คำพิพากษาฎีกาที่ 12414 - 53
มีเหตุต้องย้ายสถานประกอบการ แต่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างใช้สิทธิเลือกว่าจะย้ายตามหรือไม่กลับมีคำสั่งเลิกจ้างแทนโดยว่าจ้างบริษัทรับเหมาค่าแรงรับช่วงต่อหาคนงานใหม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
รายชื่อโจทก์ปรากฏตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
คดีทั้งยี่สิบสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมการพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์ทั้งยี่สิบสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 - 20 ตามลำดับ และเรียกจำเลยทั้งยี่สิบสำนวนว่า จำเลย
โจทก์ทั้งยี่สิบสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ทั้งยี่สิบเคยทำงานเป็นลูกจ้างจำเลย โดยปฏิบัติงานที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ (ดอนเมือง) กลุ่มแรกทำงานในสำนักงานให้บริการลูกค้าหรือแผนกการบริการลูกค้าประกอบด้วยโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และโจทก์ที่ 5 ถึงที่ 14 กลุ่มที่สอง ประกอบด้วยโจทก์ที่เหลือทำงานในแผนกวิศวกรตำแหน่งช่างเครื่องบิน เมื่อวันที่ 16 และวันที่ 24 สิงหาคม 2549 จำเลยมีหนังสือบอกเลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบและพนักงานอื่น โดยระบุเหตุว่าจำเลยว่าจ้างบริษัท เอส เอ เซอร์วิสเซส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทจัดหาคนงานเข้าทำงานแทน อันเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจการบิน ทั้งๆ ที่บริษัทดังกล่าวเพิ่งจัดตั้งเป็นนิติบุคคลเมื่อปี 2549 และไม่มีพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญในการทำงานแทนโจทก์และพนักงานคนอื่นของจำเลย จำเลยมีแผนที่จะให้พนักงานที่ถูกเลิกจ้างไปสมัครเข้าทำงานกับบริษัทดังกล่าว ซึ่งจะได้รับเงินเดือนต่ำกว่าเดิมและไม่ได้รับสวัสดิการผลประโยชน์อื่นเหมือนเช่นที่เคยได้รับจากจำเลย จำเลยไม่ได้ประสบภาวะขาดทุน การเลิกจ้างของจำเลยทำโดยอาศัยช่องว่างของสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดเวลาการจ้างมาบอกเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลสมควรและไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ทั้งยี่สิบได้รับความเสียหาย จึงขอเรียกค่าเสียหายจากฐานเงินทั้งหมดที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์แต่ละคน ประกอบด้วยเงินเดือนสุดท้ายและการปรับเพิ่มเงินเดือนร้อยละ 4 ต่อปี สำหรับฐานเงินเดือนไม่เกิน 50,000 บาท และส่วนที่ฐานเงินเดือนไม่ถึง 50,000 บาท ขอเรียกการปรับเพิ่มร้อยละ 5.25 ต่อปี เงินโบนัส ค่าล่วงเวลาเฉลี่ยรายเดือน ค่าซักรีดเครื่องแบบ ค่าเบี้ยเลี้ยง ส่วนแบ่งกำไร เงินค่าลากเครื่องบินและเติมน้ำมันและเงินสมทบของจำเลย ผู้เป็นนายจ้าง ตั้งแต่ปี 2547 และการปรับเพิ่มอีกร้อยละ 4 ต่อปี ของเงินสมทบส่วนของจำเลยโดยคำนวณตั้งแต่วันเลิกจ้างถึงวันเกษียณอายุการทำงาน 55 ปี ขอให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 21,649,283 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 24,402,603 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 11,941,829 บาท โจทก์ที่ 4 จำนวน 13,513,065 บาท โจทก์ที่ 5 จำนวน 17,946,791 บาท โจทก์ที่ 6 จำนวน 12,471,223 บาท โจทก์ที่ 7 จำนวน 17,210,185 บาทโจทก์ที่ 8 จำนวน 20,122,544 บาท โจทก์ 9 จำนวน 15,056,479 บาท โจทก์ 10 จำนวน 4,811,141บาท โจทก์ที่ 11 จำนวน 6,946,962 บาท โจทก์ที่ 12 จำนวน 16,957,877 บาท โจทก์ 13 จำนวน11,978,676 บาท โจทก์ที่ 14 จำนวน 15,957,752 บาท โจทก์ 15 จำนวน 2,889,689 บาท โจทก์ที่ 16 จำนวน 3,554,457 บาท โจทก์ที่ 17 จำนวน 6,208,701 บาท โจทก์ที่ 18 จำนวน 5,062,282 บาทโจทก์ที่ 19 จำนวน 5,308,444 บาท โจทก์ที่ 20 จำนวน 9,654,806 บาท หรือรับโจทก์ทุกคนกลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิม และให้จ่ายเงินเดือนพร้อมผลประโยชน์อื่นย้อนหลังขึ้นไปตั้งแต่เลิกจ้างจนถึงวันที่รับโจทก์แต่ละคนกลับเข้าทำงาน
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัท จำกัด จดทะเบียนตามกฎหมายของประเทศอังกฤษ ประกอบธุรกิจการบิน รวมถึงขนส่งผู้โดยสาร สินค้า และพัสดุภัณฑ์ทางไปรษณีย์ จำเลยมีสาขาหลายแห่งทั่วโลก รวมทั้งสาขาในประเทศไทย ซึ่งได้เปิดดำเนินการเป็นเวลานานมาแล้ว ประมาณต้นปี 2538 จำเลยและบริษัทแควนตัสแอร์เวย์ จำกัด ตกลงทำสัญญาให้บริการร่วมกัน เพื่อพัฒนาเครือข่ายการบินทั่วโลกและขยายการให้บริการ ทั้งสองบริษัทต้องดำเนินงานร่วมกันเรื่องการให้บริการลูกค้า ปลายปี 2549 จำเลยมีเครื่องบิน 2 ลำ เดินทางเข้าออกในประเทศไทย วันละ 2 เที่ยวบิน สำนักงานของจำเลยในประเทศไทยมีสำนักงานให้บริการลูกค้าหรือแผนกให้บริการลูกค้าและแผนกวิศวกรตั้งอยู่ที่ท่าอากาศยานกรุงเทพหรือท่าอากาศยานดอนเมือง วันที่ 28 กันยายน 2549 ประเทศไทยย้ายท่าอากาศยานนานาชาติจากท่าอากาศยานดอนเมืองไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อันเป็นผลให้สำนักงานให้บริการลูกค้าและแผนกวิศวกรของจำเลยต้องย้ายไปอยู่ที่ท่าอากาศยานแห่งใหม่ด้วย พนักงานได้รับความเดือดร้อนจึงแจ้งต่อผู้บังคับบัญชาและคุยกันในหมู่เพื่อนร่วมงานว่าจะไม่ยอมย้ายไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หากจำเลยยอมจ่ายเงินค่าชดเชย ท่าอากาศยานแห่งใหม่ห่างจากท่าอากาศยานดอนเมืองเดิมประมาณ 50 กิโลเมตร และต้องใช้เวลาเดินทางเพิ่มขึ้นรวมเป็น 2 ชั่วโมง ในช่วงการจราจรติดขัด ที่ปรึกษากฎหมายให้คำแนะนำแก่จำเลยว่ากรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องการย้ายสถานประกอบกิจการ พนักงานมีสิทธิเลิกสัญญาจ้างแรงงานภายในกำหนด 30 วัน ซึ่งจะทำให้จำเลยเสียหายได้หากมีการใช้สิทธิดังกล่าวเพราะไม่มีพนักงานทำงานที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และระบบงานของจำเลยจะดำเนินการต่อไปไม่ได้ อันก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้โดยสาร จำเลยได้ศึกษาปัญหาและได้ข้อสรุปว่าจำเลยและบริษัทแควนตัสแอร์เวย์ จำกัด จะยุบเลิกสำนักงานให้บริการลูกค้าและจำเลยจะยุบเลิกแผนกวิศกรทั้งหมด จำเลยช่วยเหลือพนักงานที่ถูกเลิกจ้างรวมทั้งโจทก์ทุกคน โดยการจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้ครบถ้วน และจ่ายเงินค่าชดเชยพิเศษให้แก่โจทก์ที่ทำงานติดต่อกันเกิน 6 ปี โดยจ่ายให้อัตราเงินเดือน 15 วัน ต่ออายุการทำงาน 1 ปี จำเลยทำสัญญากับบริษัท เอส เอ เซอร์วิสเซส จำกัด และบริษัทคาเธ่ย์ แปซิฟิค จำกัด ให้จัดหาพนักงานเข้าทำงานให้แก่จำเลยที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอันเป็นการแก้ปัญหาความเสี่ยงในการไม่มีพนักงานมาทำงาน การเลิกจ้างของจำเลยไม่ใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมด้วยเหตุผล ประการแรก เป็นสิทธิของคู่สัญญาตามสัญญาจ้างแรงงานที่จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาได้โดยแจ้งเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้า 1 เดือน ประการที่สอง จำเลยจ่ายเงินค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชยพิเศษซึ่งส่วนนี้ไม่ใช่หน้าที่ของจำเลย อันเป็นการจ่ายเงินให้แก่โจทก์ทุกคนครบตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ประการที่สาม เป็นการเลิกจ้างพนักงานทุกคนรวมทั้งโจทก์ที่ทำงานที่ท่าอากาศยานดอนเมืองเพราะยุบเลิกแผนกและมีการปิดสนามบินดังกล่าว จึงไม่มีงานให้ทำ ประการที่สี่ แม้ไม่เลิกจ้าง พนักงานทุกคนรวมทั้งโจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้ในขณะที่ไปทำงานที่ท่าอากาศยานแห่งใหม่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ ดังกล่าว อันทำให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยและผู้โดยสารและการทำสัญญาจ้างบริษัททั้งสองแห่งข้างต้นจัดหาพนักงานเข้ามาทำงานเป็นเรื่องปกติและยอมรับกันในวงการธุรกิจการบินระหว่างประเทศ ประการที่ห้า จำเลยมีเจตนาสุจริตเพราะเป็นการเลิกจ้างทั้งแผนก ไม่ใช่เรื่องต้องการประหยัดเงินค่าใช้จ่ายหากรอให้พนักงานบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงาน จะมีผลให้จำเลยต้องจ่ายเงินเพียงกึ่งหนึ่งของเงินค่าชดเชย ประการที่หก พนักงานทุกคนในแผนกให้บริการลูกค้าได้รับโอกาสให้สมัครเข้าทำงานกับบริษัท เอส เอ เซอร์วิสเซส จำกัด โดยจะได้รับการเลื่อนเป็นระดับหัวหน้างาน แต่ไม่มีโจทก์คนใดยื่นใบสมัครงาน ทั้งๆ ที่มีตำแหน่งงานว่าง ส่วนพนักงานแผนกวิศกรได้รับโอกาสให้เข้าสมัครงานที่บริษัทคาเธ่ย์ แปซิฟิค จำกัด โดยโจทก์ที่ 4 ที่ 15 ที่ 16 และที่ 17 ถึงที่ 20 ได้รับการว่าจ้างเข้าทำงานที่บริษัทดังกล่าวแล้วโดยไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาเงินค่าเสียหายถึงเกษียณอายุการทำงานตามคำฟ้อง โจทก์ที่ 13 ตกลงกับจำเลยว่าจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลย โจทก์ที่ 13 จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งยี่สิบอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนตามกฎหมายของประเทศอังกฤษ ประกอบธุรกิจการบินรวมถึงขนส่งผู้โดยสาร สินค้า และพัสดุภัณฑ์ทางไปรษณีย์ จำเลยมีสาขาหลายแห่งทั่วโลกรวมทั้งสาขาในประเทศไทย ปลายปี 2549 จำเลยมีเครื่องบิน 2 ลำ เดินทางเข้าออกในประเทศไทย วันละ 2 เที่ยวบิน สำนักงานของจำเลยในประเทศไทยมีสำนักงานให้บริการลูกค้าหรือแผนกให้บริการลูกค้าและแผนกวิศวกรตั้งอยู่ที่ท่าอากาศยานกรุงเทพหรือท่าอากาศยานดอนเมือง วันที่ 28 กันยายน 2549 ประเทศไทยย้ายท่าอากาศยานนานาชาติจากท่าอากาศยานดอนเมืองไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อันเป็นผลให้สำนักงานให้บริการลูกค้าและแผนกวิศวกรของจำเลยต้องย้ายไปอยู่ที่ท่าอากาศยานแห่งใหม่ด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิห่างจากท่าอากาศยานดอนเมืองประมาณ 50 กิโลเมตร และต้องใช้เวลาเดินทางเพิ่มขึ้นรวมเป็น 2 ชั่วโมง ในกรณีที่จราจรติดขัด ที่ปรึกษากฎหมายให้คำแนะนำแก่จำเลยว่ากรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องการย้ายสถานประกอบกิจการ พนักงานมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงานภายในกำหนด 30 วัน จำเลยไม่ได้จัดการสอบถามความสมัครใจของพนักงานรวมทั้งโจทก์ทั้งยี่สิบว่าต้องการไปทำงานกับจำเลยที่สำนักงานของจำเลยที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิก่อนการเลิกจ้าง เดิมงานแผนกวิศวกรจำเลยได้รับใบอนุญาตจากการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยหรือบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด ให้ดำเนินการรับจ้างซ่อมแซมและดูแลบำรุงรักษาเครื่องบิน ภายหลังเมื่อมีการย้ายท่าอากาศยานแห่งใหม่จำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการต่อไป จำเลยตัดสินใจยุบเลิกสำนักงานให้บริการลูกค้าและแผนกวิศกรทั้งหมด โดยในวันที่ 24 สิงหาคม 2549 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และโจทก์ที่ 5 ถึงที่ 14 ซึ่งเป็นพนักงานทำงานแผนกให้บริการลูกค้า ส่วนโจทก์ที่เหลือทำงานในแผนกวิศวกรได้รับหนังสือเลิกจ้างในวันที่ 16 สิงหาคม 2549 โดยหนังสือเลิกจ้างระบุว่า แผนกให้บริการลูกค้าของจำเลยจะมีบริษัท เอส เอ เซอร์วิสเซส จำกัด เข้ามารับช่วงดำเนินการต่อไป และแผนกวิศวกรของจำเลยจะมีบริษัทคาเธ่ย์ แปซิฟิค จำกัด เข้ามารับช่วงดำเนินการต่อไป ตำแหน่งงานของท่านต้องถูกยุบ จำเลยมีความจำเป็นที่ต้องเลิกจ้างท่าน โดยให้มีผลบังคับอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2549 หลังจากมีการเลิกจ้างแล้ว จำเลยจ่ายเงินค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้ครบถ้วน และค่าชดเชยพิเศษ ซึ่งจ่ายให้แก่โจทก์ที่ทำงานติดต่อกันเกิน 6 ปี โดยจ่ายให้อัตราเงินเดือน 15 วัน ต่ออายุการทำงาน 1 ปี ขณะเลิกจ้างจำเลยไม่ได้ประสบภาวะขาดทุน ในการทำงานที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำเลยตกลงทำสัญญากับบริษัท เอส เอ เซอร์วิสเซส จำกัด จัดหาพนักงานเข้ามาทำงานแทนพนักงานเดิมที่เลิกจ้างในสำนักงานให้บริการลูกค้า และทำสัญญาจ้างบริษัทคาเธ่ย์ แปซิฟิค จำกัด ดำเนินการตรวจสอบซ่อมบำรุงรักษาเครื่องบินแทน บริษัท เอส เอ เซอร์วิสเซส จำกัด เป็นผู้จ่ายเงินค่าจ้างให้แก่พนักงานที่เข้ามาทำงานแทนในสำนักงานให้บริการลูกค้า บริษัท เอส เอ เซอร์วิสเซส จำกัด เป็นบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งในประเทศไทยเมื่อเดือนสิงหาคม 2549 และเป็นบริษัทในเครือของบริษัทบริการภาคพื้นดินการบินกรุงเทพเวิลด์ไวลด์ไฟท์เซอร์วิส จำกัด ได้รับอนุญาตจากบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ให้เป็นผู้ดำเนินการจัดการพนักงานให้แก่สายการบินต่างๆ ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยได้รับการสนับสนุนด้านกำลังคนจากบริษัทบริการภาคพื้นดินการบินไทยกรุงเทพเวิลด์ไวลด์ไฟท์เซอร์วิส จำกัด ซึ่งมีพนักงานมากกว่า 2,000 คน ที่ทำงานให้แก่สายการบินต่างๆ ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ข้อบังคับการทำงานระหว่างจำเลยกับโจทก์ทั้งยี่สิบ เอกสารหมาย ล.2 หมวดอีอาร์ 19 กรณีการสิ้นสุดการว่าจ้าง กำหนดว่า คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้โดยแจ้งเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้า 1 เดือน การว่าจ้างพนักงานอาจยุติลงเพราะเหตุบริษัทปรับปรุงหน่วยงาน หรือการบริการซึ่งเป็นเหตุให้ต้องลดจำนวนพนักงานจำเลยจะแจ้งให้พนักงานทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 60 วัน ก่อนวันที่จะเลิกจ้าง ในกรณีที่จำเลยย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่น จำเลยจะแจ้งให้พนักงานทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน ก่อนวันย้ายสถานประกอบกิจการ พนักงานมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้หากไม่ประสงค์จะไปทำงานด้วย เนื่องจากมีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของพนักงานและครอบครัว ในการลาออก พนักงานจะต้องลาออกเป็นลายลักษณ์อักษรต่อผู้จัดการฝ่ายโดยต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อยที่สุด 1 เดือน หมวด อีอาร์ 22 กรณีเงินชดเชย ข้อ 2 กรณีการเลิกจ้างเพราะเหตุที่จำเลยปรับปรุงหน่วยงานหรือการบริการซึ่งเป็นเหตุให้ต้องลดจำนวนพนักงาน จำเลยจะจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 60 วัน ในกรณีที่จำเลยไม่แจ้งให้พนักงานทราบล่วงหน้าหรือแจ้งน้อยกว่า 60 วัน และจะจ่ายค่าชดเชยพิเศษเพิ่มจากค่าชดเชยปกติในกรณีที่พนักงานทำงานติดต่อกันเกิน 6 ปี ทั้งนี้ค่าชดเชยพิเศษดังกล่าวจะไม่เกินค่าจ้างอัตราสุดท้าย 360 วัน ข้อ 3 เรื่องการย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้งสถานที่อื่น จำเลยจะจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน ในกรณีที่จำเลยไม่สามารถแจ้งให้พนักงานทราบล่วงหน้าได้หรือแจ้งน้อยกว่า 30 วัน หากพนักงานไม่ประสงค์จะไปทำงานด้วย พนักงานมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของอัตราค่าชดเชยปกติที่พนักงานมีสิทธิได้รับ หมวด อีอาร์ 20 กรณีการปลดเกษียณ ข้อ 1 กำหนดว่าอายุเกษียณตามปกติสำหรับพนักงานของจำเลยคือสิ้นเดือนของเดือนที่พนักงานนั้นมีอายุครบ 55 ปี ข้อ 2 กำหนดว่าพนักงานที่ปลดเกษียณจะได้รับเงินชดเชยเมื่อสิ้นสุดการทำงานตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 หมวด อีอาร์ 9 กำหนดให้จำเลยจ่ายเงินค่าเบี้ยเลี้ยงค่าซักรีดเครื่องแบบ 350 บาท ต่อเดือน หมวด อีอาร์ 12 กรณีโบนัสประจำปี กำหนดจ่ายเท่ากับเงินเดือนพื้นฐาน 1 เดือน ในเดือนธันวาคมของทุกปี หมวด อีอาร์ 13 กรณีแผนงานการแบ่งผลกำไร กำหนดว่า พนักงานจะได้รับผลประโยชน์นี้ตามผลงานและเงินเดือนของพนักงาน โดยขึ้นอยู่กับระดับผลกำไรและการพิจารณาของจำเลย จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบเนื่องจากได้ยุบเลิกแผนกให้บริการลูกค้าและวิศวกรโดยจ้างให้บริษัท เอส เอ เซอร์วิสเซส จำกัด เริ่มดำเนินงานเมื่อเดือนกันยายน 2549 จำเลยจ้างบริษัทคาเธ่ย์ แปซิฟิค จำกัด ทำหน้าที่ตรวจสอบและซ่อมบำรุงรักษาเครื่องบินเดิมพนักงานแผนกวิศวกรมี 17 คน ประกอบด้วย ช่างเครื่องบิน 14 คน และวิศวกร 3 คน การทำงานตรวจสอบบำรุงรักษาเครื่องบิน 1 ลำ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที โดยใช้ช่างเครื่องบิน 3 คน และตรวจสอบอีกครั้งโดยวิศกร จำเลยไม่ได้ทำการรับจ้างตรวจสอบซ่อมแซมเครื่องบินให้แก่สายการบินอื่นและสายการบินแควนตัสอีกต่อไป ซึ่งเดิมเคยรับจ้างตรวจสอบ มีปัญหาต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งยี่สิบว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่โดยโจทก์ทั้งยี่สิบอุทธรณ์ว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบนั้น จำเลยมิได้ประสบภาวะขาดทุนและไม่มีปัญหาด้านการเงิน แต่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และโจทก์ที่ 5 ถึงที่ 14 ซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายให้บริการลูกค้า โดยมิได้สอบถามความสมัครใจของโจทก์ดังกล่าวก่อนว่าจะไปทำงานที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิหรือไม่ แต่คาดเดาเอาเองว่าโจทก์ดังกล่าวจะไม่ตามไปทำงานด้วย แล้วจ้างพนักงานจากบริษัทภายนอกเข้าทำงานจึงไม่มีเหตุแห่งการเลิกจ้างเพียงพอ ส่วนโจทก์ที่ 4 และที่ 15 ถึงที่ 20 เป็นช่างเครื่องการที่จำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ตรวจสอบและซ่อมแซมเครื่องบินเกิดจากความผิดของจำเลยที่ไม่ยื่นคำขอใบอนุญาต เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 4 และที่ 15 ถึงที่ 20 จึงไม่มีเหตุแห่งการเลิกจ้างเพียงพอเช่นกัน ดังนั้นการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม นั้น เห็นว่า เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยประกอบธุรกิจการบินมีสาขาหลายแห่งทั่วโลก มีเครื่องบิน 2 ลำ ที่เดินทางเข้าออกในประเทศไทย วันละ 2 เที่ยวบิน ต่อมาประเทศไทยย้ายท่าอากาศนานาชาติจากท่าอากาศยานกรุงเทพหรือท่าอากาศยานดอนเมืองไปยังท่าอากาศสุวรรณภูมิ เป็นผลให้สำนักงานให้บริการลูกค้าและแผนกวิศวกรต้องย้ายไปอยู่ที่ท่าอากาศสุวรรณภูมิ แต่ไม่ยุบเลิกสำนักงานให้บริการลูกค้าและแผนกวิศวกรและเลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบที่อยู่ในแผนกดังกล่าว ในส่วนทางแผนกให้บริการลูกค้าของจำเลยจะมีบริษัท เอส เอ เซอร์วิสเซส จำกัด เข้าไปรับช่วงดำเนินการต่อไป แผนกวิศวกรของจำเลยจะมีบริษัทคาเธ่ย์ แปซิฟิค จำกัด เข้าไปรับช่วงดำเนินการต่อ จำเลยมิได้ประสบภาวะขาดทุนในขณะเลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบ จึงเห็นได้ว่าไม่ว่าจะมีการย้ายท่าอากาศยานนานาชาติจากท่าอากาศยานกรุงเทพหรือท่าอากาศยานดอนเมืองไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิหรือไม่ จำเลยก็ยังคงมีเครื่องบิน 2 ลำ ที่เดินทางเข้าออกประเทศไทยวันละ 2 เที่ยวบิน ซึ่งจะต้องมีพนักงานที่ทำหน้าที่ให้บริการลูกค้าประจำอยู่ที่ท่าอากาศยาน รวมทั้งแผนกวิศวกรซึ่งมีพนักงานที่ทำหน้าที่วิศวกรและช่างเครื่องในการตรวจสอบบำรุงรักษาเครื่องบินอยู่ ซึ่งจำเลยสามารถจะโอนย้ายลูกจ้างในแผนกบริการลูกค้าและแผนกวิศวกรของจำเลยให้ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ แต่จำเลยเลือกที่จะเลิกจ้างลูกจ้างแล้วให้บริษัทภายนอกจัดส่งพนักงานเข้าไปปฏิบัติหน้าที่แทน การกระทำดังกล่าวไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากการปรับลดค่าใช้จ่ายในการบริหารกิจการของจำเลยหรือการคาดหมายเหตุการณ์ในภายหน้าที่อาจจะไม่มีพนักงานปฏิบัติหน้าที่เพียงพอก็ดี หรือจากการที่จำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด ให้ดำเนินการซ่อมแซมบำรุงรักษาเครื่องบินก็ดีล้วนแต่เป็นไปเพราะเหตุจากการบริหารงานและเพื่อประโยชน์ของจำเลยเองโดยมิได้คำนึงถึงความเดือดร้อนของลูกค้าเมื่อถูกเลิกจ้าง การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยต้องใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ทั้งยี่สิบ อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งยี่สิบฟังขึ้น แต่การจะสั่งให้จำเลยรับโจทก์ทั้งยี่สิบเข้าทำงานต่อไปหรือกำหนดจำนวนค่าเสียหายให้จำเลยชดใช้เป็นดุลพินิจซึ่งศาลแรงงานกลางจะต้องพิจารณาโดยคำนึงถึงองค์ประกอบต่างๆ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 รวมทั้งค่าชดเชยและเงินอื่นๆ ที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งยี่สิบโดยปฏิบัติตามกฎข้อบังคับในการว่าจ้างเอกสารหมาย ล.2 ประกอบการพิจารณา ซึ่งศาลฎีกาไม่อาจกำหนดได้ จึงต้องย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางดำเนินการในเรื่องดังกล่าว
พิพากษากลับและให้ย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาสมควรรับโจทก์ทั้งยี่สิบเข้าทำงานหรือกำหนดจำนวนค่าเสียหายให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์ทั้งยี่สิบแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี