คำพิพากษาฎีกาที่ 7891 – 53
ค่านายหน้าจากการยึดรถคิดอัตราคันละ 10,000 บาท ถือเป็นค่าจ้าง ผิดนัดต้องเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และคดีแรงงานมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลแรงงานไม่จำต้องถือตามข้อเท็จจริงในคดีอาญา
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2536 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ทำหน้าที่สุดท้ายตำแหน่งพนักงานติดตามหนี้ ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 9,550 บาท และค่านายหน้าโดยจ่ายเมื่อโจทก์ยึดรถลูกค้าได้คันละ 10,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 25 ของเดือน ต่อมาวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2542 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ทำงานติดต่อกันเกินกว่า 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน เป็นเงิน 57,300 บาท และค่านายหน้าย้อนหลังขึ้นไปจำนวน 180 วัน เป็นเงิน 140,000 บาท มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 36 วัน เป็นเงิน 11,460 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าในส่วนของค่านายหน้าย้อนหลังขึ้นไป 36 วัน เป็นเงิน 10,000 บาท เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมโจทก์ขอเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 709,208 บาท โจทก์มีสิทธิได้รับเงินสมทบในส่วนของนายจ้างเป็นเงิน 49,078 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 11,460 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าในส่วนของค่านายหน้าย้อนหลัง 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จเงินสมทบของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพส่วนของจำเลยอีก 49,078 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ทำการปลอมลายมือชื่อของนายสมชัย สุทธิโสภณผู้จัดการส่วนสินเชื่อลงในหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้วได้นำหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวนั้นไปอ้างต่อห้างหุ้นส่วนจำกัดพลวัติสารคามลูกค้าของจำเลย จนทำให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดพลวัติสารคามหลงเชื่อว่าเป็นหนังสือบอกเลิกสัญญาที่ถูกต้องและยินยอมให้โจทก์ยึดรถขุดคันที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดพลวัติสารคามได้เช่าซื้อมาจากจำเลยอันเป็นการกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้าง จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายนอกจากนี้ในการยึดรถดังกล่าวโจทก์ยังได้รับผลประโยชน์ร่วมกันกับผู้รับจ้างขนส่งที่บรรทุกรถคันที่ยึดมา โดยผู้ที่รับจ้างบรรทุกรถได้เรียกค่าใช้จ่ายจากการบรรทุกเป็นเงิน 60,000 บาท ซึ่งสูงกว่าปกติเป็นอันมาก โดยการกระทำของโจทก์ดังกล่าวนั้นเป็นการกระทำที่ไม่ได้รับมอบอำนาจหรือมอบหมายนายสมชัยและจำเลย และไม่เคยแจ้งเรื่องให้จำเลยทราบ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ทุจริตต่อหน้าที่ และจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย อีกทั้งเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมในกรณีร้ายแรง จำเลยตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์และโจทก์สมัครใจลงลายมือชื่อในใบลาออกเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2542 โดยประสงค์จะลาออกในวันที่ 16 มีนาคม 2542 ต่อมาวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2542 จำเลยไล่โจทก์ออกโดยให้มีผลในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2542 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยที่ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจาการเลิกจ้างเพราะเป็นการเลิกจ้างที่ถูกต้องตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยรับผิดชำระค่านายหน้าย้อนหลัง 180 วัน เป็นเงิน 140,000 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าย้อนหลังขึ้นไป 36 วัน เป็นเงิน 10,000 บาท เนื่องจากค่านายหน้าดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นเงินค่าจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานโจทก์จะมีสิทธิได้รับเงินค่านายหน้าต่อเมื่อโจทก์ได้ติดตามยึดรถจากลูกค้าที่ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อให้กลับมาอยู่ในความครอบครองของจำเลย เมื่อโจทก์ไม่สามารถติดตามยึดรถกลับคืนมาได้โจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องเงินดังกล่าวจากจำเลย นอกจากนี้เงินดังกล่าวนั้นเป็นเงินที่ไม่แน่นอนไม่ได้จ่ายเป็นประจำทุกเดือน นอกจากนี้เงินดังกล่าวนั้นเป็นเงินที่ไม่แน่นอนไม่ได้จ่ายเป็นประจำทุกเดือน จะต้องจ่ายให้แก่โจทก์มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับผลการติดตามการยึดรถของโจทก์เป็นสำคัญ เงินส่วนนี้จึงไม่ใช่เงินค่าจ้างตามกฎหมาย ฟ้องโจทก์ในเรื่องค่านายหน้าเคลือบคลุม อย่างไรก็ตามโจทก์ไม่สามารถติดตามยึดรถคืนจากลูกค้าได้อย่างที่โจทก์กล่าวอ้าง จำเลยจึงไม่ต้องชำระค่านายหน้า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องชำระค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์สละประเด็นในส่วนที่ฟ้องเรียกเงินสมทบและผลประโยชน์เงินสมทบของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจากจำเลย จำเลยสละคำให้การที่ต่อสู้ไว้ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม และในส่วนที่กล่าวอ้างว่าโจทก์ลาออกเอง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินค่านายหน้าในการยึดรถให้แก่โจทก์ 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 มกราคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า เดิมจำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ต่อมาได้จดทะเบียนเลิกบริษัทซึ่งนายทะเบียนรับจดทะเบียนเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2547 โดยมีนายชิเกรุ อารีมา เป็นผู้ชำระบัญชีและต่อมาได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2549 จำเลยโดยนายชิเกรุได้มอบอำนาจให้นางสุพัตราเมธมโนศักดิ์ ดำเนินคดีแทน โจทก์เป็นพนักงานของจำเลยตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2536 ตำแหน่งสุดท้ายทำหน้าที่พนักงานติดตามหนี้สิน ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 9,550 บาท ในกรณีที่โจทก์ยึดรถจากลูกค้าได้จะได้รับค่านายหน้าจากการยึดรถคันละ 10,000 บาท จำเลยกำหนดจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทุกวันที่ 25 ของเดือน โจทก์เป็นพนักงานของจำเลยที่ประจำอยู่ที่สำนักงานของจำเลยที่จังหวัดขอนแก่นดูแลรับผิดชอบภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 11 จังหวัด ห้างหุ้นส่วนจำกัดพลวัติสารคามเป็นลูกค้าของจำเลยที่ได้เช่าซื้อรถไปจากจำเลย ต่อมาได้ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อโจทก์จึงได้ติดตามยึดรถคันดังกล่าวมา ซึ่งห้างหุ้นส่วนจำกัดพลวัติสารคามก็ได้ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และทำสัญญาเช่าซื้อฉบับใหม่กับจำเลย แต่ต่อมาก็ปรากฏว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดพลวัติสารคามผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีกโจทก์จึงได้นำหนังสือบอกเลิกสัญญาไปทำการยึดรถของห้างหุ้นส่วนจำกัดพลวัติสารคามจากอำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามไทยโยธาบรรทุกรถคันที่ยึดจากบริเวณที่ยึดมาไว้ที่สำนักงานของห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามไทยการโยธาที่จังหวัดขอนแก่น แต่ก่อนที่จะบรรทุกเอาไปไว้ที่คลังสินค้าของจำเลยที่อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี นายนารถ พรรณะ หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดพลวัติสารคามได้มาพูดคุยกับโจทก์จนกระทั่งตกลงได้ว่านายนารถยอมทำบันทึกข้อตกลงว่าจะจ่ายเงินให้ครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อ และยอมลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อฉบับที่ยังไม่ได้ลงลายมือชื่อ และนายนารถได้จ่ายเงินค่าขนส่งให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามไทยการโยธาเป็นเงิน 60,000 บาท แล้วนายนารถได้นำรถคันดังกล่าวนั้นกลับไป โดยในการยึดรถครั้งนี้โจทก์ไม่ได้แจ้งให้ฝ่ายจำเลยทราบทั้งก่อนและหลังการยึด ต่อมานายนารถได้ร้องเรียนต่อนายสมชัยว่าถูกเรียกเงินค่าขนส่งสูงเกินไป นายสมชัยจึงตรวจสอบหนังสือบอกเลิกสัญญาที่นายนารถอ้างว่าโจทก์เอามาแสดงขณะยึดรถ ห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามไทยการโยธาได้ทำการเช่าซื้อรถจากจำเลยรวม 14 คัน ต่อมาผิดสัญญาจำเลยจึงทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ติดตามยึดรถคืนมา แต่ก่อนที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ จำเลยได้รถคืนมาเพียง 10 คัน เมื่อจำเลยสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเชื่อว่าโจทก์ปลอมลายมือชื่อของนายสมชัยและร่วมรู้เห็นในการเรียกค่าขนส่งในราคาสูงเกินไปจึงได้เลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2542 ด้วยเหตุที่ว่าโจทก์กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ฝ่าฝืนกฎระเบียบข้อบังคับในการทำงานในกรณีร้ายแรง นอกจากนี้จำเลยยังได้แจ้งความดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์กับพวกในข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม และกรรโชกทรัพย์ซึ่งในคดีอาญาดังกล่าวนายสมชัย สุทธิโสภณ นายพสุพงศ์ ศรภักดี นายอนุศักดิ์ แวงวรรณ นายนารถ พรรณะ และพันตำรวจโทดาวเรือง สันดี ได้เบิกความเป็นพยานไว้ โดยโจทก์และจำเลยในคดีนี้ยอมรับเอาคำพยานดังกล่าวมาเป็นพยานในคดีนี้ ลายมือชื่อที่ลงไว้บนช่องชื่อนายสมชัย สุทธิโสภณ ในหนังสือบอกเลิกสัญญาเอกสารหมาย ล.12 ไม่ใช่ลายมือชื่อที่แท้จริงของนายสมชัย แต่โจทก์เป็นผู้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว การกระทำของโจทก์จึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมอันเป็นการกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง เป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย อีกทั้งเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมในกรณีร้ายแรง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายเงินต่าง ๆ ตามที่โจทก์ฟ้อง ในส่วนของค่านายหน้า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ยึดหรือมีส่วนร่วมในการยึดรถจากห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามไทยการโยธารวม 10 คัน โดยยังไม่ได้คำนายหน้าในการยึดรถจำเลยจึงต้องรับผิดจ่ายค่านายหน้าในการยึดรถให้แก่โจทก์ 10 คัน คันละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 มกราคม 2544 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ศาลแรงงานกลางสั่งรับมาประการแรกว่า จำเลยมีสิทธิดำเนินคดีนี้หรือปฏิบัติในฐานะคู่ความได้หรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยจดทะเบียนเลิกบริษัทเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2547 และต่อมาได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2549 จำเลยสิ้นสุดสภาพบุคคลแล้ว สิทธิและความสามารถย่อมหมดลงแล้วนั้น ศาลแรงงานกลางไม่ได้วินิจฉัยอำนาจในส่วนนี้จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า ปัญหาข้อนี้แม้จะไม่ปรากฏจากคำฟ้องและคำให้การอันเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลางก็ตาม แต่สิทธิในการดำเนินคดีในฐานะคู่ความมีหรือไม่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเห็นสมควรวินิจฉัยให้ด้วย และเห็นว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2544 ซึ่งเป็นวันก่อนที่จำเลยจะจดทะเบียนเลิกบริษัทและจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1249 บัญญัติว่า "ห้างหุ้นส่วนก็ดี บริษัท ก็ดี แม้จะได้เลิกกันแล้ว ก็ให้พึงถือว่ายังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี" และมาตรา 1272 บัญญัติว่า "ในคดีฟ้องเรียกหนี้สินซึ่งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นหรือผู้ชำระบัญชีเป็นลูกหนี้อยู่ในฐานะเช่นนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นกำหนดสองปีนับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี" จากบทบัญญัติดังกล่าว เห็นได้ว่าแม้การชำระบัญชีสิ้นสุดไปแล้ว กฎหมายยังให้เจ้าหนี้ฟ้องเรียกหนี้สินที่บริษัทเป็นหนี้อยู่ได้โดยเฉพาะคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ก่อนที่จำเลยจะเลิกบริษัทเสียอีก โจทก์และจำเลยจึงยังคงว่ากล่าวกันต่อมาได้ หาใช่สิทธิในการดำเนินคดีในฐานะคู่ความสิ้นสุดไปในระหว่างพิจารณา เพราะเหตุการชำระบัญชีสิ้นสุดไปแล้วไม่ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการต่อไปมีว่า คำสั่งของศาลแรงงานที่ไม่งดการพิจารณาคดีไว้เพื่อรอฟังผลในคดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องในความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมเสียก่อน กลับวินิจฉัยชี้ขาดคดีนี้ไปเสียเองนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีแรงงานมิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาศาลแรงงานกลางจึงไม่จำต้องถือตามข้อเท็จจริงในคดีอาญา ที่ศาลแรงงานกลางไม่งดการพิจารณาคดีนี้ไว้เพื่อรอฟังผลในคดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องในความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมเสียก่อนจึงมิใช่คำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการสุดท้ายมีว่า ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากเงินค่านายหน้าในการยึดรถจำนวน 100,000 บาท และให้เสียดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 30 มกราคม 2544 เป็นต้นไปชอบหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า ค่านายหน้าในการยึดรถเป็นค่าจ้าง จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากค่านายหน้าดังกล่าว ทั้งโจทก์ทำเรื่องขอเบิกเงินดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2542 โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยนับแต่วันดังกล่าวซึ่งเป็นวันที่โจทก์ทำเรื่องขอเบิกนั้น เห็นว่า ค่านายหน้าในการยึดรถเป็นเงินที่จำเลยตกลงจ่ายให้แก่โจทก์ โดยคำนวณจากจำนวนรถที่โจทก์ยึดได้ในอัตราแน่นอนคันละ 10,000 บาท นอกเหนือจากค่าจ้างรายเดือนอัตราเดือนละ 9,500 บาท ที่กำหนดจ่ายให้ทุกวันที่ 25 ของเดือน จึงเป็นการจ่ายให้เป็นค่าตอบแทนในการทำงานคำนวณตามผลงานที่โจทก์ทำได้ในเวลาปกติของวันทำงาน ถือเป็นค่าจ้างอีกส่วนหนึ่งนอกเหนือจากค่าจ้างที่ต้องจ่ายตามระยะเวลาการทำงานปกติตามความหมายของคำว่า "ค่าจ้าง" ที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 ให้คำจำกัดความไว้เมื่อจำเลยยังไม่ได้จ่ายให้แก่โจทก์ จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ 15 ต่อปี ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยเสียดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 30 มกราคม 2542 โดยอ้างว่าโจทก์ทำเรื่องขอเบิกเงินในวันดังกล่าวนั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางมิได้ฟังข้อเท็จจริงดังที่อ้าง ทั้งโจทก์ฟ้องขอให้ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 30 มกราคม 2544 ซึ่งเป็นวันฟ้องต้นไปตามคำขอของโจทก์จึงชอบแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะในส่วนดอกเบี้ยของเงินค่านายหน้าในการยึดรถให้จำเลยชำระให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นอกจากที่แก้ให้เป็นตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง