คำพิพากษาฎีกา 5943 – 5991 – 53
ลาออกล่วงหน้า อนุมัติเรียบร้อยแล้ว ก่อนถึงวันลาออกมีผล นายจ้างเลิกจ้างก่อนถือว่าเป็นเพียงการแสดงเจตนาให้การลาออกมีผลก่อนกำหนด กรณีถือว่าเป็นการลาออกมิใช่การเลิกจ้าง
รายชื่อโจทก์ปรากฏตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
คดีนี้เดิมศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันรวมสี่สิบห้าสำนวน โดยเรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 45 และเรียกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทั้งสี่สิบห้าสำนวนว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 แต่คดีสำหรับโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 35 และที่ 45 ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลแรงงานกลาง คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีของโจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 เท่านั้น
โจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 ฟ้องทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนและมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 ให้ทำการแทนในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคล จำเลยทั้งสามได้ตกลงจ้างโจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 เข้าทำงานเป็นลูกจ้างรายเดือนในตำแหน่งและได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายตามคำฟ้องทั้งเก้าสำนวนกำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 5 ของเดือน เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2549 จำเลยทั้งสามได้เลิกจ้างโจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าและโจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 ไม่ได้กระทำความผิด โจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 ได้ทวงถามแล้วแต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสามจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและค่าจ้างค้างจ่ายประจำเดือนสิงหาคม 2549 แก่โจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 ตามคำขอท้ายฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การทำนองเดียวกันว่า เดิมนายฮง มักฮง ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจได้ทำการทุจริตยักยอกทรัพย์สินและเครื่องบินของจำเลยที่ 1 ไม่สามารถทำการบินได้ จำนวน 3 เครื่อง จึงเช่าเครื่องบินจากบุคคลภายนอกมาบินแทนเพียง 1 เครื่อง จึงเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ไม่มีเงินที่จะจ่ายให้กับโจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 โจทก์ที่ 42 ได้ยื่นใบลาออกกับบริษัทจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2549 แจ้งว่ามีความประสงค์ที่จะลาออกจากการเป็นพนักงานของบริษัทจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2549 เนื่องจากต้องการไปทำธุรกิจส่วนตัว ส่วนโจทก์ที่ 44 จำเลยที่ 1 ได้มีการเลิกจ้างเนื่องจากโจทก์ที่ 44 ไม่ผ่านการทดลองงาน จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องจ่ายเงินตามที่โจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 ฟ้องมาแต่ประการใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ที่ 36 จำนวน 30,000 บาท โจทก์ที่ 37 จำนวน 30,000 บาท โจทก์ที่ 38 จำนวน 15,000 บาท โจทก์ที่ 39 จำนวน 75,000 บาท โจทก์ที่ 40 จำนวน 75,000 บาท โจทก์ที่ 41 จำนวน 20,000 บาท โจทก์ที่ 43 จำนวน 15,000 บาท และโจทก์ที่ 44 จำนวน 80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันเลิกจ้าง (วันที่ 5 กันยายน 2549) จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสามจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายแก่โจทก์ที่ 36 จำนวน 30,000 บาท โจทก์ที่ 37 จำนวน 30,000 บาท โจทก์ที่ 38 จำนวน 15,000 บาท โจทก์ที่ 39 จำนวน 75,000 บาท โจทก์ที่ 40 จำนวน 75,000 บาท โจทก์ที่ 41 จำนวน 20,000 บาท โจทก์ที่ 43 จำนวน 15,000 บาท และโจทก์ที่ 44 จำนวน 80,000 บาท พร้อมเงินเพิ่มร้อยละ 15 ทุกกำหนดระยะเวลา 7 วัน นับแต่วันถึงกำหนดจ่าย (วันที่ 5 กันยายน 2549) จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสามจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ที่ 36 จำนวน 90,000 บาท โจทก์ที่ 37 จำนวน 90,000 บาท โจทก์ที่ 38 จำนวน 45,000 บาท โจทก์ที่ 39 จำนวน 75,000 บาท โจทก์ที่ 40 จำนวน 75,000 บาท โจทก์ที่ 41 จำนวน 20,000 บาท โจทก์ที่ 43 จำนวน 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้าง (วันที่ 5 กันยายน 2549) จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ทั้งนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นเพียงกรรมการผู้มีอำนาจและผู้จัดการฝ่ายบุคคลทำการแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 42
โจทก์ทั้งเก้าอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนและมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล โดยมีโจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง โจทก์ที่ 42 ได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ตามใบลาออกลงวันที่ 21 สิงหาคม 2549 โดยประสงค์จะลาออกตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2549 แต่ในวันที่ 5 กันยายน 2549 จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ที่ 42 จำเลยที่ 1 มีเครื่องบินอยู่จำนวน 3 ลำ ต่อมาองค์การการบินนานาชาติมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 เปลี่ยนเครื่องยนต์ที่หมดอายุซึ่งต้องใช้ค่าใช้จ่ายจำนวนมาก จำเลยที่ 1 ขาดสภาพคล่องทางการเงินจึงไม่สามารถเปลี่ยนเครื่องยนต์ได้ องค์การการบินนานาชาติจึงไม่อนุญาตให้นำเครื่องบินออกบินได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีเงินดำเนินการจึงต้องหยุดกิจการและเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2549 จึงเลิกจ้างโจทก์ที่ 36 ถึงที่ 41 ที่ 43 และที่44
มีปัญหาต้องวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ที่ 42 ว่า การที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ที่ 42 ก่อนวันที่โจทก์ที่ 42 ประสงค์จะลาออก จะมีผลเป็นการเลิกจ้างโจทก์ที่ 42 หรือไม่ โดยโจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 อุทธรณ์ว่า เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2549 โจทก์ที่ 42 สมัครใจลาออกจากการเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2549 เป็นต้นไป จำเลยที่ 1 ก็รับทราบเจตนาของโจทก์ที่ 42 แล้วโดยการอนุมัติใบลาออกในวันที่โจทก์ที่ 42 แสดงเจตนา หลังวันที่ 21 สิงหาคม 2549 โจทก์ที่ 42 ยังคงทำงานตามสัญญาจนกว่าจะถึงวันที่ 6 กันยายน 2549 ต่อมาวันที่ 5 กันยายน 2549 จำเลยที่ 1 มีคำสั่งเลิกจ้างพนักงานรวมทั้งโจทก์ที่ 42 จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ที่ 42 แล้วนั้น เห็นว่า ตามหนังสือลาออกของโจทก์ที่ 42 มีข้อความว่า "มีความประสงค์จะขอลาออกจากการเป็นพนักงานของบริษัทฯ ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2549 เป็นต้นไป เนื่องจากไปทำธุรกิจส่วนตัว" หนังสือลาออกดังกล่าวลงวันที่ 21 สิงหาคม 2549 และในวันเดียวกันนั้นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 อนุมัติให้ลาออกตามความประสงค์ของโจทก์ที่ 42 ดังนั้น แม้ว่าต่อมาวันที่ 5 กันยายน 2549 ก่อนวันที่โจทก์ที่ 42 ประสงค์ให้การลาออกมีผลหนึ่งวัน จำเลยที่ 1 มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ที่ 42 ก็เป็นเพียงแต่ให้โจทก์ที่ 42 ออกจากงานก่อนกำหนดตามหนังสือลาออกที่โจทก์ที่ 42 แสดงเจตนาจะออกจากงานโดยสมัครใจไว้เท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นไปตามความประสงค์ขอสิ้นสุดสัญญาจ้างแรงงานโดยการลาออกของโจทก์ที่ 42 มิใช่จากการเลิกจ้างของจำเลยที่ 1 ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าเป็นกรณีที่โจทก์ที่ 42 ได้ลาออกจากการเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 จึงชอบแล้ว
ที่โจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 แม้จะเป็นเพียงกรรมการผู้มีอำนาจและผู้จัดการฝ่ายบุคคลซึ่งทำการแทนจำเลยที่ 1 แต่ก็มีฐานะเป็นนายจ้างของโจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 ก็ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวต่อโจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 ด้วยนั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นกรรการและเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 3 แม้จะเป็นเพียงผู้จัดการฝ่ายบุคคลของจำเลยที่ 1 แต่ตามข้อเท็จจริงที่ยุติในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลางปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มอบหมายให้จำเลยที่ 3 ทำการแทนจำเลยที่ 1 ในส่วนของการลงโทษและเลิกจ้างลูกจ้างได้ ดังนั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีฐานะเป็นนายจ้างของโจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 "นายจ้าง" (2) แต่การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 ความรับผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 77 ประกอบมาตรา 820 กล่าวคือ เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำการในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ผู้เป็นตัวการต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอกในการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่ได้กระทำไปภายในวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวร่วมกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 ด้วย ดังนั้น ตามที่ศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวจึงชอบแล้ว
ส่วนที่โจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 อุทธรณ์อีกข้อว่า การที่จำเลยทั้งสามเลิกจ้างโจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าและโจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 ไม่ได้กระทำผิด จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแล้วนั้น เห็นว่า การจะพิจารณาว่าการเลิกจ้างใดเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 หรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาสาเหตุที่เลิกจ้างก่อนว่ามาจากความจำเป็นของฝ่ายนายจ้างหรือจากความประพฤติของฝ่ายลูกจ้างแล้วจึงพิจารณาต่อไปว่าจากสาเหตุที่เลิกจ้างดังกล่าวมีความสมควรและเพียงพอที่จะเป็นผลให้เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ถึงขนาดไม่สามารถเปลี่ยนเครื่องยนต์เครื่องบินที่หมดอายุตามคำสั่งองค์การการบินนานาชาติได้ จึงไม่สามารถนำเครื่องบินออกบินและต้องปิดกิจการจนถึงบัดนี้และต้องเลิกจ้างพนักงานรวมทั้งโจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 ด้วย ดังนั้น จึงมีสาเหตุจากความจำเป็นของฝ่ายนายจ้างอันสมควรและเพียงพอที่จะเลิกจ้างโจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 ได้โดยไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า กรณีไม่อาจถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และโจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 ไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจากจำเลยทั้งสามนั้น จึงชอบแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 36 ถึงที่ 44 ทั้งหมดฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน