปากจะต่อให้หรือไม่
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 21 ต.ค.นี้ ส.อ.ท.จะนำปัญหาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาททั่วประเทศ ที่จะบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.56 เข้าหารือกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผ่านเวทีการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) สัญจรภาคภาคใต้ เพื่อขอให้ชะลอขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท สำหรับ 70 จังหวัดที่เหลือ และให้คงค่าจ้างขั้นต่ำไว้จนถึงปี 2558
ทั้งนี้เมื่อเร็วๆ นี้ ทางสมาชิก ส.อ.ท.เข้าหารือกับนายกรัฐมนตรีและได้ยื่นข้อเสนอเกี่ยวกับผลกระทบการปรับค่าจ้าง 300 บาททั่วประเทศ ที่จะมีผลในวันที่ 1 ม.ค.56 ในอีก 70 จังหวัด หลังจากนำร่องขึ้นไปแล้ว 7 จังหวัด เนื่องจาก ส.อ.ท.เห็นว่าหากมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นไปทุกจังหวัดเท่ากันหมด จะทำให้ผู้ประกอบการต่างจังหวัดได้รับความเดือดร้อน โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี จะมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แต่ไม่สามารถปรับราคาสินค้าขึ้นตามได้ ส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าลดลง หรือไม่สามารถแข่งขันได้
"ที่สำคัญผู้ประกอบการยังไม่สามารถปรับตัวตามระยะเวลาที่กำหนดได้ทัน โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีที่จะต้องให้ระยะเวลาอีกระยะหนึ่ง หากจะปรับค่าจ้างขึ้นไปจริงรัฐบาลจะต้องมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาอย่างเป็นรูปธรรมทั้งหาแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ พัฒนาแรงงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าเป็นห่วง คือ อาหาร สิ่งทอ ซึ่งกลุ่มดังกล่าวจำเป็นจะต้องใช้แรงงานเป็นหลัก ดังนั้นจึงอาจมีผู้ประกอบการบางรายอาจจะมีการขยายฐานผลิตไปเพื่อนบ้านบางส่วน เพื่อลดต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น"
ทั้งนี้จากการหารือของสมาชิก ส.อ.ท.ทั่วประเทศ ได้มีข้อสรุปร่วมกัน 5 ข้อ และจะนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี โดยข้อแรกจะให้คงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปัจจุบันไว้จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.58 แต่หากภาวะเศรษฐกิจของประเทศมีความผันผวนอย่างรุนแรง จนส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของลูกจ้าง คณะกรรมการค่าจ้างหรือคณะอนุกรรมการค่าจ้าง สามารถพิจารณาทบทวนอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2557 และปี 2558 ได้ตามความเหมาะสม ข้อ 2 การพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นหน้าที่ของคณะอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัดเป็นผู้นำเสนอต่อคณะกรรมการค่าจ้างกลาง โดยปราศจากการแทรกแซงทางการเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อ 3 ลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ (หากมี) จะต้องจบการศึกษาขั้นต่ำประถมศึกษาปีที่ 4 โดยได้รับใบประกาศนียบัตร หรือเอกสารรับรองจากระทรวงศึกษาธิการ ข้อ 4 หลังจากวันที่ 31 ธ.ค.58 เป็นต้นไป ให้ยกเลิกอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นแบบลอยตัว โดยปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด และข้อ 5 รัฐบาลจะต้องมีโครงการช่วยเหลือเยียวยา ชดเชยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม เช่น มีโครงการฟื้นฟูผู้ประกอบการ
นายธนิต โสรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท.ในฐานะคณะกรรมการเฉพาะกิจ กล่าวว่า การเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อให้นายกรัฐมนตรีมีเวลาทบทวนปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบ เนื่องจากที่ผ่านมาการใช้แรงงานในต่างจังหวัดได้มีการทยอยปรับขึ้นค่าจ้างไปแล้วเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมา 39.5% ส่วนการปรับครั้งนี้จะเป็นการปรับค่าจ้างส่วนที่ยังไม่ครบ 300 บาทต่อวัน หรือเฉลี่ย 30.5% ยิ่งจะส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นสูงไปอีก และจะกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อ ราคาวัตถุดิบ ค่าขนส่ง สินค้าแพงขึ้นตามมา
"เมื่อค่าจ้างขั้นต่ำในต่างจังหวัดปรับขึ้นเท่ากับ 7 จังหวัดนำร่องแล้ว จะก่อให้เกิดแรงงานไหลไปอยู่ต่างจังหวัด ทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานในส่วนกลางเพิ่มขึ้นอีก หรือแรงงานหายไปประมาณ 30-40%"
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สภาผู้ส่งออกฯ) และที่ปรึกษาสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม เปิดเผยว่า ขณะนี้สภาผู้ส่งออกฯ และสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มได้ทำหนังสือไปยังสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อขอให้กำหนดเกณฑ์ให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอสามารถใช้แรงงานต่างด้าวเป็นเวลาที่แน่นอน โดยได้เสนอขอให้กำหนดใช้ได้อีก 3 ปี หรือจนถึงปี 2558
ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า เรื่องนี้คงจะต้องนำไปหารือในคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดใหญ่) ที่มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เป็นประธาน คงไม่สามารถตอบได้ว่าที่สุดแล้วจะผ่อนผันให้อีกหรือไม่ หรือผ่อนผันให้มากน้อยเพียงใด เพราะจะต้องนำตัวเลขของความต้องการใช้แรงงานต่างด้าวมาพิจารณาประกอบกับตัวเลขการว่างงานของคนไทยด้วย
กระทรวงแรงงานเตรียมพร้อม 4 แนวทางป้องกันผลกระทบจากปมขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
นายพูลศักดิ์ เศรษฐนันท์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมเตรียมการและหาแนวทางป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ใน 70 จังหวัด โดยได้พิจารณาแผนงานและโครงการที่เกี่ยวข้องกับการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ของหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดกระทรวงแรงงาน
ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้พิจารณาข้อเสนอการจัดทำโมเดลที่จำลองสถานการณ์เมื่อมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ในวันที่ 1 ม.ค.56 ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) จะได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ประกอบการขนาดใหญ่ จึงต้องเตรียมการใน 4 ส่วน ได้แก่ 1.การอำนวยการและประสานงาน เพื่อดูแลกลุ่มเสี่ยง พื้นที่เสี่ยง 2.การเฝ้าระวังมีการบูรณาการหน่วยงานต่างๆ เพื่อทราบข้อมูลเชิงลึก หากพบสัญญาณเตือนเหตุ เช่น การเลิกจ้าง หรือการขาดสภาพคล่อง ก็ต้องนำมาตรการต่างๆ ที่นำเสนอไว้ 27 มาตรการให้ผู้ได้รับผลกระทบสามารถเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือให้ทั่วถึง
3.การป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือผลกระทบต่างๆ เช่น การประสานกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย ให้ทราบข้อมูลผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกเพื่อเข้าตรวจเยี่ยมสถานประกอบกิจการ และ 4.การแก้ไขปัญหา เมื่อเกิดผลกระทบแล้ว โดยการประชาสัมพันธ์ทุกระดับในมาตรการการให้ความช่วยเหลือต่างๆ เช่น การหาแหล่งเงินทุน การพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อเพิ่มผลผลิต การประสานหน่วยงานอื่นๆ ในการดูแลการชุมนุมประท้วงต่างๆ เป็นต้น
ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้เสนอแนวความคิดในการกำหนดโมเดลสถานการณ์ที่มีความน่าจะเป็นว่า ควรใช้กรอบด้านเวลาและสถานการณ์มาเป็นตัวตั้งว่าในสถานการณ์การปรับค่าจ้าง 300 บาท ในวันที่ 1 ม.ค.56 ควรกำหนดกรอบกว้างๆ ไว้ว่า เป็นสถานการณ์ก่อนเกิด ขณะเกิด และหลังเกิด แล้วนำกิจกรรมต่างๆ มาพิจารณาในรายละเอียดว่ามีอะไรบ้างที่จะเข้าไปสอดแทรกในระหว่างเหตุการณ์นั้นๆ ซึ่งจะครอบคลุมถึงมาตรการต่างๆ ได้อีกด้วย โดยอาศัยข้อมูลจาก "ศูนย์โปร่งใส" ของกระทรวงแรงงานที่รับเรื่องราวร้องทุกข์ต่างๆ มาใช้พิจารณา
สำหรับมาตรการต่างๆ ที่ประชุมฯ ได้จัดทำร่างข้อเสนอเพื่อกำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2556 และเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ SMEs ไว้ 6 กลุ่มหลัก 27 มาตรการตามที่นายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้องได้เสนอไว้จากการจัดประชุมก่อนหน้านี้คือ มาตรการลดภาระต้นทุนจากค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น, มาตรการยกระดับผลิตภาพแรงงาน (Productivity of Labour), มาตรการทางการเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบกิจการ, มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของ SMEs, มาตรการเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบกิจการผ่านการใช้จ่ายภาครัฐ และมาตรการช่วยค่าครองชีพให้ลูกจ้างและประชาชนทั่วไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ให้ข้อเสนอแนะว่ามาตรการเหล่านี้ถ้ารัฐบาลเห็นชอบจะดำเนินการควรประกาศให้ทราบทั่วกันล่วงหน้าก่อนวันที่ 1 ม.ค.56 และรัฐบาลควรจัดประชุมชี้แจงนายจ้าง ลูกจ้างให้ทราบถึงรายละเอียดของทุกมาตรการที่ประกาศใช้ในคราวเดียวกันทุกมาตรการ ไม่ควรจัดประชุมชี้แจงแยกเป็นรายหน่วยงาน หรือรายมาตรการ เพราะอาจรับทราบไม่ครบถ้วนเห็นเป็นภาพรวม
อนึ่ง เมื่อวานนี้(11 ต.ค.) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) รายงานว่า ปัจจัยดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้จำนวนผู้ว่างงานที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีปี 56 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% หรือราว 160,000-170,000 คน จากปัจจุบันที่มีจำนวน 145,000 คน