คำพิพากษาฎีกาที่ 8802 -53
แม้นายจ้างจ่ายเงินค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานแล้ว ยังสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมได้
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2542 โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลย ครั้งสุดท้ายทำงานในตำแหน่งหัวหน้าแผนกงานทะเบียนและธุรการ สังกัดฝ่ายบุคคลและกฎหมาย ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 17,000 บาท กำหนดจ่ายทุกวันสิ้นเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2548 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างเหตุว่า โจทก์ขัดคำสั่งโดยชอบของจำเลย คำสั่งดังกล่าวไม่ชอบเพราะจำเลยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนจะให้โจทก์ปฏิบัติงานที่โรงงานของจำเลย จำเลยสั่งย้ายโจทก์จากหัวหน้าแผนก ณ สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพ ไปเป็นผู้ช่วยหัวหน้าแผนกในโรงงานที่จังหวัดราชบุรี อันเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์และเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 119,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การแก้ไขคำให้การว่า จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ไปปฏิบัติงานที่โรงงานของจำเลยเป็นการบริหารจัดการงานบุคคลของจำเลยซึ่งจำเลยมีอำนาจโดยชอบธรรมที่จะทำได้ตามความเหมาะสมกับลักษณะงานและนโยบายการบริหารจัดการของฝ่ายบริหาร คำสั่งจำเลยจึงเป็นคำสั่งโดยชอบซึ่งจำเลยไม่จำต้องแจ้งให้โจทก์ทราบก่อนไม่เป็นการกลั่นแกล้งและละเมิดต่อโจทก์ พนักงานตรวจแรงงานได้วินิจฉัยว่า คำสั่งของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่โต้แย้งคัดค้าน โจทก์จะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยอีกไม่ได้เนื่องจากโจทก์ได้ร้องเรียนต่อพนักงานตรวจแรงงานโดยอ้างว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากขัดคำสั่งจำเลยที่ให้โจทก์ไปปฏิบัติงานที่โรงงานจำเลยซึ่งอยู่ที่จังหวัดราชบุรีและขอให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 180 วัน เป็นเงิน 102,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 40 วัน เป็นเงิน 22,666.66 บาท และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2548 รวม 8 วัน เป็นเงิน 4,533.36 บาท ต่อมาพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 90 วัน เป็นเงิน 51,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 30 วัน เป็นเงิน 17,000 บาท และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2548 จำนวน 8 วัน 4,533.36 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 72,533.36 บาท จำเลยได้จ่ายเงินตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานให้โจทก์รับไปครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีความเสียหายใดๆ ที่จำเลยจะรับผิดต่อโจทก์อีกขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน (ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม) จำนวน 40,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2542 ต่อมาวันที่ 31 สิงหาคม 2547 โจทก์ยื่นใบลาออก จำเลยอนุมัติครั้นวันที่ 1 กันยายน 2547 โจทก์เข้าทำงานกับจำเลยในตำแหน่งหัวหน้าแผนกงานทะเบียนและธุรการ สังกัดฝ่ายบุคคลและกฎหมาย ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 17,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2548 จำเลยมีคำสั่งที่ 12/2548 ให้โจทก์ไปดำรงตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าแผนกคลังสินค้าประจำโรงงานของจำเลยที่จังหวัดราชบุรี ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 23 ต่อมาวันที่ 20 กันยายน 2548 จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่า โจทก์ขัดคำสั่งโดยชอบของจำเลย ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 24 โจทก์ร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2548 พนักงานตรวจแรงงานแจ้งให้จำเลยไปชี้แจงข้อเท็จจริง หลังจากนางสาวนิติภา ศรีวชิรวัฒน์ พนักงานตรวจแรงงานสอบสวนแล้ว มีคำสั่งที่ 125/2548 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2548 ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 90 วัน เป็นเงิน 51,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 30 วัน เป็นเงิน 17,000 บาท และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2548 จำนวน 8 วัน เป็นเงิน 4,533.36 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 72,533.36 บาท แก่โจทก์ ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 32 ถึง 37 พนักงานตรวจแรงงานได้แจ้งคำสั่งให้โจทก์และจำเลยทราบแล้ว จำเลยนำเงินจำนวน 72,533.36 บาท ตามคำสั่งไปวางต่อพนักงานตรวจแรงงาน และโจทก์ได้รับจำนวนดังกล่าวไปจากพนักงานตรวจแรงงานแล้ว โจทก์และจำเลยต่างไม่ฟ้องเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 วรรคสอง พนักงานตรวจแรงงานได้วินิจฉัยไว้ว่า คำสั่งของจำเลยที่ 12/2548 ลงวันที่ 23 สิงหาคม 2548 สั่งให้โจทก์ไปทำงานที่โรงงานของจำเลย ซึ่งอยู่ที่จังหวัดราชบุรีโดยเปลี่ยนตำแหน่งจากหัวหน้าแผนกงานทะเบียนและธุรการไปเป็นผู้ช่วยหัวหน้าแผนกคลังสินค้าเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ขัดต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 20 จึงเป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย เมื่อคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานเป็นที่สุดแล้ว คำสั่งดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยว่า คำสั่งของจำเลยซึ่งสั่งให้โจทก์ไปทำงานที่โรงงานของจำเลยซึ่งอยู่ที่จังหวัดราชบุรี เป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมายการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่า โจทก์ขัดคำสั่งโดยชอบของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 24 เป็นการเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุอันสมควร จึงเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและเป็นการละเมิดต่อโจทก์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมกับค่าชดเชยเป็นค่าเสียหายจำนวนเดียวกันหรือไม่ เห็นว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 ได้ให้คำนิยามคำว่าค่าชดเชย หมายความว่า เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง นอกเหนือจากเงินประเภทอื่นซึ่งนายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง ค่าชดเชยตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นเงินที่นายจ้างมีหน้าที่จ่ายตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานเมื่อนายจ้างเป็นฝ่ายเลิกจ้าง แม้สัญญาจ้างหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างจะไม่ได้กำหนดไว้ก็ตามถ้านายจ้างมิได้เลิกจ้างลูกจ้างแต่ลูกจ้างลาออกจากงานไป ทิ้งงานไป หรือลูกจ้างถึงแก่ความตาย นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ส่วนเรื่องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม นั้น พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 บัญญัติว่า “การพิจารณาคดีในกรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างถ้าศาลแรงงานเห็นว่าการเลิกจ้างลูกจ้างผู้นั้นไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง ศาลแรงงานอาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างผู้นั้นเข้าทำงานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะที่เลิกจ้างถ้าศาลแรงงานเห็นว่าลูกจ้างไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้ ให้ศาลแรงงานกำหนดจำนวนค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้ให้แทนโดยให้ศาลคำนึงถึงอายุของลูกจ้างระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง ความเดือดร้อนของลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้าง มูลเหตุแห่งการเลิกจ้างและเงินค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ ประกอบการพิจารณา” บทบัญญัติดังกล่าวให้การคุ้มครองลูกจ้างมิให้ถูกนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมหากลูกจ้างที่ถูกนายจ้างเลิกจ้างเห็นว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง ลูกจ้างสามารถนำคดีมาฟ้องต่อศาลแรงงานขอให้ศาลสั่งให้นายจ้างคือจำเลยรับโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างเข้าทำงานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะที่เลิกจ้าง หากคำขอดังกล่าวศาลไม่อาจพิจารณาบังคับให้ได้ ศาลจะสั่งให้นายจ้างซึ่งเป็นจำเลยชดใช้ค่าเสียหายแทน หรือหากลูกจ้างไม่ประสงค์จะกลับเข้าไปทำงานก็อาจจะขอให้นายจ้างชดใช้ค่าเสียหายก็ได้ ดังนั้น ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมกับค่าชดเชยจึงเป็นคนละเรื่องกัน แม้จะเป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองลูกจ้างกรณีถูกเลิกจ้างแต่ก็เป็นบทบัญญัติต่างหากจากกัน ลูกจ้างจะได้ค่าชดเชยหรือไม่เพียงใดพิจารณาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 และมาตรา 119 ส่วนการเลิกจ้างจะเป็นธรรมหรือไม่ สมควรกำหนดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเพียงใด พิจารณาจากพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 ดังนั้น เมื่อศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีเหตุอันสมควรเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม แม้จำเลยจะนำเงินค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าจ้างในวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2548 จำนวน 72,533.36 บาท ไปวางต่อพนักงานตรวจแรงงานและโจทก์รับเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้ว ศาลแรงงานกลางก็พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมอีกได้ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน