คำพิพากษาฎีกาที่ 1000 -1038 – 53
ปรับลูกจ้างรายวันเป็นรายเดือน เมื่อมิได้ตกลงปรับค่าจ้างและมิได้กำหนดหลักเกณฑ์การปรับ นายจ้างใช้ค่าจ้างรายวัน x ด้วย 26 วัน จึงชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2547 โจทก์ได้รับคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 35/2548 ให้โจทก์จ่ายค่าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2545 ถึงวันที่ 29 สิงหาคม 2547 จำนวน 1,828,518 บาท แก่ลูกจ้างรวม 60 คน โดยลูกจ้างทั้ง 60 คนดังกล่าวเดิมเป็นลูกจ้างรายวัน แต่ในปี 2525 สหภาพแรงงานผลิตเครื่องมือประมงแห่งประเทศไทย ได้เรียกร้องและมีข้อตกลงกับโจทก์ ให้ปรับลูกจ้างรายวันเป็นลูกจ้างรายเดือน โจทก์จึงปรับการทำงานของลูกจ้างรวม 60 คนดังกล่าวเป็นลูกจ้างรายเดือน จากค่าจ้าง 26 วันโดยมีเงินเดือนแต่ละคนไม่น้อยกว่าที่เคยได้รับอยู่เดิมที่ได้รับเหมาจ่ายเป็นเงินเดือน และไม่น้อยกว่าตามที่กำหนดในอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ จึงเป็นการปรับที่ถูกต้องแล้ว การที่จำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานเห็นว่า โจทก์ไม่ได้นำค่าจ้างเดิมของลูกจ้างต่อวันคูณ 30 วัน ต่อเดือน ทำให้ลูกจ้าง 60 คน ได้รับค่าจ้างขาดไปเดือนละ 4 วัน นั้นไม่ถูกต้อง เพราะตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไม่ได้กำหนดว่า เมื่อปรับสภาพการจ้างจากลูกจ้างรายวันเป็นลูกจ้างรายเดือนแล้ว จะใช้จำนวนวันเท่าใดเป็นตัวคูณแม้ในปี 2538 สหภาพแรงงานผลิตเครื่องมือประมงแห่งประเทศไทยจะยื่นข้อเรียกร้องขอให้ปรับพนักงานรายวันเป็นรายเดือนโดยใช้อัตรา 30 วัน เป็นตัวคูณและปรับย้อนหลังให้พนักงานรายวันที่ได้รับการปรับรายเดือนอีกคนละ 2 วัน ทุกคน แต่ก็ได้ถอนข้อเรียกร้องดังกล่าวไปแล้ว การที่ลูกจ้างทั้ง 60 คน ได้รับเงินเดือนจากการคำนวณดังกล่าวมาประมาณยี่สิบปีจึงเป็นการตกลงยินยอมโดยปริยายแล้ว ลูกจ้างทั้ง 60 คน มิได้ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานภายใน 2 ปี คดีจึงขาดอายุความ นอกจากนั้นในปี 2547 สหภาพแรงงานผลิตเครื่องมือประมงแห่งประเทศไทย ได้ประชุมกับโจทก์ได้ข้อสรุปร่วมกันว่าโจทก์ตกลงที่จ่ายเงินเพิ่ม 4 วัน ต่อเดือน สำหรับผู้ที่ได้ปรับเป็นเงินเดือนจากพื้นฐาน 26 วัน โดยปรับให้ในเดือนกันยายน 2547 โดยผู้ที่ประสงค์จะรับเงินต้องยื่นความจำนงและบอกสละสิทธิเงินย้อนหลังต่อโจทก์ ข้อตกลงดังกล่าวจึงผูกพันลูกจ้างทุกคนโดยลูกจ้างอื่นได้ขอรับเงินตามข้อตกลง เว้นเพียงลูกจ้าง 60 คน ดังกล่าวโจทก์จึงไม่ต้องจ่ายเงินตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 35/2548
จำเลยให้การว่า ลูกจ้างโจทก์ 60 คนร้องต่อจำเลยว่า ลูกจ้างทั้ง 60 คน เป็นลูกจ้างโจทก์ตั้งแต่ปี 2507 เดิมเป็นลูกจ้างรายวัน ต่อมาได้มีข้อตกลงระหว่างโจทก์กับสหภาพแรงงานผลิตเครื่องประมงแห่งประเทศไทย ให้ปรับลูกจ้างที่ปฏิบัติงานครบ 10 ปีขึ้นไป และมีเกณฑ์ประเมิน เกรดซีหรือสูงกว่า 3 ปี ติดต่อกันเป็นลูกจ้างรายเดือนโจทก์จึงได้ปรับลูกจ้าง 60 คนดังกล่าวเป็นลูกจ้างรายเดือนโดยใช้อัตราค่าจ้างต่อวันเดิมคูณ 26 วัน เป็นอัตราค่าจ้างต่อเดือนซึ่งไม่ถูกต้องเพราะเมื่อเป็นลูกจ้างรายเดือนจะต้องถือว่าเดือนหนึ่งมี 30 วัน จึงต้องใช้อัตราค่าจ้างเดิมคูณ 30 วัน มิใช่ 26 วัน หากใช้อัตราที่โจทก์เหมาจ่ายให้ลูกจ้างเดิมที่คำนวณจาก 26 วัน มาคำนวณเป็น 30 วัน อัตราค่าจ้างต่อวันที่ลูกจ้างได้รับจะน้อยกว่าอัตราค่าจ้างเดิมก่อนการเปลี่ยนโครงสร้างค่าจ้าง การที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ส่วนที่โจทก์ไม่ได้จ่ายให้ลูกจ้างเดือนละ 4 วัน จึงเป็นการชอบแล้ว และลูกจ้าง 60 คนดังกล่าวทราบว่ามีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุด เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2547 ซึ่งเป็นวันที่ยื่นคำร้องต่อจำเลยคดีจึงไม่ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า ลูกจ้างทั้ง 60 คน มีวันเวลาทำงาน อัตราค่าจ้างตามคำสั่งของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.7 เดิมลูกจ้างทั้ง 60 คน เป็นพนักงานได้รับค่าจ้างรายวัน ต่อมาในปี 2524 โจทก์ได้ปรับเปลี่ยนเป็นพนักงานให้ได้รับค่าจ้างรายเดือนเป็นเงินเดือน โดยได้รับเงินเดือนเท่ากับค่าจ้างรายวันที่เคยได้รับคูณด้วย 26 วัน ลูกจ้างได้รับเงินเดือนไม่ต่ำกว่าค่าจ้างรายวันตามจำนวนที่เคยได้รับคูณด้วยจำนวน 26 วัน และบางคนได้รับเงินเดือนมากกว่าเล็กน้อย การปรับเปลี่ยนนี้ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงสิทธิประโยชน์ในการทำงานอื่นใด ลูกจ้างยังคงมีจำนวนวันทำงานเท่าเดิมคือ วันจันทร์ถึงวันเสาร์และหยุดวันอาทิตย์ เวลาการทำงานเท่าเดิมคือวันละ 8 ชม. ค่ารักษาพยาบาล จำนวนวันหยุดพักผ่อนประจำปี และวันหยุดอื่นๆ เท่าเดิมแต่ได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น กล่าวคือหากเป็นลูกจ้างรายวันเมื่อหยุดงานหรือลากิจในวันใดจะไม่ได้รับค่าจ้างในวันนั้น แต่เมื่อเป็นลูกจ้างรายเดือนแล้ว แม้หยุดงานหรือลากิจก็คงได้รับเงินเดือนเต็มจำนวนทุกเดือน เมื่อโจทก์ปรับลูกจ้างรายวันมาเป็นรายเดือนแล้ว หากนำจำนวนเงินเดือนหารด้วย 30 วัน เฉลี่ยเป็นค่าจ้างในแต่ละวัน ค่าจ้างรายวันคิดเฉลี่ยได้ไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมายและอัตราค่าจ้างที่เฉลี่ยโดยใช้จำนวน 30 วันหารนี้ก็ไม่ต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำตามกฎหมายตลอดมาจนถึงปัจจุบัน การปรับลูกจ้างจากรายวันมาเป็นรายเดือนเป็นไปตามเอกสารหมาย จ.8 ในการปรับเงินเดือนประจำปี โจทก์ปรับให้แก่ลูกจ้างรายวันเป็นอัตราวันละ สำหรับลูกจ้างรายเดือนปรับให้เป็นอัตราเดือนละโดยกำหนดเป็นจำนวนเงินที่แน่นอนว่าให้เพิ่มวันละกี่บาท หรือให้เพิ่มอีกเดือนละกี่บาทในระหว่างที่จำเลยพิจารณาตามคำร้องของลูกจ้าง เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2547 สหภาพแรงงานผลิตเครื่องประมงแห่งประเทศไทยได้ทำบันทึกสรุปข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งโจทก์ได้นำมาจัดทำเป็นประกาศบังคับใช้กับลูกจ้างตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2547 ตามเอกสารหมาย จ.5 ส่วนคำสั่งของจำเลยนั้นได้สั่งเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2547 เหตุที่ลูกจ้างมาร้องต่อจำเลยเพราะลูกจ้างเห็นว่า โจทก์ควรนำจำนวนค่าจ้างที่เป็นเงินเดือนหารด้วยจำนวน 26 วัน เฉลี่ยเป็นค่าจ้างในแต่ละวันและนำมาคูณด้วยจำนวน 30 วัน และจ่ายเป็นเงินเดือนให้แก่ลูกจ้าง เพราะลูกจ้างเห็นว่าเดือนหนึ่งมี 30 วัน ไม่ใช่ 26 วัน แต่โจทก์เห็นว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามที่โจทก์ปฏิบัติต่อลูกจ้างตั้งแต่ปรับลูกจ้างรายวันมาเป็นรายเดือน คือ นำจำนวนค่าจ้างรายวันคูณด้วย 26 วัน เป็นหลักฐานในการจ่ายเงินเดือนนี้แล้ว ในการปรับค่าจ้างประจำปี โจทก์ก็ปรับจากจำนวนดังกล่าวตลอดมาตั้งแต่ปี 2524 การที่โจทก์ปรับสภาพการจ้างลูกจ้างรายวันเป็นลูกจ้างรายเดือน โดยให้ได้รับค่าจ้างเดือนไม่น้อยกว่าค่าจ้างรายวันที่เคยได้รับทั้งเดือนนั้นจะต้องปรับโดยนำจำนวนค่าจ้างรายวันคูณด้วยจำนวน 26 วัน ซึ่งเท่ากับจำนวนวันที่ ต้องทำงาน หรือต้องนำจำนวนค่าจ้างรายวันคูณด้วยจำนวน 30 วัน ซึ่งเท่ากับจำนวนวันที่ต้องทำงานรวมกับจำนวนวันหยุดประจำสัปดาห์ในแต่ละเดือน ศาลเห็นว่าในการปรับลูกจ้างรายวันเป็นลูกจ้างรายเดือนนั้น ค่าจ้างไม่ต่ำกว่าค่าแรงเดิมรวมทั้งเดือน และไม่มีการเปลี่ยนแปลงสิทธิประโยชน์ในการทำงานอื่นใด ลูกจ้างยังคงมีจำนวนวันและเวลาทำงานเท่าเดิม ค่ารักษาพยาบาล จำนวนวันหยุดพักผ่อนประจำปีและวันหยุดอื่น ๆ เท่าเดิมและยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น คือ หากเป็นลูกจ้างรายวันเมื่อหยุดงานหรือลากิจในวันใดจะไม่ได้รับค่าจ้างในวันนั้น แต่เมื่อเป็นลูกจ้างรายเดือนแล้ว หากหยุดงานหรือลากิจก็ยังคงได้รับเงินเดือนเต็มจำนวน การปรับนี้จึงเป็นคุณแก่ลูกจ้างยิ่งกว่า ทั้งเมื่อนำจำนวนเงินเดือนหารด้วย 30 วัน เฉลี่ยเป็นค่าจ้างในแต่ละวันแล้ว ค่าจ้างรายวันคิดเฉลี่ยได้ไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมาย อัตราค่าจ้างเป็นเงินเดือนนี้จึงไม่ขัดต่อกฎหมายลูกจ้างกับโจทก์ต่างยึดถือปฏิบัติอย่างนี้ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานานตั้งแต่ปี 2524 เป็นต้นมา จึงต้องถือว่า การปรับนี้เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 หมวดที่ 1 ข้อตกลงดังกล่าวนี้จึงมีผลใช้บังคับได้และพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลย ในฐานะพนักงานตรวจแรงงานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการที่ 35/2548
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัย ตามอุทธรณ์จำเลยว่า ในการปรับลูกจ้างทั้ง 60 คน จากลูกจ้างรายวันเป็นลูกจ้างรายเดือนตามข้อตกลงระหว่างสหภาพแรงงานผลิตเครื่องมือประมงแห่งประเทศไทยกับบริษัทไทยไนลอน จำกัด เอกสารหมาย จ.9 จะต้องนำอัตราค่าจ้างรายวันคูณด้วย 30 เพื่อให้เป็นค่าจ้างรายเดือนใช่หรือไม่ เห็นว่า ข้อตกลงระหว่างสหภาพแรงงานผลิตเครื่องมือประมงแห่งประเทศไทยกับบริษัทไทยไนลอน จำกัด เอกสารหมาย จ.9 ได้แยกกรณีการขึ้นค่าแรงซึ่งก็คือค่าจ้างกับกรณีการปรับคนงานรายวันเป็นรายเดือนไว้คนละหัวข้อกันอย่างชัดเจนโดยกำหนดเงื่อนไขกรณีการขึ้นค่าแรงกับกรณีการปรับคนงานรายวัน เป็นรายเดือนแยกกันอย่างชัดเจนด้วย ไม่มีข้อความใดที่ทำให้เข้าใจได้ว่าในการปรับลูกจ้างรายวันเป็นลูกจ้างรายเดือนเป็นการปรับขึ้นค่าแรงหรือรายได้ที่ลูกจ้างได้รับอยู่ไปในตัวด้วยดังนั้น ในการปรับลูกจ้างรายวันเป็นลูกจ้างรายเดือนตามข้อตกลงดังกล่าวจึงมีผลเพียงทำให้ลูกจ้างนั้นมีสิทธิต่างๆ เพิ่มขึ้นตามที่ลูกจ้างรายเดือนของโจทก์พึงมีสิทธิได้รับเป็นต้นว่ามีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันลากิจ ซึ่งลูกจ้างรายวันไม่มีสิทธิได้รับเท่านั้น ไม่มีผลเป็นการตกลงขึ้นค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างจากลูกจ้างรายวันเป็นลูกจ้างรายเดือนโดยใช้วิธีนำค่าจ้างรายวันคูณด้วย 30 และถือเป็นการปรับขึ้นค่าจ้างรายวันที่ปรับเป็นลูกจ้างรายเดือนด้วย เพราะหากสหภาพแรงงานผลิตเครื่องมือประมงแห่งประเทศไทยหรือโจทก์มีความประสงค์เช่นนั้นก็น่าจะต้องระบุให้การปรับขึ้นค่าจ้างจากลูกจ้างรายวันเป็นลูกจ้างรายเดือนโดยใช้วิธีนำค่าจ้างรายวันคูณด้วย 30 และถือเป็นการปรับขึ้นค่าจ้างอย่างหนึ่งลงไว้ในบันทึข้อตกลงด้วยดังนั้นในการปรับลูกจ้างรายวันเป็นลูกจ้างรายเดือน หากค่าจ้างรายเดือนที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับมิได้น้อยไปกว่าค่าจ้างรายวันรวมทั้งเดือนที่ลูกจ้างนั้นเคยมีสิทธิได้รับก็มิใช่เรื่องโจทก์ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ส่วนที่จำเลยอ้างว่าหากนำเงินเดือนหารด้วย 30 เป็นค่าจ้างต่อวัน อัตราค่าจ้างต่อวันย่อมน้อมลงกว่าเดิมเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามกฎหมายนั้น เมื่อลูกจ้างทั้ง 60 คน ได้ปรับเป็นลูกจ้างรายเดือนแล้วการพิจารณาถึงรายได้ของลูกจ้างทั้ง 60 คน ก็ต้องพิจารณาจากค่าจ้างรวมทั้งเดือนเมื่อค่าจ้างรวมทั้งเดือนมิได้ลดน้อยลงกว่าเดิมหรือต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมายย่อมมิใช่เป็นการหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย จะนำเอารายได้ต่อเดือนหารด้วย 30 เพื่อให้เป็นอัตราค่าจ้างต่อวันและอ้างว่าอัตราค่าจ้างต่อวันลดลงไม่ได้เพราะลูกจ้างทั้ง 60 คน มิได้เป็นลูกจ้างรายวันอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งการที่โจทก์กับลูกจ้างทั้ง 60 คน ยึดถือปฏิบัติตามแนวทางการปรับลูกจ้างรายวันเป็นลูกจ้างรายเดือนดังกล่าวตั้งแต่ปี 2524 เป็นต้นมาจึงเป็นการยอมรับแนวทางดังกล่าวร่วมกันเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างโดยปริยายอีกด้วย ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการที่ 35/2548 ที่มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์แก่ลูกจ้างทั้ง 60 คน จึงชอบแล้ว อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน